“สิบห้าหมื่นชั่ง? ไม่หนักเกินกำลังของเจ้าไปหน่อยหรือ” ชางหมิงสะดุ้งตัวโยนเมื่อได้ยินสิ่งที่หลงเฉินกล่าวออกมา แม้แต่อาหมานที่มีกายเนื้อมหาศาลมาแต่กำเนิดยังถือเขี้ยวหมาป่าที่มีน้ำหนักยี่สิบหมื่นชั่งเท่านั้น
“ไม่มีปัญหาแน่นอน ข้ายังต้องกระตุ้นวงแหวนแห่งเทพออกมาอีก ฉะนั้นพลังอีกส่วนหนึ่งจึงยังไม่ได้ถูกแสดงออกมา และอีกไม่นานข้าก็จะทะลวงขอบเขตขึ้นไปอีกขั้น ด้วยน้ำหนักเช่นนั้นย่อมไม่หนักเกินไปสำหรับข้าเลย” หลงเฉินอธิบาย
ชางหมิงจึงเข้าใจขึ้นมาได้ในทันที พลันก็ตอบกลับไปว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นแล้ว อาวุธของอาหมานเองก็คงจะเบาเกินไป คงจะต้องตีเล่มใหม่ให้หนักกว่าเดิมเสียแล้ว
พวกเจ้านี่สมกับเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันเสียจริงๆ แม้แต่พลังกายก็ยังแข็งแกร่งจนน่าตกใจเกินคนเหมือนกัน วางใจเถิด ข้าจะตีศาตราวุธที่มีน้ำหนักมหาศาลให้แก่พวกเจ้าเอง”
“ขอขอบคุณชางหมิงต้าป่อที่กรุณาต่อข้าเป็นยิ่งนัก” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยความปิติยินดีอย่างไม่เสื่อมคลาย พลันก็เหลือบมองไปที่เขี้ยวหมาป่าของอาหมาน
หากเขามีอาวุธที่เหมาะมือและแข็งแกร่งกว่าเดิมคงจะทำให้แสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้ทั้งหมด ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับเดียวกันกับหวู่ฉีก็คงไม่อาจทำให้เขาเกิดอาการหวาดหวั่นอีกต่อไปแล้ว
และในขณะนี้เขาก็มีโลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายาระดับสี่อยู่ในมือมากมายแล้ว หลังจากนี้ก็จะสามารถสร้างโลหิตบริสุทธิ์ของหมื่นสรรพสัตว์ขึ้นมาได้นับไม่ถ้วน อีกทั้งยังทำให้พลังการฝึกยุทธ์เพิ่มพูนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าเคล็ดกายานวดาราจะยิ่งทำให้ทะลวงพลังเข้าสู่ขั้นต่อไปได้ยากเย็นแสนเข็ญมากยิ่งขึ้น ทว่าหากมีโลหิตบริสุทธิ์ของหมื่นสรรพสัตว์อยู่ก็ไม่เกรงกลัวสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว และเมื่อพลังการฝึกยุทธ์สูงขึ้นก็จะยิ่งทำให้กายเนื้อแข็งแกร่งขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัวเลยก็ว่าได้
ต่อให้ไม่อาจทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้ในไม่กี่เดือน ทว่าขอเพียงเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตขั้นที่สิบสามได้ เขาก็จะมีพลังฝีมือไม่ต่างจากยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนกลางผู้หนึ่งเลย
หลังจากที่กล่าวลาท่านผู้อาวุโสชางหมิงแล้ว หลงเฉินและอาหมานก็เดินทางกลับไปยังถ้ำที่พักของขุมกำลัง เมื่อกลับมาถึงก็ได้พบว่าผู้คนมากมายต่างก็มารอต้อนรับเขาด้วยความยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง
