พวกพ้องทุกคนทอสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน หลงเฉินจึงหัวเราะแล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ข้าขอถามพวกเจ้าว่าเป้าหมายของการต่อสู้คืออะไร?”
“ฝึกฝนความแน่วแน่ของจิตวิญญาณเพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งยิ่งขึ้น” ศิษย์สายตรงคนหนึ่งตอบ
หลงเฉินส่ายหน้าแล้วกล่าว “สิ่งนั้นไม่ใช่เป้าหมายของการต่อสู้ เป้าหมายสูงสุดที่แท้จริงก็คือการควบคุมอีกฝ่ายเอาไว้ให้อยู่หมัด หลังจากที่ควบคุมอีกฝ่ายหนึ่งได้แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะต้องใช้วิทยายุทธ์อันแกร่งกล้าทั่วไป ทว่าเป็นการใช้กลยุทธ์ที่พิสดารออกไปต่อกร…. และกลยุทธ์ที่พิสดารที่สุดนั่นก็คือความไร้ยางอาย”
ผู้คนทั้งหมดต่างก็ไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังทอแววตาโง่งมมองไปที่หลงเฉิน “ข้าเคยบอกกับพวกเจ้าไปตั้งแต่แรกแล้วว่าอาวุธที่น่าหวาดกลัวที่สุดในการต่อสู้นั้นไม่ใช่พลังอันแข็งแกร่ง ทว่ากลับเป็นสิ่งที่ศิษย์ฝ่ายอธรรมแสดงออกมาให้ได้ประจักษ์กันแล้วต่างหาก
พลังการฝึกยุทธ์ของพวกเขานั้นแตกต่างจากพวกเจ้าเป็นอย่างมาก ทว่าการลงมือกลับมีชั้นเชิงและสร้างความหวาดหวั่นให้กับพวกเจ้าได้ไม่น้อยเลย ด้วยเหตุนี้ข้าจึงจำเป็นที่จะต้องทำให้พวกเจ้าเอาชนะความหวาดกลัวภายในจิตใจของตัวเองให้ได้ก่อน
และในขณะนี้พวกเจ้าทั้งหมดก็ก้าวข้ามสิ่งนั้นมาได้แล้ว ฉะนั้นนับตั้งแต่บัดนี้ไปข้าจะสอนให้พวกเจ้าใช้กลยุทธ์ที่พิสดาร ทว่าข้าไม่อยากให้พวกเจ้าร้อนรนจนเกินไปเพราะกลยุทธ์นี้ง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังทำให้จิตใจของพวกเจ้าเบิกบานได้……”
……
หนึ่งชั่วยามผ่านไปก็ได้มีกองทัพของศิษย์ฝ่ายอธรรมปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ทว่าทันทีที่ศัตรูเห็นจำนวนคนของฝ่ายธรรมะแล้วก็หยุดฝีเท้าลงฉับพลัน เพราะว่าฝ่ายของพวกเขามีกำลังพลเพียงสี่ร้อยคน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เกรงกลัวต่อฝ่ายธรรมะเลยแม้แต่น้อย ทว่าพวกเขาก็ไม่ใช่พวกโง่เขลาเบาปัญญาที่จะพุ่งเข้าหาศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าฝ่ายของตัวเองกว่าสี่เท่า
ทว่าฉากเบื้องหน้าสายตาในขณะนี้กลับทำให้พวกเขาเกิดความประหลาดใจขึ้นมา ราวกับว่าศิษย์ฝ่ายธรรมะไม่ได้สนใจการปรากฏตัวของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย มีเพียงผู้คนอยู่สิบกว่าคนเท่านั้นที่กำลังจดจ้องมาที่พวกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนที่เหลือต่างก็นั่งบ้างนอนบ้างจนถึงขั้นส่งเสียงกรนดังขึ้นมาเป็นสาย
“ศิษย์ฝ่ายธรรมะกลุ่มนั้นช่างโง่งมกันเสียจริง พวกเขามาเพื่อต่อสู้หรือว่ามาทำการละเล่นกัน? ถึงกับนั่งหลับภายใต้ศึกการต่อสู้เช่นนี้ได้?” ศิษย์ฝ่ายอธรรมผู้หนึ่งด่าทอขึ้นมา
“การกระทำของพวกมันมีพิรุธมากเกินไป อย่าได้หลงกลไปติดกับ ฝ่ายนั้นมีกำลังพลมากกว่าพวกเรามากนัก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรบุกเข้าไป หยุดรอให้ขุมกำลังอื่นตามมาสมทบเถิด” ศิษย์สายตรงที่คงจะเป็นผู้นำของฝ่ายอธรรมกล่าว
ทั้งสองฝ่ายถูกกั้นด้วยหุบเขาขนาดเล็กหนึ่งลูกที่อยู่ห่างกันหนึ่งร้อยกว่าลี้ ดวงตาคู่งามจดจ้องไปยังฝ่ายอธรรมที่ไม่ยอมบุกเข้ามาจึงเอ่ยถามด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “พวกเขาคงจะรอกำลังเสริมกันอยู่เป็นแน่ พวกเราควรทำอย่างไรกันต่อไปดี?”
