“ท่านผู้อาวุโส ข้าอยากทราบว่าท่านมีโลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายาระดับสูงอยู่ใช่หรือไม่?” หลงเฉินเอ่ยถามออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ชายชราพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “มี เป็นโลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายาระดับสี่ เจ้าต้องการมันอย่างนั้นหรือ?”
หลงเฉินได้ยินมาจากอาหมานว่าอาจารย์ของเขาได้พาออกไปล่าสัตว์มากมายตั้งแต่มาถึงที่หมู่ตึก อีกทั้งเขายังได้กินสัตว์มายาระดับสี่จนร่างกายแข็งแกร่งมากขึ้น ฉะนั้นหากได้โลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายาระดับสี่ไปแช่ร่างกายหรือหลอมเป็นโอสถ แน่นอนว่าต้องให้ผลลัพธ์ที่ล้ำค่าอย่างถึงที่สุดแล้ว
เมื่อได้ยินชายชราตอบกลับมาเช่นนั้น หลงเฉินจึงอดไม่ได้ที่จะเกิดความยินดีขึ้นมายกใหญ่ “ถ้าเช่นนั้น… ท่านอาวุโสได้โปรดแบ่งให้ข้าสักเล็กน้อยจะได้หรือไม่?”
“ย่อมไม่ใช่ปัญหา ทว่าหยุดเรียกข้าว่าท่านผู้อาวุโสเถิด ฟังแล้วไม่ชอบใจเอาเสียเลย ข้ามีนามว่าชางหมิง และในเมื่อเจ้าไม่กราบข้าเป็นอาจารย์ก็จงเรียกข้าว่าชางหมิงต้าป่อ (大伯ลุงใหญ่) ก็แล้วกัน” ชางหมิงกล่าว
หลงเฉินเหลือบตามองไปทางหลิงหวินจื่ออยู่ครู่หนึ่ง ภายในจิตใจบังเกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเป็นสาย หากเขาเรียกผู้อาวุโสท่านนี้ว่าชางหมิงต้าป่อ จะไม่ถือว่าเป็นรุ่นเดียวกันกับท่านเจ้าสำนักอย่างนั้นหรือ?
หลิงหวินจื่อก็ราวกับอ่านความคิดของหลงเฉินออก พลันก็ส่งยิ้มกลับมาแล้วกล่าวว่า “เรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้ คนของหมู่ตึกไม่เก็บมาคิดใส่ใจหรอก พวกเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับชนชั้นเหมือนกับสำนักอื่นๆ เท่าใดนัก”
หลงเฉินจึงหันกลับมาทางชายชราผู้มีนามว่าชางหมิงแล้วกล่าวว่า “หลงเฉินขอคารวะชางหมิงต้าป่อ”
“หึหึ เยี่ยมมาก ข้าชื่นชอบในตัวเจ้ายิ่งนัก เจ้ามีความห้าวหาญและความกล้าบ้าบิ่นเหมือนกับข้าในสมัยที่ยังเยาว์ อีกทั้งยังรับมือกับกลุ่มคนที่เลวร้ายเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
ส่วนพวกวัชพืชที่โตในเรือนกระจกเหล่านั้น ให้ตายเถิด ข้าคร้านที่จะด่าทอแล้ว เสี่ยวหลิงจื่อ (หลิงน้อย) เจ้าไม่แปลกใจบ้างหรือ ข้าเองก็บอกเจ้าไปตั้งแต่แรกแล้วว่าหากกฎของหมู่ตึกมีปัญหา ย่อมส่งผลกับการเลี้ยงดูเหล่าศิษย์ทั้งหลายทั้งมวล
ปัญหาในตอนนี้คือพวกเขาเอาแต่มองว่าผู้ใดดูสูงส่งกว่า ทักษะยุทธ์มากกว่า หรือออกกระบวนท่าได้สวยหรูกว่ากัน ไม่มีจิตใจของผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงเลยแม้แต่น้อย หากพวกเขามีใจแน่วแน่ที่จะกำจัดศัตรูให้ได้เร็วที่สุด ย่อมใช้เพียงกระบวนท่าเดียวในการสังหารไปได้แล้ว
แม้จะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตัวก็ตามที ส่วนเจ้านั่น….เจ้า….คิดว่าการประลองในครั้งนี้เป็นเพียงการละเล่นอยู่หรืออย่างไรกัน?”
