เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 225 เปิดศึกสังหาร

หลังจากที่ประตูศิลาเลื่อนปิดลงไป ทั่วทั้งสนามก็อยู่ในสภาวะเงียบสงัดประดุจป่าช้า ทั้งหลงเฉินและหวู่ฉีต่างก็จดจำในสิ่งที่ผู้อาวุโสถู่ฟางกล่าวออกมาเมื่อครู่นี้เป็นอย่างดี พวกเขามีเวลาอยู่ในสังเวียนแห่งนี้เพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น

 

หากไม่อาจสังหารอีกฝ่ายหนึ่งได้ภายในเวลาดังกล่าว แผ่นเหล็กขนาดใหญ่ที่อยู่เหนือศีรษะก็จะหล่นลงมาทับร่างของพวกเขาจนกลายเป็น ‘แผ่นหนัง’ สองผืนที่ได้เห็นเมื่อก่อนหน้านี้

 

“ชิ้ง”

 

ทันใดนั้นกระบี่ยาวก็ถูกชักออกมาจากฝัก ตลอดทั่วทั้งร่างของหวู่ฉีปะทุพลังสภาวะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง พลังทั้งหมดของขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนกลางขั้นสูงสุดกระจายตัวไปทั่วทั้งเวทีประลองตัดสินความตายภายในพริบตาเดียว

 

“เจ้าลูกเต่านั่นแอบซ่อนพลังของตัวเองเอาไว้อีกอย่างนั้นหรือ?” อาหมานกล่าวขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

 

เพราะการต่อสู้ระหว่างเขาและหวู่ฉีเมื่อครู่นี้แทบไม่อาจเทียบได้กับพลังที่ปะทุขึ้นมาอยู่ในขณะนี้เลยแม้แต่น้อย อาหมานจึงอดไม่ได้ที่จะเกิดโทสะขึ้นมาอย่างเหลืออด

 

“เจ้าหนู เจ้าช่างโง่เขลานัก นี่เป็นถึงการประลองเป็นตาย ไม่ใช่การต่อสู้ทั่วไป ด้วยสถานการณ์เช่นนี้มีผู้ใดบ้างที่อยากจะเก็บออมพลังฝีมือเอาไว้?” ชายชราหัวเราะแล้วกล่าวขึ้นมา

 

“เจ้าตัวบัดซบ เหตุใดเขาถึงเจ้าเล่ห์ได้ถึงเพียงนี้ หากข้าทราบตั้งแต่แรกก็คงจะบดขยี้เขาให้ตายไปแล้ว” อาหมานด่าทอขึ้นมาด้วยความเดือดดาล

 

“เอาเถิด รอดูกันต่อไปก่อน”

 

ทุกสายตาจดจ้องไปยังหวู่ฉีที่กำลังปะทุพลังสภาวะทั้งหมดออกมาอย่างบ้าคลั่งจนทำให้ภายในจิตใจของพวกเขาเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมา

 

ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างจากเวทีประลองตัดสินความตายหลายร้อยเซียะ ทว่าพวกเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลของหวู่ฉี เมื่อเทียบกับผู้คุมกฎอีกสองคนที่พวกเขาปะทะด้วยนั้นเรียกได้ว่าแข็งแกร่งกว่าเป็นหลายเท่าตัว

 

ภายในจิตใจของถังหว่านเอ๋อและพวกพ้องจึงอดไม่ได้ที่จะเกิดความเป็นห่วงต่อหลงเฉินขึ้นมาอย่างท่วมท้น ทว่าเมื่อมองไปยังอีกฝั่งหนึ่งของเวทีประลองตัดสินความตายก็พบว่าบนใบหน้าของหลงเฉินเปี่ยมไปด้วยความนิ่งสงบเป็นอย่างยิ่ง

 