ขณะนี้นามของหลงเฉินได้ลือเลื่องไปทั่วทั้งหมู่ตึกแล้ว สามารถกล่าวได้ว่าไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้จักเขา อีกทั้งภายในสายตาของผู้คนก็ได้เห็นเขาเป็นเสมือนเทพสงครามผู้ไร้พ่ายไปเสียแล้ว
เมื่อหลงเฉินกลับมาถึงก็รีบเข้าไปหาเสี่ยวเสว่ยในทันที ถึงแม้ว่าร่างกายของเสี่ยวเสว่ยจะยังอ่อนแอเป็นอย่างมาก ทว่าเมื่อได้ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตไปแล้ว ก็ยังพอฝืนร่างกายให้ลุกขึ้นเดินเหินในละแวกนั้นได้อยู่บ้าง
บาดแผลภายนอกก็เริ่มสมานจนแห้งเป็นสะเก็ดแผลแล้ว รอคอยเพียงให้สะเก็ดเหล่านั้นหลุดลอกออกมาเองจนหมดก็จะทำให้เสี่ยวเสว่ยกลับมามีเส้นขนสีขาวประดุจหิมะที่งดงามดังเดิมแล้ว
เมื่อดวงตาที่ไร้ประกายประสานเข้ากับดวงตาคู่คม ร่างกายใหญ่โตก็รีบลุกจากพื้นด้วยความดีใจแล้วเดินโซซัดโซเซเข้าไปหาหลงเฉินที่กำลังวิ่งเข้ามา มือข้างใหญ่โอบศีรษะของเสี่ยวเสว่ยเอาไว้พลันก็จูบไปที่หน้าผากของเจ้าหนูน้อยเบาๆ
“ข้าจัดการคนใจร้ายที่รังแกเจ้าไปแล้วนะ”
“โบร๋วโบร๋ว” เสี่ยวเสว่ยหอนขึ้นมาเบาๆ
“ขอโทษด้วยที่ไม่ได้พาเจ้าไปล้างแค้นด้วยตัวเอง” หลงเฉินยิ้มแล้วรีบตอบกลับไป เสี่ยวเสว่ยบอกออกมาเป็นนัยว่ามันเองก็กำลังจะออกไปล้างแค้นด้วยตัวเองอยู่แล้ว
หลงเฉินลูบไปที่ศีรษะของเสี่ยวเสว่ยเบาๆ เพื่อให้มันรู้สึกผ่อนคลาย จากนั้นก็อยู่สนทนาพาทีกับผู้คนที่เฝ้าดูแลเสี่ยวเสว่ยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาที่ถ้ำ
“กลับมาแล้วหรือ หว่านเอ๋อยังไม่หายโกรธเจ้าเลยนะ รีบไปปลอบนางเถิด” ชิงยวูกระซิบขึ้นมาแผ่วเบาพร้อมกับแอบชี้ไปยังบริเวณที่ถังหว่านเอ๋ออยู่
หลงเฉินได้แต่ส่งเสียงหัวเราะเหอะเหอะออกมา เขาเองก็ทราบดีอยู่แก่ใจว่าถังหว่านเอ๋อคงจะต้องโกรธมากเป็นแน่ เพราะไม่ว่าอย่างไรเด็กสาวโดนส่วนมากก็ไม่ได้หน้าหนาเฉกเช่นชายชาตรีอย่างเขาอยู่แล้ว
ในขณะเดียวกันหลงเฉินก็แอบด่าทอตัวเองอยู่ในใจว่าเหตุใดถึงเอาแต่กล่าววาจาโดยไม่คิดกัน ทั้งยังชมชอบเอ่ยวาจาหยอกล้อโดยไม่ดูสถานการณ์เอาเสียเลย พลันก็มุ่งหน้าเดินไปตามทางภายในถ้ำจนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องด้านในสุด
เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามา หลงเฉินก็เห็นสายตาคู่งามของถังหว่านเอ๋อที่เต็มเปี่ยมไปด้วยดุร้ายกำลังจ้องมองมาอย่างเอาเป็นเอาตาย ฝีปากบางส่งเสียงดังเชอะขึ้นมาอย่างเย็นชา
“ชิงยวูเจี่ยเจี่ยบอกว่าเจ้าร้องไห้จึงให้ข้าเข้ามาปลอบ ทว่าดูเหมือนตอนนี้เจ้าจะร้องไห้เสร็จแล้ว เช่นนั้นข้าไปก่อนนะ โอย!” ทันทีที่กล่าวจบหลงเฉินก็หันหลังเพื่อหมายที่จะเดินออกจากห้องไป ทว่าจู่จู่ก็มีมืออันเย็นเยียบข้างหนึ่งคว้าหมับมาที่ต้นคอของเขาอย่างรุนแรง
