“ยินดีด้วย พวกเจ้ากระตุ้นสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้แล้ว”
หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเป็นอย่างยิ่ง ทว่าด้วยความเงียบสงัดประดุจป่าช้าก็ทำให้ผู้คนทั้งหมดได้ยินที่เขาพูดออกมา ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวมองไปที่ใบหน้าของศิษย์สายตรงทั้งสามคนด้วยสีหน้าตกตะลึง
“กระตุ้น……กระตุ้นสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูล……ขึ้นมาได้แล้วอย่างนั้นหรือ?”
ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเองเลยแม้แต่น้อยเมื่อเห็นอักขระสายหนึ่งปรากฏอยู่บนหว่างคิ้วของซ่งหมิงเหยียน หวู่ฉี และโหลวฉาง อีกทั้งยังทอประกายแสงอ่อนๆ ออกมา
ถึงแม้ว่าจะเป็นอักขระที่เลือนรางเป็นอย่างยิ่ง ทว่าบนหว่างคิ้วนั้นกลับซ่อนเร้นพลังทำลายอันรุนแรงเอาไว้ เช่นนั้นจึงประจักษ์แก่สายตาแล้วว่าอักขระสายนั้นคือกระตุ้นสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลไม่มีผิดแน่นอน
ซ่งหมิงเหยียนและโหลวฉางมีปฏิกิริยากลับคืนมาในทันทีที่หลงเฉินกล่าวจบ สายตาของพวกเขาจ้องมองไปที่สัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลบนใบหน้าของสหาย พลันก็กระโดดโลดเต้นไปมาด้วยความดีใจจนแทบจะคลั่งตายไปเลยทีเดียว
“เหวยเหวย หลี่ฉี เจ้ายังไม่ยอมปล่อยข้าอีกหรือ?”
หลี่ฉีราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของหลงเฉินอย่างไรอย่างนั้น ยังคงเกาะแขนของหลงเฉินเอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย อีกทั้งไม่ทีท่าว่าจะปล่อยเลยแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งคู่ทอสีแดงก่ำขึ้นมาด้วยความบ้าคลั่ง หลงเฉินจึงอดทนต่อไปไม่ไหว พลันก็สะบัดร่างกายอย่างแรงจนหลี่ฉีลอยกระเด็นออกไปหลายก้าวในทันที
เหล่าศิษย์สายตรงคนอื่นจึงส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาอย่างขบขัน สายตาทุกคู่มองไปยังหลี่ฉีที่เพิ่งจะถูกสะบัดออกมาอย่างรุนแรง ทันใดนั้นหลี่ฉีก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “คิดจะทำร้ายพี่น้องของข้า ข้าจะกัดเจ้าให้ตายเลย!”
ซ่งหมิงเหยียนและโหลวฉางวิ่งโผเข้ากอดหลี่ฉีเอาไว้จนแน่นแล้วกล่าวเสียงดังว่า “เหวยเหวย เจ้าตั้งสติให้ดีก่อน พวกเราผ่านแล้ว”
หลี่ฉีถูกสหายทั้งสองคนกอดเอาไว้แน่นจนแทบจะหายใจไม่ออก และทันใดนั้นเองก็ค่อยๆ มีปฏิกิริยาคืนกลับมาสู่ความสงบอีกครั้งหนึ่ง พลันก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “พวกเจ้ากอดข้าด้วยเหตุอันใดกัน?”
หลงเฉินถลกแขนเสื้อขึ้นมาจนเผยให้เห็นรอยคมเขี้ยวของหลี่ฉีที่ฝังอยู่บนกล้ามแขนของเขาแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยอาการไม่สบอารมณ์ว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเก็บซ่อนกระบวนท่าที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้เอาไว้ เป็นพลังทำลายที่ไม่เลวเลยทีเดียว”
ผู้คนทั้งหมดต่างก็มองไปที่แขนของหลงเฉินแล้วหัวเราะเยาะเย้ยขึ้นมายกใหญ่ ในขณะเดียวกันก็เข้าใจขึ้นมาได้ว่าแม้จะตกอยู่ในเส้นทางแห่งความเป็นตาย พวกเขาก็ไม่คิดที่จะทิ้งสหายเอาไว้แล้วยอมแพ้หรือหลบหนีไป
“หลงเฉิน พวกเรากระตุ้นสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้แล้วจริงหรือ?”