ถู่ฟางรีบเสริมขึ้นมาว่า “ศิษย์ผู้นั้นมีนามว่าหวู่ฉี”
“เจ้าหวู่ฉีผู้นั้นเป็นอาจมของสุนัข ใช้อำนาจบาตรใหญ่จนหลงระเริงตน หากเขาได้มีโอกาสพบกับยอดฝีมือผู้โหดเหี้ยวอำมหิตอย่างฝ่ายอธรรมเข้าคงจะแตกตื่นตกใจจนปัสสาวะเรี่ยราดอย่างแน่นอน
การประลองเป็นตายต้องวางแผนการอันใดให้สับซ้อนอย่างนั้นหรือ? คิดจะใช้จิตวิทยาต่อคู่ต่อสู้? เหอะ ให้ตายเถิด บุคคลเช่นนี้คือยอดฝีมือที่พวกเจ้าต้องเสียทรัพยากรอันมีค่าบ่มเพาะขึ้นมาอย่างนั้นหรือ?
ข้ากลับเห็นว่าเขาเป็นเพียงสุกรอ้วนพีตัวหนึ่งเท่านั้น แล้วอย่างไร? เจ้าคิดจะส่งศิษย์ของเจ้าไปให้ฝ่ายอธรรมทดลองพลังฝีมือของตัวเองให้แกร่งกล้ายิ่งขึ้นหรืออย่างไรกัน เหอะ ศิษย์ของหมู่ตึกนับวันก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปทุกทีแล้วนะ”
ชางหมิงด่าทอขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด ทว่าเมื่อกล่าวมาจนถึงประโยคสุดท้ายก็ได้ถอนหายใจออกมา แววตาเหม่อมองออกไปด้วยความเจ็บปวดขึ้นมาเป็นสายคล้ายกับหวนนึกถึงเรื่องราวที่เลวร้ายบางอย่างขึ้นมาได้
หลิงหวินจื่อที่ยืนอยู่ข้างกายก็ไม่คิดที่จะโต้ตอบขึ้นมาแต่อย่างใด เขาเองก็ทราบดีว่ากฎของหมู่ตึกมีปัญหา ทว่ากฎเหล่านั้นกลับถูกเขียนขึ้นมาตั้งแต่รุ่นบรรพจารย์ที่ก่อตั้งหมู่ตึกขึ้นมา เขาจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงข้อความใดได้
“เสี่ยวหลิงจื่อ เจ้าเป็นคนอัจฉริยะมากที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมา ทว่าเจ้ากลับขาดสิ่งที่เรียกว่าความเด็ดขาด ไม่ว่าจะทำการอันใดจะต้องหวาดระแวงและกังวลจนเกินกว่าเหตุ ภายในจิตใจของเจ้าจึงไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง
การเป็นคนที่ลงมืออย่างช้าๆ ด้วยความรอบคอบนั้นก็ไม่ได้เลวร้ายแต่อย่างใด ทว่าหากอยู่ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ที่ไร้ซึ่งความกล้าหาญและเชื่อมั่นในตัวเอง เจ้าคงจะไปได้ไม่ไกลอย่างแน่นอน
พรสวรรค์เป็นเพียงลมที่ผายออกมาเท่านั้น หากเจ้าไม่เบ่งให้ดังพอหรือใกล้จมูกผู้คนเป็นอย่างมาก ก็คงจะไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าเจ้าได้ผายลมออกมาแล้ว ใช่หรือไม่?”