หลังจากการประลองเป็นตายที่ผ่านมา ร่างกายของหลงเฉินก็อยู่ในสภาพที่อ่อนแออย่างถึงที่สุด เมื่อไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขัดขืนเลยแม้แต่น้อย ร่างกายอันอ่อนล้าจึงถูกถังหว่านเอ๋อฉุดไปทางด้านหลังในทันที
ถังหว่านเอ๋อเองก็ลืมเลือนไปเสียสนิทว่าสภาพร่างกายของหลงเฉินนั้นเป็นเช่นไร เพียงแค่ออกแรงกระชากเบาๆ ก็ทำให้หลงเฉินพุ่งเข้ามาหาตัวเองจนส่งเสียงร้องด้วยความแตกตื่น
ร่างกายกำยำที่กำลังอ่อนแอสัมผัสความอบอุ่นจากร่างอรชรที่อยู่ด้านหน้า กลิ่นหอมหวนบนร่างกายของหญิงสาวปะทะเข้ามาที่ใบหน้าจนผลอยหลับไป
ภายในความฝันของหลงเฉินคล้ายกับมีคนกำลังผลักร่างกายของตัวเองอยู่อย่างบ้าคลั่ง บ้างก็ดึงทึ้งอย่างรุนแรง ทว่าร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงไม่อาจตอบโต้มือไม้เหล่านั้นได้เลย และต่อให้มีคนนำร่างของเขายัดลงถังปุ๋ยไป เขาก็ยังคงอยู่ในห้วงแห่งการหลับใหลอย่างแน่นอน
หลงเฉินเองก็ไม่ทราบว่าเขาอยู่ในห้วงแห่งนิทราไปเนิ่นนานเพียงใด ทว่าพอลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าเสี่ยวเสว่ยนอนหมอบอยู่ข้างเตียงของเขา ดวงตาใสซื่อทอประกายเจิดจ้าเมื่อพบว่าหลงเฉินได้สติแล้ว พลันก็ยื่นศีรษะขนาดใหญ่ของมันเข้ามาคลอเคลียที่ใบหน้าของหลงเฉิน
“ดูเหมือนว่าเจ้าเริ่มสดใสขึ้นมาไม่น้อยแล้วนะ” หลงเฉินกล่าวพร้อมกับยิ้มร่าขึ้นมาเมื่อเห็นแววตาเป็นประกายของเสี่ยวเสว่ย
“โบร๋วโบร๋ว”
“อาหมานให้เจ้ากินเนื้อด้วยอย่างนั้นหรือ เหอะเหอะ พวกเจ้าทั้งสองช่างมีรสนิยมที่เหมือนกันมากเกินไปแล้ว” หลงเฉินส่งเสียงหัวเราะฮาฮาแล้วกระโดดลงจากเตียง มือไม้ก็ได้จัดแจงอาภรณ์อยู่ครู่หนึ่ง ทว่าจู่จู่ก็ได้ยินเสียงดังโหวกเหวกจากด้านนอกจึงรีบเดินออกไปดู
“อาหมาน เจ้าโง่เกินไปแล้ว ข้าบอกเจ้าไปตั้งหลายครั้งแล้วว่าอย่าได้ใช้เกลือแทนน้ำตาล เนื้อย่างของเจ้าเค็มจะตายอยู่แล้ว” ในขณะที่ก้าวออกจากประตูห้องมา หลงเฉินก็ได้ยินเสียงบ่นของถังหว่านเอ๋อดังเข้ามาในโสตประสาททันที
และไม่ทราบว่าพื้นที่ว่างเปล่ากลางห้องโถงใหญ่ถึงมีเตาปิ้งย่างขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ที่ใจกลางห้อง อีกทั้งยังมีหมูป่าปากฉลามขนาดห้าเซียะนอนแผ่หลาอยู่บนเตา
อาหมานทอสีหน้าโง่งมมาบอกกล่าวต่อถังหว่านเอ๋อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “หว่านเอ๋อเจี่ยเจี่ย ข้าไม่เคยปรุงสิ่งเหล่านี้กับเนื้อของข้าเลย ข้าจึงจำไม่ได้”
หลงเฉินหัวเราะฮาฮาแล้วกล่าว “คึกคักกันเสียจริง”
เมื่อเห็นว่าหลงเฉินตื่นแล้ว ถังห่วานเอ๋อก็ส่งเนื้อย่างให้หลงเฉิน “รีบกินเนื้อเร็ว ข้าเพิ่งย่างเสร็จเมื่อครู่นี้เอง”