ไร้ซึ่งโทสะ ไร้ซึ่งความหวาดกลัว ภายในแววตาคู่คมราวกับไร้แววแห่งความมีชีวิต เรียกได้ว่าเป็นสภาวะที่เงียบสงบจนน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด

 

“ความตายมาอยู่ตรงหน้าแล้วยังสงบนิ่งได้อีกอย่างนั้นหรือ?” หวู่ฉีกล่าวพร้อมกับกวัดแกว่งกระบี่ยาวไปมากลางอากาศจนบรรยากาศเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง

 

“คนที่จะตายคือเจ้า”

 

หลงเฉินตอบกลับไปอย่างเย็นชา อาวุธกระดูกถือพาดบ่าเอาไว้อย่างผ่อนคลาย สภาวะทั่วทั้งร่างกายเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง

 

“ซูม”

 

วงแหวนแห่งเทพดูดซับลมปราณฟ้าดินที่อยู่โดยรอบเข้าไปอย่างบ้าคลั่งจนพลังสภาวะที่เคยเป็นแค่แมวน้อยตัวหนึ่งก็ได้กลายเป็นพยัคฆ์ร้ายที่มีเขี้ยวเล็บแหลมคม และในขณะเดียวกันภายในร่างกายหลงเฉินก็เกิดเสียงประหลาดดังขึ้นมาเป็นสาย

 

“นั่นเสียงอะไรกัน?”

 

ผู้คนทั้งหมดต่างก็ได้ยินเสียงนั้นดังขึ้นมากระทบโสตประสาท เสียงดังสายนั้นราวกับเป็นเสียงของคลื่นมหาสมุทรกำลังซัดสาดกับโขดศิลาขนาดใหญ่อย่างรุนแรงไม่หยุด

 

อาจารย์อา หลิงหวินจื่อ และถู่ฟางทอสีหน้าแตกตื่นมองไปที่หลงเฉินด้วยความแปลกประหลาดใจอย่างถึงที่สุด พวกเขาทราบดีว่าสุ่มเสียงอันคุ้นหูนั้นดังออกมาจากที่แห่งใด

 

“เป็นเสียงการไหลเวียนของหยาดโลหิต”

 

ถู่ฟางพึมพำกับตัวเองเบาๆ ภายในโสตประสาทมีเสียงไหลเวียนของหยาดโลหิตกำลังเดือดพล่านอย่างบ้าคลั่งดังกึกก้องไปทั้งหมด เสียงนั้นบ่งบอกถึงการปะทุพลังทั้งหมดของขอบเขตก่อโลหิตตอนปลายขั้นสูงสุดไปแล้ว

 

ทว่าหากเป็นผู้ฝึกยุทธ์โดยทั่วไปจะเกิดเสียงการไหลเวียนของหยาดโลหิตภายในร่างกายดังขึ้นมาภายในระยะสามจื่อ (ฟุต) เท่านั้น ต่อให้มีกายเนื้อแข็งแกร่งอย่างกู่หยางก็คงจะดังขึ้นมาในระยะไม่ถึงสิบเซียะเสียด้วยซ้ำไป ฉะนั้นพลังสภาวะภายในร่างกายของหลงเฉินจึงเรียกได้ว่าน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

 

เสียงการไหลเวียนของหยาดโลหิตภายในร่างกายของหลงเฉินประดุจอัสนีบาตคำรนจนได้ยินอย่างชัดเจนแม้จะอยู่ห่างออกไปนับร้อยลี้ อีกทั้งยังดังสะท้านจนหุบเขายังต้องสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

 

ความน่าหวาดกลัวในตอนนี้ช่างแตกต่างจากช่วงเวลาที่ต่อสู้กับกู่หยางอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะเกลียดชังกู่หยางและพวกพ้องของเขาที่แย่งชิงทรัพยากรไปด้วยกลโกง ทว่ากลับไม่ใช่เป็นความแค้นที่ฝังรากลึกลงไปภายในจิตใจแต่อย่างใด