หลงเฉินเกือบจะพรวดหัวเราะออกมาด้วยความขำขันในคำกล่าวของชางหมิง ทว่าภายในจิตใจก็ไม่อาจปฏิเสธถึงความล้ำลึกของชายชราผู้นี้ได้เลย เพราะสิ่งที่เขาได้กล่าวออกมาทั้งหมดนั้นถูกต้องและตรงกับความเป็นจริงอย่างถึงที่สุด
บุคคลที่มีพรสวรรค์นั้นมีมากมายเกลื่อนกลาดไปทั่วทุกสารทิศ ทว่ามีส่วนน้อยที่จะเข้าถึงจิตวิญญาณของการเอาชีวิตรอดตามหลักของการฝึกยุทธ์ เพราะพวกเขาเหล่านั้นไร้ซึ่งความกล้าหาญและแน่วแน่ในจิตใจ และต่อให้มีพรสวรรค์สูงส่งกว่านี้อีกหลายเท่าตัวก็ยังเป็นบุคคลไร้ประโยชน์อยู่ดี
ยิ่งนึกไปถึงการคัดเลือกผู้คนที่มาจากตระกูลใหญ่เพื่อเข้ามาเป็นศิษย์ของหมู่ตึกก็ยิ่งทำให้หลงเฉินรู้สึกขบขันเป็นอย่างยิ่ง นอกจากการทดสอบภายในถ้ำแล้วก็ไม่มีวิธีการใดเลยที่หลงเฉินเห็นด้วย
“เสี่ยวหลิงจื่อ ชีวิตของคนเราก็ไม่ได้ต่างไปจากต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ได้เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เมื่อถึงเวลาก็ย่อมต้องโรยราลงไปตามอายุขัย การถือกำเนิดมาครั้งหนึ่งย่อมสมควรที่จะทิ้งชื่อเสียงเรียงนามเอาไว้บ้าง
ฉะนั้นข้าจะขอถามเจ้าว่าหากในยามที่เจ้าสิ้นใจไป เจ้าคิดว่าเจ้าได้ทิ้งอะไรไว้ให้ผู้คนหรือศิษย์ของเจ้าบ้าง? หากเจ้ายึดถือแต่กฎเกณฑ์ของทางหมู่ตึกก็คงจะไม่มีผู้ใดจดจำเจ้าได้อย่างชัดเจน” ชางหมิงส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าวอย่างอดสู
“ข้าเคยคิดว่าจะบ่มเพาะเลี้ยงดูเจ้าให้กลายเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงขึ้นมา ทว่าผลสุดท้ายเจ้ากลับเอาแต่ฟังศิษย์พี่ของข้า เจ้าในตอนนี้จึงเป็นได้แค่เด็กน้อยที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่เท่านั้นเอง”
เมื่อกล่าวจบชางหมิงก็หันไปมองที่อาหมาน แววตาของชายชราทอประกายเจิดจ้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ “อย่างน้อยสวรรค์ก็เมตตาข้า ส่งศิษย์ที่น่าเอ็นดูเช่นนี้มาให้ในช่วงบั้นปลายของชีวิต หึหึ”
“สวรรค์ก็เมตตาข้าเช่นกันที่ทำให้ข้าได้มาพบตาแก่อย่างท่าน ในที่สุดข้าก็จะไม่มีวันอดตายแล้ว” อาหมานกล่าวด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว
ใบหน้ายิ้มแย้มของอาหมานทำให้ชางหมิงหัวเราะขึ้นมายกใหญ่ ถึงแม้ว่าเด็กน้อยผู้นี้จะโง่งมไปบ้าง ทว่ากลับเป็นเรื่องที่ดีอยู่ไม่น้อยเลย
ภายในจิตใจของเขารู้สึกว่าอาหมานเป็นเหมือนบุตรชายบังเกิดเกล้าของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น และเขาก็ทราบนิสัยของอาหมานเป็นอย่างดี เด็กน้อยที่ดีผู้นี้เป็นคนสัตย์ซื่อและไม่ชมชอบการรังแกผู้อื่น
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ฟังเหตุผลของผู้อาวุโสซุนเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังลงมือจนผู้อาวุโสซุนได้รับบาดเจ็บหนัก หากไม่เห็นแก่หน้าของหลิงหวินจื่อ แน่นอนว่าเขาคงจะลากผู้อาวุโสซุนกลับไปจัดการแล้วฝังให้ตายไปทั้งเป็นแล้ว
เมื่อหลิงหวินจื่อเห็นว่าอาจารย์อาของเขาอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว จึงหันไปกล่าวต่อหลงเฉินว่า “หลงเฉิน เจ้าคิดว่าทางหมู่ตึกควรจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรดีจึงจะทำให้ศิษย์ทุกคนมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น?”