หลงเฉินกัดเนื้อย่างไปคำหนึ่งเต็มๆ จากนั้นก็พยายามใช้แรงที่มีอยู่เขี้ยวเนื้อชิ้นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกลิ่นหอมหวนแปลกใหม่จากเครื่องเทศนานาชนิดที่คลุกเคล้ากันอย่างลงตัวกำลังอบอวลอยู่ในปาก
“เลิศรสยิ่งนัก ฝีมือการทำอาการของเจ้ายอดเยี่ยมมาก” หลงเฉินกล่าว ทว่าก็แอบลอบคิดขึ้นมาว่าหากกล่าวว่าไม่อร่อยออกไป เกรงว่าตะเกียบที่อยู่ในมือของถังหว่านเอ๋อคงจะมาเสียบอยู่บนร่างกายของเขาแน่นอน
และเมื่ออาหมานเห็นหลงเฉินกับเสี่ยวเสว่ยเดินออกมาพร้อมกันก็รีบกล่าวขึ้นมาด้วยความดีใจว่า “พี่หลง เสี่ยวเสว่ย ทานเยอะๆ นะ”
หลงเฉินฝืนยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ข้าจะต้องบำรุงร่างกายด้วยเนื้ออีกแล้วอย่างนั้นหรือ ช่วงเวลาที่อยู่ในดินแดนรกร้างศิลาวายร่วมสองเดือนก็ได้กินเนื้อจนแทบจะอ้วกออกมาแล้ว เช่นนั้นขอข้าทานอาหารฝีมือชิงยวูเจี่ยเจี่ยได้หรือไม่”
จากนั้นหลงเฉินและถังหว่านเอ่อก็เดินตรงไปยังโต๊ะอาหารที่มีอาหารฝีมือชิงยวูวางเรียงรายอยู่หลายจาน ส่วนอาหมานและเสี่ยวเสว่ยกลับปลีกตัวออกไปอยู่ด้านนอก และเมื่อเห็นว่าบนโต๊ะของหลงเฉินมีอาหารวางอยู่มากมายแล้ว อาหมานจึงยกหมูป่าปากฉลามออกไปกินกับเสี่ยวเสว่ย
“ใช่แล้ว ได้ข่าวคราวของชีซิ่งบ้างหรือไม่? เขาเป็นอย่างไรบ้าง?” จู่จู่หลงเฉินก็นึกถึงชีซิ่งขึ้นมา เพราะในช่วงเวลาที่เข้าไปถึงเขตที่พักของผู้คุมกฎแล้ว เขาก็ทิ้งชีซิ่งเอาไว้กลางทางในทันที
“ตายไปแล้ว” ถังหว่านเอ๋อกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ตายไปแล้ว? เป็นไปได้อย่างไรกัน?” หลงเฉินร้องเสียงหลงขึ้นมาอย่างตื่นตกใจ
“ไม่มีผู้ใดทราบ บริเวณนั้นชุลมุนวุ่นวายจนเกินไป จนเมื่อสิ้นสุดการต่อสู้แล้วถึงได้พบว่าเขาตายไปแล้ว บางส่วนก็บอกว่าเขาถูกผู้คนมากมายเหยียบไปมาจนตายภายใต้ความวุ่นวายในวันนั้น” ถังหว่านเอ๋อกล่าว
“ถือว่าโชคดีไป เพราะหากข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าก็ต้องทำให้เขาตายไปอยู่ดี” หลงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ช่างเถิด ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ตายไปแล้ว อย่าได้มีโทสะไปเลย อีกทั้งหมู่ตึกเองก็ไม่ได้สืบสาวเอาความเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย เช่นนั้นก็ให้แล้วต่อกันไปเสียถิด” ถังหว่านเอ๋อกล่าว
หลงเฉินจึงเกิดความฉงนสงสัยขึ้นมา หากเป็นไปตามกฎของหมู่ตึกในยามปกติแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ย่อมต้องมีการออกมาบอกกล่าวอย่างชัดเจนไปแล้ว ทว่าในครั้งนี้กลับเงียบเฉียบเป็นอย่างยิ่ง หรือว่าท่าเจ้าสำนักหลิงหวินจื่อกำลังคิดจะทำการอันใดอยู่อย่างนั้นหรือ? คงไม่ใช่ว่าสิ่งที่พวกเขาได้สนทนากันไปนั้นจะกลายเป็นจริงหรอกนะ?