แม้จะรู้สึกว่าโลหิตภายในร่างกายกำลังไหลเวียนด้วยสภาวะที่แปลกประหลาดไปจากเดิมอย่างช้าๆ ทว่าพวกเขาก็ยังไม่อาจเชื่อได้ลงว่าจะสามารถกระตุ้นสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลที่ทางตระกูลได้ทุ่มเทเป็นพันหมื่นวิธีก็ยังไม่อาจปลุกมันขึ้นมาได้
ทว่าเมื่อได้ต่อสู้เพียงครั้งเดียวและยังไม่กี่ลมหายใจเข้าออกกลับสามารถกระตุ้นสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้ หากคนของตระกูลของพวกเขามาดูด้วยตาของตัวเองก็คงจะไม่อาจเชื่อได้ลงอย่างแน่นอน
หลงเฉินมองไปยังใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดีปรีดาของสหายทั้งสามคนแล้วส่ายหน้าไปมา “ข้าเองก็ไม่แน่ใจมากนัก เช่นนั้นพวกเจ้ามาสู้กับข้าอีกสักตั้งเพื่อพิสูจน์ดูก็แล้วกัน”
เมื่อหลงเฉินกล่าวจบก็ยกอาวุธกระดูกขึ้นมา ซ่งหมิงเหยียน หลี่ฉี และโหลวฉางจึงตะโกนขึ้นมาประดุจทารกน้อยว่า “หยุด หยุด รีบวางมือลงเลยนะ พวกข้าเชื่อเจ้าแล้ว”
ภายในจิตใจของพวกเขายินยอมที่จะต้องเผชิญหน้ากับศิษย์ฝ่ายอธรรมที่โหดเหี้ยม ทว่าขอไม่ต่อกรกับหลงเฉินอีกต่อไป เพราะพวกเขารู้สึกว่าหลงเฉินมีบางอย่างที่ดูโหดเหี้ยมเสียยิ่งกว่าฝ่ายอธรรมเป็นไหนๆ จากการทดสอบครั้งสุดท้ายภายในถ้ำก็พอจะทราบถึงความน่าหวาดกลัวของหลงเฉินเป็นอย่างดีแล้ว
และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของหลงเฉินก็คือช่วงเวลาที่จริงจัง เพราะแม้กระทั่งใบหน้าของเขาเองก็แทบจะไม่อารมณ์ใดใดรออกมาให้เห็นเลย อีกทั้งแววตายังไร้ซึ่งประกายแห่งชีวิตราวกับเป็นเทพแห่งความตายผู้ไร้หัวใจลงมาจุติอย่างไรอย่างนั้น
ใบหน้าของศิษย์สายตรงทั้งสามคนเกิดอาการกระอักกระอ่วนจนถังหว่านเอ๋ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคักออกมาไม่หยุด แม้แต่เยี่ยจื่อชิวเองก็ยังอดยิ้มออกมาไม่ได้
“ฮาฮา พวกเรากระตุ้นสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้แล้ว หึหึ หากท่านพ่อและท่านแม่ของข้าทราบเรื่องก็คงจะดีอกดีใจจนเป็นลมไปตามๆ กันอย่างแน่นอน!” ซ่งหมิงเหยียน หลี่ฉี และโหลวฉางส่งเสียงหัวเราะดังกึกก้องไปทั่วบริเวณด้วยความดีใจยกใหญ่
“ศิษย์พี่หลง แล้วเมื่อใดเจ้าจะกระตุ้นสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้บ้าง?”
