“ตัดพายุคลั่ง”
หลงเฉินแผดเสียงดังขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งแล้ววิ่งตะบึงไปยังเบื้องหน้าประดุจพายุหมุนหอบหนึ่ง เงาดาบขนาดใหญ่ก็ได้กวาดไปทางศิษย์ฝ่ายอธรรมจนเกิดเป็นเนื้อหนังลอยกระเด็นไปเป็นทางยาว เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาไม่หยุด
ที่ทำให้ผู้คนทั้งหมดต้องตกใจก็คือเส้นทางที่หลงเฉินมุ่งหน้าเข้าไปนั้นหลงเหลือเพียงเศษชิ้นเนื้อของเหล่าศิษย์ฝ่ายอธรรมที่ถูกสังหารผ่านไป ควรทราบว่าศิษย์ฝ่ายอธรรมเหล่านั้นมีจำนวนกว่าสี่ร้อยคน ทว่ากลับถูกกวาดเรียบภายในกระบวนท่าเดียว
“ซูม”
หลงเฉินสะบัดคราบโลหิตที่ติดอยู่บนคมดาบยาวแล้วยกขึ้นพาดบ่า “พี่น้องทั้งหลายรีบลงมือกันเถิด”
เมื่อผู้คนทั้งหมดเห็นหลงเฉินปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าพวกเขา ทันใดนั้นเลือดลมภายในร่างกายก็พุ่งพล่านขึ้นมา อย่างบ้าคลั่ง ไม่ว่าจะต้องพบเจอกับสิ่งใดก็ไม่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวอีกแล้ว
“บุก”
ทุกคนตะโกนขึ้นมาเสียงดังอย่างพร้อมเพรียงกัน พลันก็วิ่งตะบึงเข้าหาศัตรูพร้อมออกกระบวนท่าที่เผ็ดร้อนเสียยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า และในขณะนี้ศิษย์สายตรงของฝ่ายอธรรมก็เหลือเพียงเก้าคนเท่านั้น แน่นอนว่าสถานการณ์ทั้งหมดย่อมตกอยู่ในกำมือของศิษย์ฝ่ายธรรมะแล้วโดยไม่ต้องสงสัย แม้แต่โอกาสที่จะให้หลบหนีก็ไม่หลงเหลือเลย
จากนั้นไม่นานนักก็มีศิษย์สายตรงถูกสังหารไปอีกสี่คน ส่วนผู้คนที่เหลือต่างก็วิ่งตะบึงออกไปคนละทิศคนละทางอย่างไม่คิดชีวิต ทว่าพวกเขาเองก็ทราบดีว่าไม่มีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วจนคนผู้หนึ่งตะโกนขึ้นมาเสียงดังแล้วปะทุพลังสภาวะทั่วทั้งร่างขึ้นมาประดุจลูกยางขนาดใหญ่
“แย่แล้ว เขากำลังจะระเบิดตัวเอง ถอยเร็ว!”
“ตูม!”
“พรวด”
ฝนโลหิตสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งผืนฟ้าจนทำให้ศิษย์ฝ่ายธรรมะทอสีหน้าแตกตื่นขึ้นมายกใหญ่ ทว่าที่ทำให้ผู้คนต้องแตกตื่นยิ่งไปกว่านั้นก็คือข้างกายของคนผู้นั้นยังมีเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ด้วย
“เหอะเหอะ ต่อให้ระเบิดตัวเองไปก็ต้องทิ้งศีรษะเอาไว้ด้วย”
หลงเฉินโยนศีรษะที่มีค่ายี่สิบหมื่นแต้มคะแนนไปทางพวกพ้องของตน ใบหน้าและอาภรณ์เต็มไปด้วยคราบโลหิตสีแดงสด ดวงตาคู่คมมองไปยังพวกพ้องที่มีสีหน้าตกตะลึง
“ชนะแล้ว มายินดีกับชัยชนะด้วยกันสิ ฮาฮาฮา” หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าว
เมื่อเห็นหลงเฉินหัวเราะร่าออกมาก่อน เหล่าพวกพ้องทั้งหลายก็หัวเราะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งราวกับได้ปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดอั้นมานานออกมาในคราวเดียว
“หลงเฉิน เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อใดกัน?” ถังหว่านเอ๋อและศิษย์สายตรงจ้วงฝีเท้าเข้ามาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าของหลงเฉิน
“ข้ากลับมาในขณะที่ศึกครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้น ทว่าข้าจงใจที่จะไม่ปรากฏตัวให้พวกเจ้าเห็น เพื่อดูว่าพวกเจ้าจะรับมือกับศัตรูอย่างไร และไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าการลงมือของพวกเจ้าถือว่ายอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นข้าจึงให้อาหมานถอยออกมาเพื่อดูต่ออีกว่าพวกเจ้าจะทำอย่างไรเมื่อตกอยู่ในช่วงเวลาอันตราย”