“คุณหนูหว่านเอ๋อ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว” ทันใดนั้นก็ได้มีคนผู้หนึ่งวิ่งตะบึงหน้าตั้งเข้ามาพร้อมกับม้วนกระดาษ
ถังหว่านเอ๋อยื่นมือไปรับม้วนกระดาษนั้นแล้วเปิดออก พลันก็ทอสีหน้าแตกตื่นขึ้นมา “ไม่จริง หลังจากนี้อีกสามเดือนจะมีการเปิดศึกกับฝ่ายอธรรมอย่างนั้นหรือ?”
หลงเฉินแย่งม้วนกระดาษจากมือถังกว่านเอ๋อแล้วใช้สายตากวาดดูรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน บนหน้ากระดาษแผ่นนั้นเขียนด้วยตัวอักษรหวัดๆ ว่าเหล่าศิษย์ทุกคนจงเตรียมความพร้อมเอาไว้ให้ดี หลังจากนี้อีกสามเดือนจะมีการเปิดฉากบุกไปหาฝ่ายอธรรม โดยศิษย์ทุกคนจะถูกทิ้งให้อยู่ในอาณาเขตของฝ่ายอธรรมทั้งหมด
สถานที่แห่งนั้นมีศิษย์ของฝ่ายอธรรมอยู่นับไม่ถ้วน เหล่าศิษย์ของทางหมู่ตึกมีหน้าที่จัดการและสังหารศิษย์ฝ่ายอธรรมให้ได้มากที่สุดเพื่อเป็นการจบภารกิจ ผลตอบแทนก็คือแต้มคะแนนจำนวนมหาศาลตามจำนวนการสังหาร
เช่นนั้นในช่วงเวลาที่เหลือนี้จงเตรียมความพร้อมเอาไว้ให้ดี หากต้องการทรัพยากรสำหรับฝึกยุทธ์ก็สามารถไปรับได้ที่จุดจ่ายสวัสดิการ
มุมปากของหลงเฉินปรากฏรอยยิ้มเหยียดขึ้นมา ดูเหมือนว่าหลิงหวินจื่อจะมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวอยู่ไม่น้อยเลย อีกทั้งยังให้เวลาถึงสามเดือนเพื่อให้เหล่าศิษย์เพิ่มพูนพลังให้ได้มากที่สุด โดยหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจจะให้แลกทรัพยากรได้ถึงสิบเท่าอีกด้วย
ทว่าการทดสอบในครั้งนี้น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ อาจถึงขั้นเอาชีวิตไปทิ้งเลยก็ว่าได้ ดูเหมือนว่าหลิงหวินจื่อคงจะเอาจริงขึ้นมาจนไม่ได้คิดถึงความข้อนี้อีกต่อไปแล้ว
“หว่านเอ๋อ ช่วยเรียกพันธมิตรของพรรคฟ้าดินมาให้หมด พวกเราจะประชุมหารือเกี่ยวกับศึกใหญ่ในครั้งนี้กันเสียหน่อย” หลงเฉินกล่าวในขณะที่เหม่อมองออกไปไกล โลหิตภายในร่างกายเดือดพล่านขึ้นมาอย่างรุนแรงราวกับเป็นสัตว์ป่าที่กำลังหิวกระหาย