“หากว่าศิษย์พี่หลงกระตุ้นพลังขึ้นมาได้คงจะแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งแน่นอน”
หลงเฉินส่งยิ้มอันข่มขืนกลับไปให้พวกพ้อง ส่วนประกอบที่สำคัญภายในร่างกายของเขาได้ถูกผู้คนช่วงชิงไปทั้งหมด เช่นนั้นโลหิตที่แท้จริงของตระกูลจึงย่อมไม่หลงเหลือเลยแม้แต่หยดเดียว แล้วเขาจะกระตุ้นสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้อย่างไรกันเล่า? เพียงมีชีวิตอยู่ได้มาจนถึงตอนนี้ก็ดีถมไปแล้ว
อีกทั้งเขาก็ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะไปตามหาชาติกำเนิดของตัวเอง ฉะนั้นมีเพียงทางเดียวก็คือเพิ่มพูนพลังฝีมือให้แข็งแกร่งจนไร้ผู้ต้านให้จงได้
เมื่อเห็นว่าหลงเฉินเงียบไป พวกพ้องทั้งหมดต่างก็ทอสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมาแล้วก็ไม่กล่าววาจาใดออกมาอีก ทว่าจู่จู่หลงเฉินก็หัวเราะขึ้นมายกใหญ่แล้วกล่าวว่า “สัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลของข้านั้นต่างจากของพวกเจ้ามาก มีเพียงวาสนาเท่านั้นที่จะปลุกมันขึ้นมาได้”
“ถ้าเช่นนั้นท่านทราบมาตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่ว่าจะกระตุ้นสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้อย่างไร?” ซ่งหมิงเหยียนเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
เพราะเขาจดจำได้ว่าตอนที่หลงเฉินกล่าว่าจะช่วยปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลให้กับพวกเขาทั้งสามคนนั้น หลงเฉินมีสีหน้าที่เรียบเฉยเป็นอย่างยิ่ง และน้ำเสียงที่กล่าวออกมาก็ยังเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอย่างถึงที่สุด
หลงเฉินส่ายหน้าแล้วตอบกลับไปว่า “ข้าไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะทำได้ ทว่าเพียงอยากจะลองดูก็เท่านั้นเอง”
“แล้วเช่นนั้นมันถูกปลุกขึ้นมาได้อย่างไรกัน? ท่านช่วยทำให้พวกเราเข้าใจได้หรือไม่ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร?” หลี่ฉีเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความใครรู้เป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าซ่งหมิงเหยียน หลี่ฉี และโหลวฉางจะดีใจเป็นอย่างยิ่งที่กระตุ้นสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้ ทว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้กลับเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินไปจนพวกเขารู้สึกประหลาดใจอย่างถึงที่สุด
“ก่อนอื่นต้องขออภัยพวกเจ้าด้วยที่ข้าเข้าใจพวกเจ้าผิดไป ที่ข้าสั่งให้พวกเจ้านึกถึงคนใกล้ชิดของพวกเจ้าในขณะที่จะเริ่มต่อสู้ก็เพราะเกรงว่าพวกเจ้าจะให้ความสำคัญกับความข้อนี้ไม่เพียงพอ
ทว่าในภายหลังที่ลงมือแล้ว ข้ากลับมาทราบว่าตัวเองได้เข้าใจผิดไปอย่างมหันต์ เพราะพวกเจ้าได้ทำให้ข้าเห็นว่าพวกเจ้าต่างก็เป็นเสมือนพี่น้องที่แท้จริงของกันและกัน เห็นชีวิตของอีกคนหนึ่งสำคัญกว่าชีวิตของตัวเองจนสามารถตายแทนได้ และไม่ยินยอมที่จะให้พี่น้องต้องเผชิญหน้ากับความตายเพียงลำพัง ข้าจึงคิดว่านี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเจ้าสามารถกระตุ้นสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้นั่นเอง