หลงเฉินฝืนยิ้มขึ้นมาแล้วตอบกลับไปว่า “ท่านเจ้าสำนักให้ความสำคัญกับศิษย์มากเกินไปแล้ว ศิษย์มีพลังอยู่ในขอบเขตก่อโลหิตเท่านั้น คงไม่อาจให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับเรื่องเช่นนี้ได้”
หลิงหวินจื่อยิ้มเล็กน้อย ภายในจิตใจก็ลอบกล่าวขึ้นมาว่าเจ้าคงยังไม่ทราบถึงความร้ายกาจของตัวเองสินะ หากเมื่อใดที่เจ้าทราบก็คงจะไม่คิดเช่นนี้อีกแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นก็บอกความอัดอั้นของเจ้าให้ข้าฟังก็ได้” หลิงหวินจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
เมื่อพบว่าหลิงหวินจื่อจริงจังเป็นอย่างยิ่ง หลงเฉินจึงไม่กล้าเล่นลิ้นอีกต่อไปแล้ว “ในเมื่อท่านเจ้าสำนักอยากทราบ ศิษย์ก็จะไม่อ้อมค้อม กฎของหมู่ตึกในสายตาของข้านั้นคือ ‘ปล่อยให้ลูกม้าออกวิ่งเล่นได้เอง ทว่ากลับไม่ให้ลูกม้าเหล่านั้นกินหญ้า’
คิดที่จะบ่าเพาะให้ศิษย์เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง ทว่าไม่ช่วยศิษย์หาจุดอ่อนแล้วอุดมัน อีกทั้งยังส่งเสริมให้ร่วมกันเล่นเสมือนเป็นเด็กน้อย สิ่งที่หมู่ตึกกำลังทำช่างน่าเบื่อเสียจริง!”
ถู่ฟางขมวดคิ้วแล้วตอบกลับไปทันควันว่า “หากไม่มีให้แก่งแย่งจนเกิดความกดดันแล้วจะกระตุ้นพลังของพวกเขาขึ้นมาได้อย่างไรกัน? หากไม่ทำเช่นนี้ก็จะทำให้ฝึกยุทธ์ได้เชื่องช้าลงไม่ใช่หรือ?”
เห็นได้ชัดว่าถู่ฟางไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหลงเฉิน ถ้าหากไม่มีการแย่งชิงแล้วแบ่งทรัพยากรให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมจะยิ่งทำให้ศิษย์เชื่องช้าจนเกินไปอย่างนั้นหรอกหรือ
“การแก่งแย่งก็ถือเป็นเรื่องที่ดี ทว่าก็ต้องดูที่วิธีการด้วยว่าจะทำให้ผู้คนแข็งแกร่งขึ้นได้หรือไม่ และที่ข้าเห็นก็คือการแย่งชิงที่หมู่ตึกจัดขึ้นมาล้วนแล้วแต่เป็นการแก่งแย่งที่ย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง
หากมองถึงความตั้งใจของหมู่ตึกก็ถือว่าดีอยู่บ้างที่ทำให้ผู้คนแก่งแย่งและใช้ความสามารถเข้ากดดันฝ่ายอื่น อีกทั้งยังกระตุ้นให้ตัวเองเพิ่มพูนความแข็งแกร่งขึ้นมา ทว่าพวกเขาก็จะมีเพียงความคิดที่จะอยู่เหนือศัตรูตลอดเวลา และที่ฝึกฝนพลังฝีมือขึ้นมาอย่างเอาเป็นเอาตายก็เพื่อเอาชนะผู้คนเท่านั้น
การแก่งแย่งนั้นไม่ได้เลวร้าย ทว่าทางหมู่ตึกก็จะได้ยอดฝีมือที่เป็นเพียงเศษสวะกลุ่มหนึ่งที่คิดว่าตัวเองมีพลังการฝึกยุทธ์ที่สูงส่งแล้วจะแข็งแกร่งจนไร้ผู้ต้านภายใต้โลกหล้าแห่งนี้ไปทั้งหมด
และเมื่อบุคคลเช่นนี้ได้เผชิญหน้ากับความเป็นตาย พวกเขาก็จะเอาแต่ขบขันศัตรูแล้วคิดถึงแต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ตัวเองคิดว่ายิ่งใหญ่ที่สุด จนมองข้ามไปว่าศัตรูนั้นมีพลังการฝึกยุทธ์เป็นเช่นไร ไม่สนแม้กระทั่งทักษะยุทธ์หรือพรสวรรค์ ภายในห้วงสมองของพวกเขามีแต่ความคิดที่จะฟาดฟันเพื่อให้ชนะเพียงอย่างเดียว