 

ทว่าในครั้งนี้หวู่ฉีกลับลงมือต่อเสี่ยวเสว่ยอย่างโหดร้ายทารุณซึ่งเขาไม่อาจยอมรับได้อย่างถึงที่สุด การกระทำที่แสนเลวร้ายของหวู่ฉีจึงไปกระตุ้นรังสีสังหารของเขาให้ระเบิดออกมาทั้งหมด รวมไปถึงขุมพลังจากเคล็ดกายานวดาราด้วย

 

ซึ่งเคล็ดกายานวดารานั้นเคยปะมุขึ้นมาเมื่อครั้งที่หลงเฉินยังอยู่ที่จักรวรรดิเฟิงหมิง เป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวกำลังอยู่ในอันตราย หลงเฉินจึงปะทุพลังจากเคล็ดกายานวดาราจนสามารถสังหารชายหนุ่มชุดขาวลงไปได้

 

ในขณะนี้หลงเฉินจึงไม่อาจควบคุมความกระหายที่จะสังหารผู้คนเอาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว เขาได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดของเคล็ดกายานวดาราออกมาจนทำให้หยาดโลหิตภายในร่างกายเปล่งประกายแสงสีทองอร่ามขึ้นมามากมายนับไม่ถ้วน
 

“ไม่เลวเลยทีเดียว ทว่าน่าเสียดายที่เจ้าเป็นแค่เด็กน้อยขอบเขตก่อโลหิตผู้หนึ่งเท่านั้น ฉะนั้นคนที่จะตายในวันนี้ก็คือเจ้า จงกล่าวลาต่อสหายของเจ้าก่อนเถิด ไม่เช่นนั้นคงจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกแล้ว” หวู่ฉีหัวเราะแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

หลงเฉินไม่ตอบกลับอันใด เขาสัมผัสได้ว่าพลังอันมหาศาลที่กำลังเดือดพล่านอยู่ในร่างกายไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไปแล้ว และที่สำคัญก็คือขุมพลังเหล่านั้นยังสามารถปะทุขึ้นมาได้อีกเป็นเท่าตัวเลยก็ว่าได้

 

“ซูม”

 

อาวุธกระดูกถูกชี้ไปทางหวู่ฉี แล้วน้ำเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นมา “เก็บวาจาไร้เดียงสาของเจ้าเอาไว้พึมพำกับตัวเองเถิด หากคิดที่จะโจมตีใส่ข้าก็จงระเบิดพลังสภาวะของเจ้าที่มีทั้งหมดออกมา ไม่เช่นนั้นความตื่นตระหนกภายในแววตาของเจ้าจะทำให้เจ้าตกที่นั่งลำบาก

 

และอย่าได้คิดให้เสียเวลาไปเลยว่าคำพูดของเจ้าจะสามารถทำลายความมั่นใจของข้าได้ หากไม่อาจกระทำอย่างที่กล่าวออกมาได้ก็จงเก็บน้ำลายเอาไว้กล่าวขอโทษต่อบรรพบุรุษของเจ้าดีกว่า

 

ข้าเข่นฆ่าศัตรูมามากมายนับไม่ถ้วนจนเจ้าไม่อาจคาดเดาได้เลยล่ะ ฉะนั้นอย่าได้กล่าววาจาไร้สาระต่อหน้าข้า….ผู้ที่รอดพ้นจากการต่อสู้เป็นตายมาหลายสิบครั้ง เพราะคำพูดของคนอย่างเจ้าไม่มีวันที่จะสั่นคลอนความเชื่อมั่นภายในจิตใจของข้าได้”
 

น้ำเสียงของหลงเฉินเปี่ยมไปด้วยความไม่แยแส ทว่าดุดันจนน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง และแม้จะเป็นคำพูดที่คนอื่นได้ยินคงจะคิดว่าหลงเฉินนั้นสรรเสริญตัวเองจนเกินไป ทว่าผู้คนทั้งหมดในสถานที่แห่งนี้กลับไม่มีผู้ใดตั้งข้อกังหาในคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย

 

ภายในจิตใจของซ่งหมิงเหยียนและพวกพ้องเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาเป็นสาย หากที่หลงเฉินกล่าวออกมาทั้งหมดนั้นเป็นความจริง เช่นนั้นประสบการณ์ความเป็นตายที่เขาได้พบเจอมาคงจะน่าหวาดกลัวอย่างไร้ที่เปรียบแน่นอน

 

“หยุดกล่าววาจาไร้สาระเสียที ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรับความอ่อนแอของตัวเอง ข้าก็จะทำให้เจ้าตระหนักเอง จงตายไปซะ”

 

หวู่ฉีตะโกนขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด พลันก็พลิกคมกระบี่มุ่งหน้าไปทางหลงเฉินอย่างรวดเร็ว ประกายกระบี่สายนั้นราวกับแฝงเอาไว้ด้วยกระบวนท่าที่ร้ายกาจอยู่มากมายนับไม่ถ้วนที่กำลังทิ่มแทงเข้าไปที่หลงเฉินอย่างบ้าคลั่ง

 

กระบวนท่าของหวู่ฉีรวดเร็วจนยากที่จะจับทางได้ ในขณะที่เพิ่งจะเริ่มลงมือ คมกระบี่ก็เข้ามาจ่ออยู่ที่ใบหน้าของหลงเฉินแล้ว ช่างเป็นกระบวนท่าที่ว่องไวและพิสดารเป็นอย่างยิ่ง
 

ทว่าผู้คนทั้งหมดที่มองดูอยู่รอบด้านต่างก็ตกใจขึ้นมายกใหญ่เมื่อเห็นว่าหลงเฉินราวกับไม่ได้สนใจที่กระบี่ยาวเล่มนั้นเลย ในทางตรงกันข้ามก็ได้แทงอาวุธกระดูกไปที่หน้าอกของหวู่ฉีอย่างกะทันหัน
 

อาวุธกระดูกที่มีความยาวหนึ่งเซียะสวนทางกับกระบี่ยาวของหวู่ฉีราวกับว่าพวกเขากำลังออกกระบวนท่าเพื่อปลิดชีพของอีกฝ่ายหนึ่ง หลงเฉินมีสีหน้าแน่ยิ่งจนน่าหวาดกลัว ร่างกายไม่ขยับหลบกระบี่ยาวเล่มนั้นเลยแม้แต่น้อย คล้ายกับว่าชีวิตของเขาไม่มีค่าอีกต่อไปแล้ว

 

ทว่าหวู่ฉีที่กำลังถือกระบี่ยาวกลับทอสีหน้าแตกตื่นมองไปที่อาวุธกระดูกของหลงเฉิน นี่เขาคิดที่จะใช้กระบวนท่าเดียวเพื่อให้ตายร่วมกันไปทั้งสองฝ่ายอย่างนั้นหรือ

 

พลันก็รีบชักกระบี่ยาวที่อยู่ในมือคืนกลับมาขวางอาวุธกระดูกของหลงเฉินเอาไว้อย่างรวดเร็ว พลังการฝึกยุทธ์ของหวู่ฉีเรียกได้ว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง สามารถเทียบได้กับพลังในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนปลายเลยก็ว่าได้

 

“เหอะ แท้ที่จริงแล้วเจ้าก็กลัวตาย” หลงเฉินแสยะยิ้มขึ้นมาพร้อมกับกล่าววาจาเย้ยหยันออกไป

 

“บัดซบ!”