พวกพ้องเหล่านั้นจึงเข้าใจถึงความทั้งหมดขึ้นมาได้ในทันที อีกทั้งในช่วงเวลาที่กำลังต่อสู้อยู่ก็คิดเพียงว่าจะสังหารศัตรูและปกป้องพวกพ้องได้อย่างไรจนถึงกับลืมเลือนการคงอยู่ของอาหมานไปเลย
“พี่หลงไม่ยอมให้ข้าลงมือ พวกเจ้าจงอย่าได้โทษข้านะ” อาหมานกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้
กู่หยางฝืนยิ้มขึ้นมาแล้วตอบกลับไปว่า “พวกเราช่างโง่เขลานัก เมื่อถึงยามต่อสู้ก็ลืมเลือนไปเสียทุกสิ่ง แม้แต่คนที่มีความแข็งแกร่งอันโดดเด่นเยี่ยงอาหมานก็ยังลืมเลือนไปเสียสนิท”
ถังหว่านเอ๋อมีใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาเป็นสาย ด้วยสถานภาพที่เป็นถึงผู้บัญชาการของทัพกลับลืมเลือนไปแม้กระทั่งสุดยอดไพ่ตายของฝ่ายธรรมะ ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายเกินไปแล้ว
“เรื่องนี้ไม่อาจโทษผู้ใดได้ อาหมานเป็นคนซื่อ ทั้งยังเป็นคนไม่ชอบพูด จึงไม่น่าประหลาดใจที่พวกเราจะมองข้ามไป” ซ่งหมิงเหยียนกล่าวแล้วหัวเราะฮาฮาขึ้นมา
ทว่าเสียงหัวเราะนั้นกลับทำให้ผู้คนทั้งหมดเกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาอย่างถึงที่สุด ภายในจิตใจเกิดความหวาดกลัวว่าหลงเฉินจะด่าทอออกมา ด้วยเหตุที่ว่าพวกเขาได้ลืมเลือนพวกพ้องคนสำคัญไปเสียสนิท
หลงเฉินจึงรีบหัวเราะเหอะเหอะขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ความจริงแล้วก็ถือว่าเป็นทั้งโชคดีและโชคร้าย หากพวกเจ้าลืมเลือนว่ามีอาหมานเป็นดั่งไพ่ตาย แล้วปะทุพลังทั้งหมดของตัวเองขึ้นมาจนสามารถต้านทานฝ่ายอธรรมเอาไว้ได้ก็เป็นเรื่องที่สมควรจะยกย่องเป็นอย่างยิ่ง”
ถังหว่านเอ๋อทอสีหน้าสลดขึ้นมาแล้วกล่าว “หลงเฉิน เจ้าแสร้งกล่าวปลอบโยนพวกเราอยู่อย่างนั้นหรือ? หากเป็นเช่นนี้จริง ข้ายอมให้เจ้าด่าทอเสียยังจะดีกว่า”
หลงเฉินส่ายหน้าไปมา “ความจริงแล้วตัวข้านั้นไม่ได้มีคุณสมบัติใดที่จะไปด่าทอพวกเจ้า เมื่อมาคิดดูแล้วข้าเองก็พบว่าแม้แต่ความคิดของข้าเองก็อาจจะผิดพลาดได้เช่นเดียวกัน เพราะบนโลกใบนี้ไม่มีวิธีการใดที่ให้ผลลัพธ์แน่นอนหรือถูกต้องที่สุด นั่นก็รวมถึงวิธีการของข้าด้วย
เดิมทีข้าคิดว่าพลังของข้าจะสามารถกระตุ้นพวกพ้องได้ ข้าจึงทำตัวเสมือนว่าเป็นผู้นำของพวกเจ้าไปยืนอยู่แถวหน้าสุด แท้จริงแล้วกลับเป็นสิ่งที่ผิดมหันต์”
“เพราะเหตุใดกัน?” ถังหว่านเอ๋อเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
หลงเฉินถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “นั่นก็เหมือนกับข้าเป็นเป้าหมายของพวกเจ้า หากเมื่อใดที่เสาหลักอย่างข้าล้มลงไป พวกเจ้าที่เหลือก็คงไม่อาจยืนหยัดต่อไปได้ ช่างเป็นโชคดีที่ข้าจำเป็นที่จะต้องจากพวกเจ้าไป พวกเจ้าจึงไม่ได้หวังพึ่งพลังของข้าที่เปรียบเสมือนสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจจนทำให้ภายในจิตใจของพวกเจ้าเกิดความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ขึ้นมา
การต่อสู้ในครั้งนี้เป็นฉากที่งดงามเป็นอย่างยิ่งในสายตาของข้า การต่อสู้ที่ลืมเลือนความปลอดภัยของตัวเองไปสนใจกับความปลอดภัยของพวกพ้องที่อยู่รอบข้าง นี่จึงเป็นสิ่งที่เรียกว่าพลังแห่งการปกป้อง ฉะนั้นพวกเจ้าสมควรที่จะได้รับคำชื่นชมแล้ว ยินดีกับพวกเจ้าด้วย!” หลงเฉินอธิบายแล้วยิ้มให้กับทุกคน
“ยินดี? กับพวกเรา?”