ส่วนวิธีการของตระกูลของพวกเจ้านั้นเรียกได้ว่าเป็นวิธีที่ผิดมหันต์ พวกเขาเข้าใจกันไปเองว่าหากชีวิตของผู้มีพรสวรรค์ของตระกูลถูกกดดันจนถึงที่สุดคงจะปะทุพลังทั้งหมดขึ้นมาจนสามารถปลุกพลังของสายโลหิตขึ้นมาได้เอง
ทว่าพวกเขากลับไม่ทราบเลยว่ายังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้คนแข็งแกร่งขึ้นได้ สิ่งที่ข้าเคยกล่าวออกมาตอนที่ต่อสู้กับกุ่ยซา นั่นก็คือ——การปกป้อง ซึ่งเป็นพลังที่มีความพิสดารเป็นอย่างยิ่ง ผู้ใดที่ไม่มีสิ่งนี้ย่อมไม่มีวันที่จะเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงได้อย่างแน่นอน ต่อให้แข็งแกร่งมากเพียงใดก็จะถึงทางตันเข้าสักวันหนึ่ง”
ศิษย์สายตรงทั้งห้าคนทอสีหน้าตกตะลึงมองมาที่หลงเฉิน ภายในห้วงสมองของพวกเขาก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดจนเข้าใจถึงเหตุผลที่หลงเฉินกล่าวออกมา
“ศิษย์พี่หลง หากท่านขายความลับนี้ให้กับตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ท่านคงจะร่ำรวยอย่างมหาศาลแน่นอน” หลี่ฉีกล่าวหยอกล้อขึ้นมา
หลงเฉินส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น ใช่ว่าผู้ใดที่ทราบวิธีนี้แล้วจะสามารถนำไปกระตุ้นสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้ทั้งหมดกัน”
“ทำไมกัน?” ผู้คนทั้งหมดทอสีหน้าโง่งมขึ้นมาในทันที
“ผู้คนโดยส่วนมากแล้วมีแต่ความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น โดยเฉพาะผู้คนที่ถูกตามใจจนเคยตัวหรือถูกเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมมาเป็นอย่างดีโดยตลอด พวกเขาเหล่านี้มักจะรักตัวเองมากกว่าผู้อื่นเสมอ แล้วมีหรือที่พวกเขาจะสามารถเอาร่างกายของตัวเองไปรับดาบแทนผู้อื่น?
หากไม่มีความคิดที่จะปกป้องผู้ใดแล้วจะกระตุ้นพลังทั้งหลายขึ้นมาได้อย่างไรกัน? แม้จะได้หลักการไปทว่าการที่จะกระตุ้นขึ้นมานั้นไม่ได้ง่ายดายเลย ด้วยเหตุนี้ผู้คนที่เรียกกันว่าพี่น้องย่อมมีไม่มากนัก”
ทันทีที่หลงเฉินกล่าวจบ ซ่งหมิงเหยียน หลู่ฉี และโหลวฉางก็คุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับยกมือขึ้นคารวะอย่างพร้อมเพรียงกัน “พวกเราจะขอเป็นพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตลอดไป!”
“แหวะ พวกเจ้าเป็นชายชาตรีนะ เลิกมองตากันหวานซึ้งเช่นนั้นเถิด ข้าขนลุกไปทั่วทั้งตัวแล้ว” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาอย่างมีโทสะ พลันก็ผุดลุกขึ้นยืนในทันที
ชายหนุ่มทั้งสี่คนส่งเสียงหัวเราะฮาฮาดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งหุบเขา จากนั้นข่าวลือของพวกเขาที่สามารถปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้ก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งหมู่ตึกอย่างรวดเร็ว
แม้แต่ถู่ฟางก็แทบจะไม่เชื่อหูของตัวเองจึงต้องมาถามหลงเฉินด้วยตัวเอง หลงเฉินก็ไม่ได้คิดที่จะปิดบังอันใดต่อถู่ฟางอยู่แล้วจึงได้อธิบายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดออกไป
ถู่ฟางได้แต่มองหลงเฉินเพราะกล่าววาจาอันใดไม่ออก ในขณะเดียวกันก็หันไปมองซ่งหมิงเหยียนและพวกพ้องด้วยความรู้สึกเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับยินยอมที่จะตายไปพร้อมกันอย่างนั้นหรือ? การกระทำเช่นนี้ถือเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความกล้าและเด็ดเดี่ยวของจิตใจเป็นอย่างยิ่ง ถู่ฟางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเป็นสาย
และเขาเองก็ทราบดีว่าต่อให้ล่วงรู้ถึงวิธีการอย่างถ่องแท้ไปก็ใช่ว่าจะมีประโยชน์กับผู้มีพรสวรรค์ทั้งหมด เพราไม่ใช่ทุกคนที่จะซื่อสัตย์และเปี่ยมด้วยคุณธรรมสูงส่งเช่นนี้
ส่วนหลงเฉินเองก็เก่งกาจไม่น้อยเลยที่สามารถผูกจิตใจของผู้คนทั้งหมดเอาไว้ อีกทั้งยังทำให้พันธมิตรของพรรคฟ้าดินเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ยากจะก้าวข้ามไปได้ก็ไม่ทำให้พวกพ้องคิดจะยอมแพ้แล้วหลบหนีจากกันไป
หลังจากที่ซ่งหมิงเหยียน หลี่ฉี และโหลวฉางกระตุ้นสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้แล้วก็ได้พักผ่อนอยู่ที่ถ้ำของพรรคฟ้าดินมาโดยตลอด เพราะว่าพวกเขาต้องพึ่งวิธีการควบคุมพลังของสัญลักษณ์จากถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิว
ส่วนหลงเฉินก็ได้รวบรวมเต็มคะแนนของศิษย์สายตรงทั้งห้าคนมาแล้วมุ่งหน้าไปยังหอพลิกสวรรค์เพื่อกวาดซื้อสมุนไพรมากมายมหาศาล และในทุกๆ วันของเขาก็มีหน้าที่อย่างเดียวคือหลอมโอสถอยู่ในถ้ำตลอดครึ่งเดือน
จนในขณะนี้ในมือของเขาก็ได้มีโอสถหลอมวิญญาณห้าร้อยกว่าเม็ดที่เป็นโอสถระดับสามอยู่ ผลลัพธ์ของมันคือการทำให้ยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นเพิ่มพูนระดับพลังฝีมือได้รวดเร็วขึ้นอีกหนึ่งขั้น ให้ผลดีอย่างยิ่งกับผู้คนที่พ้นจากการรวมสภาวะไปแล้วนั่นเอง
เมื่อซ่งหมิงเหยียนและพวกพ้องได้ฟังผลลัพธ์อันน่ามหัศจรรย์ของโอสถหลอมวิญญาณแล้ว ดวงตาของพวกเขาก็ทอประกายระยิบระยับจนแทบจะถลนออกมาจากเบ้า โอสถหลอมวิญญาณนี้ช่างเหนือธรรมชาติเกินไปแล้ว
เพราะโอสถหลอมวิญญาณที่ขายอยู่ในหมู่ตึกแห่งนี้ต่างก็อยู่ในระดับล่างทั้งหมด อีกทั้งยังราคาแพงเสียยิ่งกว่าแพง จะซื้อหามาได้หนึ่งเม็ดต้องใช้แต้มคะแนนถึงห้าพันแต้มเลยทีเดียว อีกทั้งยังต้องกินโอสถหลอมวิญญาณระดับล่างมากกว่าสามเม็ดขึ้นไปจึงจะสามารถเพิ่มพูนพลังขึ้นไปได้ขั้นหนึ่ง
โอสถหลอมวิญญาณจึงทำให้พวกเขาเกิดอาการลิงโลดจนแทบจะบ้าคลั่งขึ้นมา พลันก็รีบแยกย้ายกันไปเก็บตัวเพื่อฝึกยุทธ์กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนหลงเฉินก็ใช้เวลาอีกสามวันทำการบดโอสถผงเป็นจำนวนมาก
จนเมื่อครบสามวันแล้ว หลงเฉินก็นำโลหิตบริสุทธิ์ของหมื่นสรรพสัตว์เก็บเอาไว้ในแหวนมิติ จากนั้นเขาก็เดินทางออกจากหมู่ตึกไปเพียงลำพัง เมื่อสะสางเรื่องของผู้อื่นเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องเริ่มฝึกยุทธ์บ้างแล้ว