 

หวู่ฉีระเบิดโทสะขึ้นมายกใหญ่ กระบี่ยาวในมือต้านกับอาวุธกระดูกของหลงเฉินเอาไว้ ทว่าพลังสภาวะที่ซ่อนเร้นอยู่บนอาวุธกระดูกกลับสะเทือนไปถึงร่างกายของเขาจนทำให้อวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บขึ้นมาเล็กน้อย

 

ทันใดนั้นเขาก็ทราบได้ว่าหลงเฉินได้ผนึกพลังทั้งหมดเอาไว้ที่อาวุธกระดูก ฉะนั้นหากถูกอาวุธกระดูกแทงทะลุร่างก็คงจะต้องตายไปทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย

 

“ไปตายซะ”

 

หวู่ฉีตะโกนออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด กระบี่ยาวในมือทอประกายแสงสว่างวาบขึ้นมาพร้อมกับอักขระประหลาดสายหนึ่ง พลังอันน่าหวาดกลัวปกคลุมทั่วตัวกระบี่ยาวกวาดไปทางหลงเฉินอย่างรุนแรง ทว่าในขณะที่กระบี่ยาวของหวู่ฉีกำลังผ่าสภาวะอากาศเข้ามาอยู่นั้น อาวุธกระดูกของหลงเฉินก็ถูกยกสูงขึ้นสู่ฟากฟ้า

 

“ลี้ลมทลาย”

 

หลงเฉินไม่ได้สนใจกระบวนท่าของหวู่ฉีเลยแม้แต่น้อย พลันก็สร้างเงาอาวุธขนาดใหญ่ฟาดลงไปที่หวู่ฉีอย่างหนักหน่วง ผู้คนทั้งหมดทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงจ้องมองไปยังกระบวนท่าอันน่าหวาดกลัวที่สามารถสังหารพวกเขาไปพร้อมกันได้

 

หวู่ฉีเองก็เกิดอาการแตกตื่นตกใจขึ้นมา เขาสัมผัสได้ถึงกระแสลมกรรโชกแรงที่กระทบกับกระบี่ยาวของเขาอยู่ ถึงแม้ว่าคมกระบี่ของเขาจะสามารถสังหารหลงเฉินได้ในครั้งเดียว ทว่าเงาอาวุธของหลงเฉินก็สามารถทำให้เขาแหลกลานไปได้เช่นเดียวกัน

 

เมื่อหวู่ฉีไม่เห็นทางหลบเลี่ยงอื่นใดให้ออกไป เขาก็ได้พลิกคมกระบี่กลับมาต้านกับอาวุธกระดูกของหลงเฉินอีกครั้งหนึ่ง

 

“ตูม”

 

กระบี่ยาวประสานงานกับอาวุธกระดูกอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วผืนฟ้า หวู่ฉีกระอักโลหิตออกมาพร้อมกับลอยกระเด็นออกไป

 

อาการบาดเจ็บภายในไม่ได้มาจากกระบวนท่าเงาอาวุธของหลงเฉิน ทว่ากลับเป็นกระแสพลังอันแรงกล้าของหลงเฉินที่ตีกลับพลังของเขาจนพลังสภาวะภายในร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ด้วยเหตุนี้เส้นเอ็นของเขาจึงฉีกขาดอย่างรุนแรง

 

ผู้คนมากมายทอดวงตาโง่งมเหม่อมองไปยังหวู่ฉีที่กระอักโลหิตออกมา ภายในจิตใจของพวกเขาถึงกับเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง เห็นๆ กันอยู่แล้วว่าหวู่ฉีมีพลังการฝึกยุทธ์ที่สูงกว่าหลงเฉินเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหลงเฉินกลับเหนือกว่าด้วยการใช้กลยุทธ์เอาแลกชีวิตจนสามารถต้อนหวู่ฉีจนจนมุมไปได้ทั้งสองครั้ง

 

อีกทั้งหลงเฉินยังคงมีใบหน้าเรียบเฉยมาโดยตลอด แม้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับการแลกชีวิตถึงสองครั้งก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงอารมณ์บนใบหน้าไปเลยแม้แต่น้อย