เมื่อกลยุทธ์ที่ใช้สู้บนทุ่งดอกไม้ต้องอยู่ในเงื้อมมือของผู้คนที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อความเข็งแกร่ง คนผู้นั้นก็มีแต่จะต้องกลายเป็นเนื้อบดเท่านั้น”
ทันทีที่หลงเฉินกล่าวจบ ถู่ฟางและหลิงหวินจื่อก็ได่แต่ครุ่นคิดอย่างหนัก สิ่งที่หลงเฉินกล่าวออกมาทั้งหมดทำให้พวกเขารู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่หมู่ตึกไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้มาโดยตลอด
ทว่าหากปล่อยให้เหล่าลูกศิษย์ลงมือสังหารกันได้จริงคงจะไม่มีตระกูลใดยอมส่งลูกหลานที่มีพรสวรรค์มาศึกษาเล่าเรียนกับทางหมู่ตึกแน่นอน เพราะเดิมทีวิธีการสอบเข้าก็ทำให้ตระกูลใหญ่เหล่านั้นไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว ราวกับส่งให้ลูกหลานของพวกเขามาหาที่ตายถึงที่อย่างไรอย่างนั้น
“แล้วทำอย่างไรถึงจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้?” หลิงหวินจื่อเอ่ยถามขึ้นมา
“เรียนรู้จากศัตรูอย่างไรเล่า” หลงเฉินตอบกลับไปด้วยความรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง
“หือ?”
“พวกเราเป็นศัตรูกับฝ่ายอธรรมไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างสถานการณ์การต่อสู้อันใดให้วุ่นวาย ชางหมิงต้าป่อก็บอกไม่ใช่หรือว่าศิษย์อย่างพวกเราเป็นหินลับมีดให้กับฝ่ายอธรรม?
เช่นนั้นเปลี่ยนให้พวกเขาเป็นหินลับมีดให้กับพวกเราบ้างจะเป็นอย่างไร? หากเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้ผู้คนมีเป้าหมายเดียวกัน ฝึกฝนเพื่อเพิ่มพูนพลังฝีมือร่วมกัน อีกทั้งยังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอีกด้วย
ข้าว่าให้เป็นเช่นนี้ยังดีกว่าปล่อยพวกเราต่อสู้แก่งแย่งกันเอง อีกทั้งยังส่งเสริมให้เหล่าศิษย์ไม่ลงรอยกันราวกับเห็นพวกพ้องเป็นศัตรูอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ต่อให้มีศัตรูที่แท้จริงปรากฏตัวก็ยากที่จะผนึกกำลังต่อสู้ได้” หลงเฉินกล่าว
ถู่ฟางพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เป็นวิธีที่ดียิ่งนัก ทว่าพวกเราไม่ทราบว่าศิษย์ของฝ่ายอธรรมจะบุกเข้ามาในเวลาใด หากจะทำเช่นนั้นอาจจะยุ่งยากอยู่บ้าง”
“พวกเราก็เป็นฝ่ายบุกไปหาพวกเขาบ้างไม่ได้หรือ?” หลงเฉินขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ
ถู่ฟางและหลิงหวินจื่อทอสีหน้าแตกตื่นขึ้นมาในทันที ตั้งแต่หมู่ตึกก่อตั้งมาก็จะมีแต่ศิษย์อธรรมเป็นฝ่ายบุกเข้ามาเท่านั้น และฝ่ายธรรมะอย่างพวกเราก็จะจู่โจมกลับไป เป็นเช่นนี้เสมอมาจนเกิดเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว เมื่อได้ยินว่าหลงเฉินจะให้ฝ่ายเราบุกเข้าไปหาฝ่ายอธรรมจึงทำให้พวกเขาตกใจอยู่ไม่น้อยเลย
“ขอบใจเจ้ามาก ทว่าเรื่องนี้คงจะต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบดูเสียก่อน” หลิงหวินจื่อยิ้มแล้วกล่าว พลันสภาวะอากาศโดยรอบก็สั่นไหวขึ้นมา จากนั้นเงาร่างของเขาก็หายลับไปพร้อมกับถู่ฟาง
“หลงเฉิน นี่เป็นโลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายาระดับสี่ที่ข้าเก็บรวบรวมไว้ เจ้าเอาไปใช้ทั้งหมดนี่เถิด” ชางหมิงถอดแหวนมิติออกแล้วยื่นให้หลงเฉิน
หลงเฉินรับแหวนมิติวงนั้นมาแล้วเปิดดูภายใน ทันใดนั้นแววตาทั้งสองก็ทอประกายเจิดจ้าด้วยความยินดีอย่างหาที่เปรียบไม่ได้เมื่อพบว่าภายในนั้นมีโลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายากว่าห้าสิบโถ อีกทั้งยังเป็นโลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายาระดับที่สี่ทั้งหมดอีกด้วย
“ออ หลังจากที่ข้ากลับไป ข้าก็จะตีอาวุธให้เจ้าเล่มหนึ่งด้วย ถือเป็นของขวัญที่เจ้าสร้างความประทับใจในการพบหน้ากันครั้งนี้” ชางหมิงกล่าว
“ตาแก่ ท่านพนันกับข้าเอาไว้ไม่ใช่หรือ? ไม่ใช่ให้เป็นของขวัญเสียหน่อย” อาหมานรีบท้วงขึ้นมา
ทันใดนั้นใบหน้าของชายชราก็แดงก่ำขึ้นมาพร้อมกับส่งสายตาดุร้ายไปทางอาหมานผู้ใสซื่อ เรื่องที่ไม่สมควรจะฉลาดกลับฉลาดขึ้นมาทันควันเสียได้ ช่างน่าปวดเศียรเวียนเกล้ากับเด็กน้อยผู้นี้เสียจริงเชียว
หลงเฉินไม่ได้สนใจคำพูดของอาหมานเลยแม้แต่น้อย ภายในจิตใจเกิดอาการลิงโลดขึ้นมาตั้งแต่ตอนที่ได้ยินผู้อาวุโสชางหมิงกล่าวว่าจะตีอาวุธให้เขาด้วยตัวเองแล้ว เพราะในตอนนี้เขาไม่มีอาวุธที่เหมาะมือแม้แต่เล่มเดียว
“ต้องขอบคุณชางหมิงต้าป่อยิ่งนัก ทว่าข้าปรารถนาที่จะถืออาวุธที่หนักเป็นพิเศษเล็กน้อย” หลงเฉินกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เช่นนั้นจงใช้พลังทั้งหมดของเจ้าโจมตีใส่ข้าดู” ชางหมิงกล่าว
หลงเฉินไม่ได้เกิดความเกรงกลัวและเกรงใจแต่อย่างใด เพราะเขาทราบดีว่าผู้อาวุโสชางหมิงต้องการทดสอบพละกำลังของเขา พลันก็กระตุ้นพลังทั่วทั้งร่างกายแล้วออกหมัดไปในทันที
ตูม!
หมัดของหลงเฉินถูกชางหมิงต้านเอาไว้ได้ทั้งหมด ทว่าบนใบหน้าของชายชรากลับแตกตื่นอยู่ไม่น้อยเลย “แข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มาก พลังหมัดของเจ้าหนักราวแปดหมื่นชั่งเห็นจะได้ ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องตีดาบที่มีน้ำหนักสักห้าหมื่นชั่งให้เจ้าแล้วกระมัง?”
“สิบห้าหมื่นไม่ได้หรือ?” หลงเฉินกล่าวด้วยสีหน้ารอคอยอย่างมีความหวัง