ผู้คนมากมายต่างก็ทอสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา ทั้งยังหันไปสบตากันด้วยความสงสัยว่าคำพูดของหลงเฉินนั้นคล้ายกับกำลังแฝงความหมายอันล้ำลึกบางอย่างเอาไว้
“หือ?”
ทันทีที่พวกเขาหันกลับไปมองพวกพ้องที่อยู่ข้างกายก็ร้องเสียงหลงขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก ทั้งยังทอแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อขึ้นมาเป็นสาย
“บนหน้าผากของเจ้ามีสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลปรากฏขึ้นมาแล้ว!”
“เจ้าเองก็มีเหมือนกัน”
“เจ้าก็มี”
“……”
ศิษย์สายตรงจ้องมองไปยังร่องรอยที่คล้ายกับแผลเป็นสีเข้มที่ปรากฏอยู่บนหว่างคิ้วของสหายแล้วกู่ร้องขึ้นมาอย่างวุ่นวาย บ้างก็คุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับร่ำไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่งเพราะพวกเขาต่างก็คิดไม่ถึงว่าชั่วชีวิตนี้จะสามารถปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้
สิ่งที่เรียกกันว่าความรู้สึกของคนที่ยอมเสียสละชีวิตของตัวเองเพื่อผู้อื่นนั้นย่อมไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ทั้งยังตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก ต่อให้เป็นคนที่เห็นแก่ตัวหรือรักตัวกลัวตายมาก่อนก็ยังสามารถละทิ้งนิสัยของตัวเองไปได้
ความรู้สึกจึงถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ภายใต้การต่อสู้ครั้งใหญ่นี้มีแรงกดดันมากมายจนผู้คนทั้งหมดไม่คิดที่จะยอมแพ้จึงทำให้พวกเขาลืมเลือนความเป็นตัวของตัวเองไปแล้วกระตุ้นพลังอันมหาศาลขึ้นมาปกป้องพวกพ้องเอาไว้
เพียงการต่อสู้ครั้งเดียวก็ได้ทำให้ศิษย์สายตรงทั้งหมดสามารถปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้ แม้แต่หลงเฉินเองก็ยังรู้สึกตื่นเต้นและยินดีกับพวกพ้องเหล่านั้นด้วย
เพราะถ้าหากมีแค่ไม่กี่คนหรือเพียงคนเดียวก็อาจจะย่ำแย่กว่านี้ ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้ นั่นก็หมายความว่าเป็นจุดจบของพวกพ้องทั้งกลุ่มด้วยเช่นกัน หากไม่มีจิตใจที่อยากจะปกป้องผู้อื่นแล้วก็ยากที่จะปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมา ในศึกครั้งใหญ่เมื่อครู่นี้คงจะไม่มีโอกาสได้รับชัยชนะเลยก็ว่าได้
“ตึง ตึง”
ทันใดนั้นศิษย์สายตรงนับสิบคนก็ได้คุกเข่าลงต่อหน้าหลงเฉินแล้วกล่าววาจาที่เปี่ยมไปด้วยความสรรเสริญว่า “ศิษย์พี่หลงเฉิน ชีวิตของพวกเราเป็นของท่าน!”
ในมุมมองของพวกเขานั้นก็คือหลงเฉินเป็นคนช่วยให้สัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลปรากฏขึ้นมา นี่จึงถือว่าเป็นบุญคุณอันยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขาทั้งหมดเลยก็ว่าได้
“รีบลุกขึ้นเถิด ที่พวกเจ้าสามารถปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้นั้นก็เป็นเพราะการพึ่งพาตัวเองโดยทั้งสิ้น สิ่งที่เรียกกันว่าการเสียสละย่อมให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมเสมอ และคนที่จะต้องขอบคุณก็คือตัวเองและพี่น้องที่อยู่ข้างกายของพวกเจ้าต่างหาก”
คำพูดของหลงเฉินทำให้จิตใจของผู้คนเกิดความตื้นตันขึ้นมาเป็นสาย เดิมทีพลังของการปกป้องนั้นฟังดูง่ายดายยิ่งนัก ทว่าสิ่งที่แฝงเอาไว้กลับลึกซึ้งและไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้
“และที่ทำให้ข้าไม่ชอบใจก็คือคำพูดที่ว่าชีวิตของพวกเราเป็นของท่าน? หากว่าชีวิตของพวกเจ้าเปลี่ยนเป็นเงินทองได้ ข้าจะรับเอาไว้ในทันที ฮาฮา โอย….”