 

เมื่อเห็นใบหน้าของหลงเฉิน ภายในจิตใจของหวู่ฉียิ่งเกิดเพลิงโทสะลุกโชนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง แน่นอนว่าเขาได้ออกกระบวนท่าที่แข็งแกร่งออกไปถึงสองครั้งติดต่อกัน ทว่ากลับถูกหลงเฉินโต้กลับมาได้ทั้งสองครั้งจนตัวเองได้รับบาดเจ็บถึงอวัยวะภายใน

 

“ซูม”

 

ในขณะที่หวู่ฉีกำลังจะออกกระบวนท่าที่สามขึ้นมา ทันใดนั้นอาวุธกระดูกของหลงเฉินก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าของเขามุ่งหน้ามาที่ศีรษะอย่างรุนแรง

 

หวู่ฉีเบิกดวงตาโพลงโจด้วยอาการแตกตื่น พลันก็รีบกระตุ้นพลังที่ฝ่าเท้าร่นถอยหลังออกไปจนรอดพ้นจากคมอาวุธของหลงเฉินได้อย่างหวุดหวิด

 

ทว่าหวู่ฉีนั้นหลงลืมไปเสียสนิทเกี่ยวกับขนาดของเวทีประลองตัดสินความตาย และในขณะนี้หลงเฉินก็ได้จู่โจมเข้ามาจนต้อนเขาเข้าไปถึงมุมหนึ่งของเวที ภายในจิตใจของเขาจึงแอบร่ำไห้ขึ้นมาด้วยความเสียใจอย่างถึงที่สุด

 

“ปัง”

 

เสียงกระแทกกับเหล็กกล้าดังสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณ เพราะว่าหวู่ฉีได้หลบเลี่ยงจากกระบวนท่าของหลงเฉินจนเหินลอยขึ้นไปกระแทกเข้ากับแผ่นเหล็กขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านบนจนศีรษะมีโลหิตไหลรินออกมา

 

หวู่ฉีรู้สึกราวกับว่าผืนฟ้ากำลังหมุนคว้างแผ่นดินกำลังพลิกผันอย่างไรอย่างนั้น แววตาเปี่ยมไปด้วยประกายดวงดาวระยิบระยับ และในขณะที่อาการมึนงงกำลังทุเลาลงไปเรื่อยๆ นั้น อาวุธกระดูกของหลงเฉินก็ได้หอบสายลมพวยพุ่งเข้ามาตรงหน้าอกข้างซ้ายของหวู่ฉีด้วยความรวดเร็ว

 

หวู่ฉีจ้องมองไปยังอาวุธกระดูกของหลงเฉินพลันก็ปล่อยกระบี่ยาวในมือออกไปที่อกข้างซ้ายของหลงเฉินด้วยเช่นเดียวกัน เพราะกระบี่ยาวของเขาไม่ได้ยาวเท่าอาวุธกระดูกของหลงเฉิน จึงมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทลายการป้องกันของหลงเฉินลงไปได้

 

ทว่าหลงเฉินก็ไม่ได้สนใจกระบี่ยาวเล่มนั้นเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา พลันก็ทะยานตัวไปพร้อมกับอาวุธกระดูกที่แฝงความคมกล้าเอาไว้ไปทางหวู่ฉีอย่างรวดเร็ว

 

“พรวด พรวด”

 

เสียงอาวุธทะลุกายเนื้อดังขึ้นมาติดต่อกันถึงสองครั้ง อาวุธกระดูกของหลงเฉินแทงทะลุหน้าอกของหวู่ฉี และบริเวณอกข้างซ้ายของหลงเฉินก็มีกระบี่ยาวแทงเข้าไป เพียงพริบตาเดียวทั่วทั้งสนามก็ตกอยู่ในความเงียบงันจนไร้ซึ่งซุ่มเสียงอีกครั้งหนึ่ง

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset