ถู่ฟางทอสีหน้าเคร่งเครียดแล้วกล่าวต่อหลิงหวินจื่อว่า “ท่านเจ้าสำนัก ข้าได้แจกจ่ายสวัสดิการและทรัพยากรให้กับเหล่าศิษย์ใหม่ตามคำสั่งของท่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนศึกการจัดอันดับครั้งที่สี่ก็ถูกยกเลิกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ข้ายังได้แจกจ่ายหินปราณจำนวนมากให้แก่พวกเขาเพื่อเพิ่มพูนพลังการฝึกยุทธ์ให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น”
ในเมื่อได้รับหินปราณไปช่วยในการฝึกยุทธ์แล้ว เหล่าศิษย์ทั้งหมดก็สามารถเปิดใช้ค่ายกลหินปราณภายในถ้ำของตัวเองเพื่อทะลวงระดับพลังให้เพิ่มสูงขึ้นภายในสามเดือน ทว่าการลงทุนทั้งหมดนี้ถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของทางหมู่ตึกเลยก็ว่าได้ เพราะตามปกติแล้วทางหมู่ตึกจะจัดสรรทรัพยากรมาให้เหล่าศิษย์เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งยังเพียงพอที่จะสนับสนุนพวกเขาได้ถึงสามปีเลยทีเดียว
ทว่าสวัสดิการและทรัพยากรในครั้งนี้ได้ถูกแจกจ่ายออกไปถึงหนึ่งในสามจากทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ถู่ฟางจึงรู้สึกเป็นกังวลอยู่ไม่น้อยเลย
ถึงแม้ว่าเหล่าศิษย์จะสามารถเพิ่มพูนพลังฝีมือได้รวดเร็วยิ่งกว่าเดิม ทว่าทรัพยากรภายในหมู่ตึกคงจะหมดสิ้นลงไปอย่างรวดเร็วแน่นอน ในภายหลังจึงเกรงว่าพวกเขาจะสูญเสียแรงกระตุ้นในการเพิ่มพลังฝีมือในขณะที่อยู่ในหมู่ตึกอย่างไม่ต้องสงสัย
“อย่าได้กังวลไปเลย หากการเปิดศึกในครั้งนี้ลุล่วงไปได้ด้วยดี พวกเราก็สามารถนำชัยชนะในครั้งนี้ไปยื่นขอสวัสดิการกับทางสำนักใหญ่ได้อีกมากมายนัก เพราะทางหมู่ตึกย่อยอื่นเองก็เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อนพวกเราแล้ว เจ้าก็เคยเห็นไม่ใช่หรือ” หลิงหวินจื่อกล่าว
ถู่ฟางถอนหายใจแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยความเป็นกังวลว่า “ทว่าหมู่ตึกย่อยอื่นนั้นเป็นการคงอยู่ในอันดับต้นๆ แทบจะทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีทรัพยากรสะสมมาหลายปีนัก แน่นอนว่าพลังฝีมือของศิษย์เหล่านั้นย่อมแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ไม่แน่ว่าศิษย์ใหม่ของพวกเขาคงจะเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นไปแล้วเป็นส่วนมาก
ส่วนหมู่ตึกของพวกเรานั้นอยู่ในอันดับรั้งท้ายมาโดยตลอด ทรัพยากรที่ได้มาก็น้อยลงไปเรื่อยๆ ฉะนั้นพวกเราจึงยิ่งห่างอันดับจากหมู่ตึกย่อยเหล่านั้นมากขึ้นเรื่อยๆ”
ถู่ฟางรู้สึกกดดันกับสถานการณ์ของหมู่ตึกในขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง ด้วยว่าสำนักพลิกสวรรค์แบ่งหมู่ตึกย่อยออกเป็นหนึ่งร้อยกับอีกแปดแห่ง อีกทั้งหมู่ตึกย่อยเหล่านี้ก็จะมีศึกการต่อสู้จัดอันดับครั้งใหญ่ทุกสามปี เมื่อหมู่ตึกทั้งหมดถูกจัดอันดับแล้วก็จะได้รับทรัพยากรตามอันดับของตัวเอง
ซึ่งศึกการต่อสู้จัดอันดับครั้งใหญ่ระหว่างหมู่ตึกย่อยทั้งหนึ่งร้อยแปดแห่งนี้ก็คล้ายกับการใช้พลังฝีมือของศิษย์ทำให้ทั้งหมู่ตึกอยู่รอดนั่นเอง โดยปกติแล้วอันดับต้นๆ ก็จะถูกเรียกว่าหมู่ตึกที่หนึ่ง หมู่ตึกที่สอง หมู่ตึกที่สาม…..มาเรื่อยๆ จนถึงหมู่ตึกที่หลงเฉินอยู่นั่นเอง
ทว่าที่ทางหมู่ตึกใช้ชื่อว่าหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์นั้นก็เพื่อไม่ให้ศิษย์แตกตื่นตกใจกับอันดับรั้งท้ายของพวกเขานั่นเอง หากเรียกว่าหมู่ตึกที่หนึ่งร้อยแปดคงจะทำให้ศิษย์รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อยเลย
หมู่ตึกย่อยอื่นนั้นมีทรัพยากรมากมายนับไม่ถ้วนที่จะสนับสนุนศิษย์ของพวกเขาให้ต่อกรกับฝ่ายอธรรมได้ ทว่าทางหมู่ตึกของพวกเขากลับไม่มีทรัพยากรมากมายถึงเพียงนั้น อีกทั้งยังเสมือนกันเป็นการกระทำที่ดันทุรังเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งไม่ต่างอันใดไปจากการทุบหม้อข้าวจมเรือของตัวเอง
หากศิษย์ใหม่กลับมาได้ปลอดภัยและได้รับชัยชนะก็คงจะดี ทว่าหากล้มเหลวจนบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ทางหมู่ตึกก็จะได้รับบทลงโทษ แม้แต่หลิงหวินจื่อเองก็จะไม่สามารถรักษาตำแหน่งเจ้าสำนักเอาไว้ได้อีกด้วย ภายในจิตใจของถู่ฟางจึงรู้สึกหวาดหวั่นกับการตัดสินใจของหลิงหวินจื่อเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันทั้งเสี่ยงและอันตรายจนเกินไป
“หลงเฉินสามารถสังหารหวู่ฉีภายในสี่กระบวนท่า ข้าจึงรู้สึกนับถือจิตใจของเขาเป็นอย่างยิ่ง ความแน่วแน่และเด็ดเดี่ยวของหลงเฉินนั้นไร้ซึ่งช่องโหว่และไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงเขาได้เลย แม้แต่ตัวข้าเอง
ตอนนี้ทางหมู่ตึกของเราไม่ได้มีปัญหาเรื่องพลังฝีมือที่ต่ำต้อยหรือสูงส่ง ทว่ากลับเป็นความมุ่งมั่นที่น้อยจนเกินไป เช่นนั้นการแก้ปัญหาก็คือให้เหล่าศิษย์ของเราได้พบพานกับความเป็นความตายด้วยตัวเองบ้างจึงจะเพาะสร้างความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาได้
เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าความแน่วแน่ภายในจิตใจนั้นน่าหวาดกลัวมากเพียงใด? ข้าจึงคิดว่านี่คงจะเป็นเหตุผลที่ศิษย์ฝ่ายธรรมะอย่างพวกเราไม่อาจชนะศิษย์ฝ่ายอธรรมได้เลย เช่นนั้นคงจะมีเพียงการเอาชีวิตเข้าแลกเท่านั้นจึงจะให้ศิษย์ของเรากระตุ้นพลังจนแข็งแกร่งขึ้นมาได้”
หลิงหวินจื่อได้แต่ถอนหายใจออกมา สายตาเหม่อมองไปยังก้อนเมฆเบื้องบนที่บดบังยอดเขาป่าสวรรค์อยู่ “คำพูดของอาจารย์อาเมื่อวันก่อนทำให้ข้าได้สติขึ้นมาในทันที รู้สึกว่าตัวเองหัวโบราณมากจนเกินไป ไม่นึกถึงความเจริญของหมู่ตึกในภายภาคหน้าเลยแม้แต่น้อย
อีกทั้งยังส่งผลให้พลังการฝึกยุทธ์ของข้าในร้อยปีที่ผ่านมานี้หยุดนิ่งลงไปด้วย ซึ่งก็เกิดมาจากปัญหาทางจิตใจของข้าเอง หากจิตใจของผู้ฝึกยุทธ์ไม่อาจแบกรับความเสี่ยงใดได้ มีหรือที่คนผู้นั้นยังจะมีความกล้าพอที่จะก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของวิถีแห่งยุทธ์ได้?
ทว่าน่าเสียดายที่ข้าอยู่ในระดับนี้มาเนิ่นนานจนเกินไปจนสูญเสียความเฉียบคมของความคิดไปจนหมดสิ้น ด้วยเหตุนี้ข้าจึงจำเป็นจะต้องฉวยโอกาสในครั้งนี้เอาไว้เพื่อลับประสาทสัมผัสของข้าให้กลับมาเฉียบคมดังเดิมให้จงได้”
ทันทีที่กล่าวจบ บรรยากาศบนร่างกายของหลิงหวินจื่อก็ปะทุพลังสภาวะอันแรงกล้าขึ้นมาหอบหนึ่ง แม้แต่กระบี่ยาวที่สะพายอยู่บนแผ่นหลังก็ยังส่งเสียงร้องโครมครามขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
“เช้ง”
กระบี่ยาวถูกชักออกจากฝัก หลิงหวินจื่อปรายตามองไปยังคมกระบี่ยาวของเขาด้วยสีหน้าสลดหดหู่เป็นอย่างยิ่ง “ต้องขอโทษเจ้าด้วยนะสหายรักของข้า ข้าทำให้เจ้ารอนานเกินที่จะให้อภัยแล้วใช่หรือไม่”
กระบี่ยาวในมือของหลิงหวินจื่อส่งเสียงร้องดังขึ้นมาไม่หยุดราวกับกำลังมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น หลิงหวินจื่อมองไปที่กระบี่ยาวของเขาที่เสมือนถูกปลุกขึ้นมาจากความตาย เพียงครู่เดียวก็ทำให้ความทรงจำในครั้งเยาว์วัยกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นกระบี่ยาวถูกเสียบกลับเข้าฝักไป “หวังว่าเจ้าคงจะเข้าใจในสิ่งที่ข้าได้ตัดสินใจไปแล้วสินะ
ข้าขอใช้โชควาสนาของตัวเองเดิมพันกับหมู่ตึกแห่งนี้ หากปล่อยเอาไว้นานกว่านี้แม้แต่ตัวข้าเองก็จะถูกลืมเลือนไป ข้าจำเป็นที่จะต้องออกโรงบ้างเพื่อกระตุ้นพลังของตัวเองให้คืนกลับมาอีกครั้ง”
“เช่นนั้นท่านจึงเลือกหลงเฉินอย่างนั้นหรือ?” ถู่ฟางกล่าวขึ้นมาด้วยความแตกตื่นตกใจ
“ใช่ ในเมื่อข้าเดิมพันครั้งแรกแล้วสำเร็จก็ย่อมอยากที่จะเดิมพันต่อในครั้งที่สอง เพราะข้าเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าในครั้งนี้ก็จะต้องสำเร็จด้วยเช่นกัน” หลิงหวินจื่อกล่าว
ในการเดิมพันครั้งแรกของหลิงหวินจื่อได้ถูกบทลงโทษจากวิถีสวรรค์จนได้รับบาดเจ็บหนัก ทว่าเขาก็ได้แน่ใจขึ้นมาว่าหลงเฉินคืออี้ซู่แห่งฟ้าดิน และในขณะนี้เขาเองก็อยากจะลองเดิมพันอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้อนาคตของตัวเองและทางหมู่ตึกเดินหน้าต่อไป เช่นนั้นเขาจึงเลือกเดิมพันข้างหลงเฉิน
หากเป็นไปตามนิสัยส่วนตัวของหลิงหวินจื่อแล้ว เขาย่อมไม่ข้องแวะกับบุคคลที่เป็นอี้ซู่แห่งฟ้าดินอย่างแน่นอน นั่นก็เพราะบุคคลเช่นนี้เป็นการคงอยู่ที่เหนือการคาดเดาของคนทั่วไปเป็นอย่างมาก อีกทั้งหลงเฉินยังสามารถทำให้หมู่ตึกจบสิ้นอย่างไม่มีฟื้นคืนหรือเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดก็เป็นไปได้
ส่วนที่น่าเป็นกังวลมากที่สุดสำหรับเขาก็คือคำพูดของผู้อาวุโสชางหมิง วาจาถากถางเหล่านั้นทำให้เขาเกิดความสะเทือนใจอย่างถึงที่สุด เขาจึงได้รวบรวมความกล้าแล้วตัดสินใจลงเดิมพันในครั้งที่สองนี้ ด้วยจิตใจที่เชื่อมั่นว่าหลงเฉินจะนำพาศิษย์ใหม่ทั้งหมดก้าวเข้าสู่ความสำเร็จได้ อีกทั้งยังเป็นแสงสว่างนำทางให้หมู่ตึกเจิดจรัสได้อีกครั้งหนึ่ง
หรือต่อให้หลงเฉินทำให้ล้มเหลวก็ถือว่าชั่วชีวิตนี้ของเขาได้ตัดสินใจทำสิ่งที่ควรจะทำลงไปแล้ว การตัดสินใจในครั้งนี้จึงถือเป็นการเดิมพันที่แท้จริง
ส่วนความวิตกกังวลของถู่ฟางนั้นเขาเองก็เข้าใจดี ทว่าเขาเองก็เชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเองอยู่ไม่น้อยเลยว่าหลงเฉินจะไม่ทำให้เขาผิดหวังอย่างแน่นอน ต่อให้ต้องทุบหม้อข้าวจมเรือของตัวเองก็จะต้องลองเสี่ยงดู
ถู่ฟางมองไปยังใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นของหลิงหวินจื่อ ทว่าภายในจิตใจของเขาก็ยังคงหวาดหวั่นอยู่ไม่เสื่อมคลาย นี่เป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดในประวัตศาสตร์ของหมู่ตึกเลยก็ว่าได้
“ถู่ฟาง เจ้าไปคัดเลือกผู้อาวุโสที่มีพลังฝีมือแข็งแกร่งมา แล้วบอกกล่าวให้พวกเขารีบฝึกซ้อมภายในระยะเกือบสามเดือนนี้ ถึงแม้ว่าจะมีพลังฝีมือที่แกร่งกล้าอย่างไร้ที่เปรียบ ทว่าผู้อาวุโสเหล่านั้นกลับไม่ได้ออกศึกมาเนิ่นนานแล้ว เช่นนั้นควรจะต้องกระตุ้นร่างกายให้อยู่ในสภาวะสมบูรณ์พร้อมที่สุดเพื่อคอยดูแลเหล่าศิษย์ของพวกเรา” หลิงหวินจื่อกำชับด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ถึงแม้ว่าจุดประสงค์ในการเปิดศึกครั้งนี้จะเป็นการฝึกฝนความแน่วแน่และปลุกความเชื่อมั่นของบรรดาศิษย์ใหม่ ทว่าเขาก็ไม่อาจปล่อยให้ศิษย์เหล่านั้นต้องไปตายเอาดาบหน้าด้วยตัวเองอย่างแน่นอน
หากพบเจอศิษย์ฝ่ายอธรรมที่มีพลังฝีมืออยู่ในระดับเดียวกันคงจะไม่ต้องกังวลมากนัก ทว่าหากศัตรูเป็นการคงอยู่ของชนชั้นระดับผู้อาวุโสก็สมควรที่จะให้ชนชั้นระดับผู้อาวุโสของหมู่ตึกเป็นผู้ลงมือแทน ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่เรียกว่าการฝึกฝนแล้ว
ส่วนที่น่าเป็นกังวลที่สุดเห็นจะเป็นพลังฝีมือของศิษย์ฝ่ายอธรรม เพราะพวกเขาต้องเผชิญกับกฎที่โหดเหี้ยมของพรรคมารมาโดยตลอด ผู้ที่แข็งแกร่งนั้นย่อมมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ส่วนผู้อ่อนแอมีแต่จะต้องตายไปเท่านั้น หากไม่ถูกสังหารด้วยฝ่ายธรรมะก็ต้องตายด้วยเงื้อมมือของพวกเดียวกันเอง
ด้วยเหตุนี้ศิษย์ฝ่ายอธรรมจึงเดินอยู่บนเส้นทางการสังหารผู้คนมาตั้งแต่กำเนิด ถึงแม้ว่าบางส่วนจะไม่ได้มีพลังการฝึกยุทธ์ที่สูงส่งแต่อย่างใด ทว่าพวกเขากลับมีจิตใจที่แน่วแน่และไม่สั่นคลอนเป็นอย่างยิ่ง หากฝ่ายธรรมะไม่ได้มีจำนวนมากกว่าก็แทบจะไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของฝ่ายอธรรมได้เลย
ถู่ฟางตบปากรับคำหลิงหวินจื่อแล้วเริ่มคัดเลือกผู้อาวุโสที่มีพลังฝีมืออันแข็งแกร่งมาส่วนหนึ่ง อีกทั้งยังรวบรวมศิษย์ที่เป็นผู้คุมกฎมาเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดศึกในครั้งนี้
ช่วงเวลาสามเดือนทำให้ผู้คนภายในหมู่ตึกไม่อาจผ่อนคลายร่างกายและจิตใจของตัวเองได้เลยแม้แต่เสี้ยวเดียว โดยเฉพาะเหล่าศิษย์ใหม่ที่เป็นตัวแสดงหลักที่จะพาหมู่ตึกไปยังเส้นทางแห่งความเจิดจรัสหรือลงสู่หุบเหวลึกนั่นเอง
หากพวกเขาสามารถผ่านพ้นการทดสอบในครั้งนี้ไปได้ก็จะบ่งบอกว่าพวกเขากลายเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงได้แล้ว และหลังจากที่ข่าวการเปิดศึกได้ล่วงรู้ไปถึงทุกผู้คนแล้ว พวกเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวกันไม่หยุด บ้างก็แยกย้ายกันออกจากหมู่ตึกเพื่อเสาะหาสถานที่สำหรับการฝึกยุทธ์ของตัวเอง
จากที่ไม่เคยให้ความสนใจกับการสังหารสัตว์มายา ทว่าการเปิดศึกในครั้งนี้กลับทำให้พวกเขาโหยหาความรู้สึกของการต่อสู้เป็นอย่างยิ่ง
แม้แต่อาหมานและเสี่ยวเสว่ยก็ได้ติดตามผู้อาวุโสชางหมิงออกไปยังเขตป่าลึกที่เต็มไปด้วยสัตว์มายา เพราะทั้งเสี่ยวเสว่ยและอาหมานจะต้องใช้เนื้อและโลหิตของสัตว์มายาเหล่านั้นมาเพิ่มพูนพลังฝีมือของตัวเอง
โดยเฉพาะกับเสี่ยวเสว่ยที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อนหน้านี้ การที่จะบำรุงร่างกายให้ฟื้นคืนกลับมาดังเดิม มันจะต้องกินเนื้อและโลหิตของสัตว์มายาระดับสามหลายสิบตัวเห็นจะได้
ส่วนผู้อาวุโสชางหมิงก็ออกตามหาวัตถุดิบกันล้ำค่าที่จะนำมาสร้างศาสตราวุธให้กับอาหมานและหลงเฉิน อีกทั้งยังเก็บเครื่องมือสำหรับการหลอมอาวุธเอาไว้ในแหวนมิติขนาดใหญ่ของเขา เมื่อออกเดินทางมาเช่นนี้ก็ยังสามารถสร้างศาสตราวุธได้ นอกจากนี้เขายังต้องดูแลอาหมานและเสี่ยวเสว่ยให้กินอยู่จนอิ่มท้องในทุกๆ วันอีกด้วย
ทางด้านผู้คนของพรรคฟ้าดินและพันธมิตรต่างก็ได้รับโอสถจากหลงเฉินมาช่วยหนุนเสริมสภาวะให้เข้าสู่การฝึกยุทธ์ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วยิ่งขึ้น และหลังจากที่ซ่งหมิงเหยียน หลี่ฉี และโหลวฉางได้กระตุ้นสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้แล้วก็ยิ่งปลุกปั่นความฮึกเหิมภายในขุมกำลังของพวกเขาขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งด้วยเช่นกัน
อีกทั้งพวกเขายังได้ฝึกฝนกันอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อให้ผู้คนภายในขุมกำลังเห็นถึงความมุ่งมั่นของพวกเขา จนทำให้ทุกผู้คนตื้นตันและเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะผ่านพ้นศึกครั้งนี้ไปได้อย่างแน่นอน จากจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวก็แปรเปลี่ยนเป็นความนิ่งสงบอย่างถึงที่สุด
หลงเฉินเดินทางมายังขุนเขาที่เต็มไปด้วยสายฟ้าคำรณอยู่ตลอดเวลา เบื้องหน้าของเขามีถังบรรจุโลหิตบริสุทธิ์ของหมื่นสรรพสัตว์เอาไว้อยู่เต็มถัง พลันก็สุดลมหายใจเข้าลึก บนใบหน้าเปี่ยมไปด้วยการรอคอยอย่างถึงที่สุด
จากนั้นมือข้างใหญ่ก็จุ่มลงไปยังใจกลางของโลหิตบริสุทธิ์ถังนั้นช้าๆ และทันทีที่แขนของเขาจมมิดลงไปทั้งหมดแล้ว ขุมพลังสายหนึ่งก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้วทำการดูดซับโลหิตบริสุทธิ์เหล่านั้นเข้าสู่ร่างกายอย่างบ้าคลั่ง
.