ทันใดนั้นหลงเฉินก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวที่เอวข้างซ้าย พลันก็เห็นว่าถังหว่านเอ๋อกำลังจ้องเขม็งอยู่ข้างกาย “อย่าได้กล่าววาจาหยอกล้อฉอเลาะ เจ้าเป็นผู้บัญชาการนะ เลิกล้อเล่นกับพวกเขาได้แล้ว” ถังหว่านเอ๋อกล่าวพร้อมกับส่งแผ่นป้ายคืนให้หลงเฉิน
“เจ้าเป็นผู้บัญชาการก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” หลงเฉินไม่อยากจะรับภาระหน้าที่นั้นคืนอีกแล้ว เพราะเขาชมชอบที่จะห้ำหั่นศัตรูตามใจชอบมากกว่า
“ยังจะกล่าวไร้สาระออกมาอีก เจ้าเป็นคนที่ท่านเจ้าสำนักแต่งตั้งขึ้นมานะ และที่ปลีกตัวไปสะสางเรื่องส่วนตัวก็ถือว่าผิดกฎมากพอแล้ว หากนับโทษตามกฎของทางทหาร เจ้าคงจะต้องถูกตัดคอไปตั้งแต่แรกแล้ว” ถังหว่านเอ๋อกล่าว
“แล้วศีรษะของข้าสามารถเปลี่ยนเป็นแต้มคะแนนได้หรือไม่?” หลงเฉินกล่าวแล้วรับแผ่นป้ายมาอย่างว่าง่าย
พลันก็มองดูบนแผ่นป้ายที่มีข่าวสารเพิ่มขึ้นมามากมาย หนึ่งในนั้นมีความอยู่ว่าขุมกำลังที่แท้จริงของฝ่ายอธรรมกำลังจะเข้ามาถึงสถานที่แห่งนี้ภายในสามวัน และระหว่างนี้ก็จะมีกองกำลังของฝ่ายอธรรมบางส่วนบุกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าฝ่ายธรรมะที่ได้รับชัยชนะก็มีอีกหลายสำนักด้วยกัน ทว่าก็มีศิษย์ฝ่ายธรรมะไม่น้อยที่ถูกโจมตีจนตายตกไปกว่าครึ่งหนึ่งของกองทัพ เพราะศึกในครั้งนี้ได้ปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง อีกทั้งขุมกำลังของทางฝ่ายธรรมะมากมายก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปทั้งหมด
“มีสารส่งมาว่าภายในสามวันนี้จะมีกองทัพหลักของฝ่ายอธรรมบุกเข้ามาที่หุบเขาเก้าบรรพตที่อยู่ห่างจากพวกเราราวแปดร้อยลี้ และสถานที่แห่งนั้นก็เป็นศึกตัดสินครั้งสุดท้าย แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันดี?” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาอย่างร้อนรน
ขึ้นชื่อว่ากองทัพหลักแล้วย่อมต้องน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดแน่นอน และถึงแม้ว่าแผ่นป้ายจะไม่ได้ระบุถึงจำนวนของศิษย์ฝ่ายอธรรมว่ามากน้อยเพียงใด ทว่าหากเป็นไปตามศึกก่อนหน้านี้แล้วเกรงว่าคงจะมากพอที่จะแผ่ขยายไปทั่วทั้งผืนดิน ถังหว่านเอ๋อจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกดดดันขึ้นมา
“อย่าได้ร้อนรนไป หากมามากก็ถือว่าเป็นแต้มคะแนนที่มากขึ้นไปด้วย คงไม่ได้มีเพียงแค่หมู่ตึกของพวกเราเท่านั้น เกรงว่าคงจะมีเหล่ายอดฝีมือของสำนักอื่นๆ มาเสริมทัพด้วย อย่างน้อยก็คงอีกสองวัน……”
หลงเฉินครุ่นคิดแล้วกล่าวต่ออีกว่า “เช่นนั้นข้าจะสอนกลยุทธ์ไร้พ่ายอย่างหนึ่งให้กับพวกเจ้าเอง!”