หลงเฉินที่นอนแผ่อยู่บนพื้นด้วยท่าทีผ่อนคลายก็ได้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบขึ้นมาว่า “ปล่อยให้พวกเขารอต่อไปเช่นนั้นย่อมดีแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ลงหม้อกันไปแล้ว”
กู่หยางมองไปทางศิษย์ฝ่ายอธรรมที่อยู่ไกลออกไปแล้วกล่าว “ให้ข้านำพาพี่น้องส่วนหนึ่งบุกเข้าไปก่อนหรือไม่? รับรองว่าภายในครึ่งชั่วยามจะสังหารพวกเขาให้หมดสิ้นเลย!”
“ไม่จำเป็น ตอนนี้พวกพ้องของเราได้ก้าวข้ามความเป็นตายกันมาแล้ว ในเวลาเช่นนี้ย่อมเหมาะที่จะทะลวงพลังการฝึกยุทธ์เป็นที่สุด ในเมื่อทุกคนมีภูมิคุ้มกันแล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องไปเสียเวลากับกุ้งฝอยเหล่านี้ ภารกิจของทุกคนในตอนนี้ก็คือตั้งสมาธิอยู่กับการฝึกยุทธ์ก็พอ
การทะลวงพลังภายใต้บรรยากาศกดดันเช่นนี้นับว่าเป็นการทดสอบความแน่วแน่ของจิตใจได้เป็นอย่างดี และอีกไม่นานนักก็จะได้พบกับการต่อสู้ที่แท้จริงแล้ว หากมีศิษย์ฝ่ายอธรรมเข้ามากร่ำกรายก็ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
เหล่าศิษย์สายตรงทอดถอนใจออกมาอย่างแรง นับตั้งแต่ที่ได้ติดตามหลงเฉินมานั้น ชีวิตของพวกเขาก็มีแต่ความตื่นเต้นระคนหวาดหวั่นขึ้นมา เพราะหลงเฉินนั้นมีความคิดที่แปลกประหลาดเกินคนธรรมดาทั่วไปเฉกเช่นพวกเขา
ทว่าไม่ว่าอย่างไรภายในจิตใจของพวกเขาก็ยังมีความเชื่อมั่นต่อหลงเฉินอย่างไม่เสื่อมคลาย พลันก็เข้าสู่สภาวะสมาธิโดยใช้น้ำผึ้งของราชินีผึ้งหยกมาช่วยหนุนเสริม
ศิษย์ของทั้งสองฝ่ายต่างก็สบตามองกันอยู่ทุกชั่วขณะ ทว่ามีเพียงศิษย์ฝ่ายธรรมะสิบกว่าคนเท่านั้นที่กำลังเฝ้าระวังอยู่โดยรอบ ส่วนคนอื่นๆ กลับอยู่ในสภาวะสงบนิ่งเข้าสู่การฝึกยุทธ์กันอยู่
ส่วนทางฝ่ายอธรรมก็มีกำลังพลมาสบทบอีกสองขุมกำลัง ทว่าเมื่อได้รวมตัวกันแล้วก็ยังไม่เท่าฝ่ายธรรมะอยู่ดี
จนชายหนุ่มที่มีดวงตาเพียงข้างเดียวซึ่งเป็นศิษย์สายตรงของฝ่ายอธรรมก็ได้จ้องเขม็งไปยังฝั่งตรงข้ามแล้วกล่าวต่อพรรคพวกว่า “ยังจะรออันใดอยู่อีก? ออกไปจัดการกับฝ่ายธรรมะโง่เง่ากลุ่มนั้นกันเถิด ชิ กล้าเสแสร้งแกล้งทำเป็นเข้าสู่การฝึกยุทธ์อย่างนั้นหรือ ดูถูกกันมากเกินไปแล้ว”
การปรากฏตัวของฝ่ายอธรรมราวกับไร้ซึ่งตัวตนอย่างไรอย่างนั้น เพราะฝ่ายธรรมะกระทำราวกับมองไม่เห็นพวกเขา ทั้งยังเสแสร้งแกล้งทำต่างๆ ที่คล้ายกับเป็นการดูถูกเหยียดหยามผู้คนชนิดหนึ่ง และบุคคลที่ทำให้ศิษย์ฝ่ายอธรรมไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งนั่นก็คือหลงเฉินนั่นเอง
คนผู้นั้นถึงกับนอนแผ่ราบอยู่บนพื้นพร้อมกับกระดิกเท้าไปมาอย่างสบายใจ ปล่อยให้แสงอาทิตย์อ่อนๆ สาดส่องลงบนตัวราวกับนอนอาบแดด บ้างก็ยกจอกขึ้นมาดื่มกินอยู่หลายอึก ช่างเป็นความผ่อนคลายจนเกินควรราวกับตบเข้ามาที่ใบหน้าของพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
จากที่ได้ฟังคำกล่าวจากปากของเหล่าท่านผู้อาวุโสของสำนักมารที่ว่าศิษย์ฝ่ายธรรมะนั้นเป็นเพียงเจ้าพวกหนูน้อยที่มีความเก่งกาจทว่าขาดเขลาเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นการลงมือเพื่อสังหารพวกเขาจึงง่ายดายราวกับเป็นเพียงผักปลาในตลาดเท่านั้น
นอกจากนี้การสังหารศิษย์ฝ่ายธรรมะก็ทำให้พวกเขาสามารถสร้างผลงานและได้รับผลประโยชน์ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการเพิ่มพูนพลังของเคล็ดวิชาและทักษะยุทธ์ของตัวเอง
“ด้วยการยั่วยวนที่ประจักษ์ชัดแจ้งเช่นนี้ อย่าบอกข้าเชียวนะว่าเจ้ามองไม่ออก เพราะต่อให้ข้ามีดวงตาเหลือเพียงข้างเดียวเช่นเจ้าก็ยังมองออกเลย” ศิษย์สายตรงที่เฝ้าดูอยู่ตั้งแต่แรกกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
ชายฉกรรจ์ตาเดียวทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ดวงตาเพียงข้างเดียวนั้นสาดประกายอันคมกล้าออกมา “เจ้าอยากตายอย่างนั้นหรือ?”
“ต่อให้ข้าอยากตาย เจ้ามีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นหรือ?” ศิษย์สายตรงผู้นั้นตอบกลับในทันทีราวกับไม่ต้องคิดไตร่ตรองเลยแม้แต่น้อย เพราะศิษย์ฝ่ายอธรรมไม่เคยเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมาก่อนอยู่แล้ว แม้แต่ช่วงเวลาที่อยู่ในสำนักก็ยังสามารถเข่นฆ่ากันอย่างง่ายดายเพียงเพราะปรารถนาที่จะทานอาหารอย่างราบรื่นเท่านั้น
หากไม่ใช่เป็นเพราะผลประโยชน์จากการออกศึกครั้งใหญ่ พวกเขาคงจะไม่มีวันร่วมมือกันเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดกล่าวอันใดออกมาก็ล้วนแล้วแต่มีกลิ่นอายของความเผ็ดร้อนในกระแสโลหิตทั้งนั้น
“ไสหัวไป”
ชายฉกรรจ์ตาเดียวชักดาบจันทร์เสี้ยวออกมาแล้วหอบจิตสังหารมุ่งหน้าไปทางศิษย์สายตรงผู้นั้นทันที
“ตูม”
ในขณะที่พวกเขากำลังจะปะทะกันอยู่นั้นก็ได้มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาเป็นสายจึงรีบหันกลับไปมองยังต้นเสียงด้วยสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
“บัดซบ พวกมันไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ ทว่าได้ทะลวงพลังสภาวะขึ้นมาจริงๆ”
ศิษย์ฝ่ายอธรรมมากมายด่าทอขึ้นมายกใหญ่ แม้ว่าจะเคยถูกหลอกลวงมาก่อนทว่าก็ไม่เคยรู้สึกถึงความอัปยศ ได้ถึงเพียงนี้ ศิษย์ฝ่ายอธรรมทั้งหมดจึงมีโทสะจนใบหน้าเขียวคล้ำไปตามๆ กัน การทะลวงพลังในสถานการณ์เช่นนี้ราวกับว่าไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลย
“ออกไปสังหารพวกมันกับข้า จัดการกับเจ้าตัวบัดซบเหล่านั้นให้กลาเป็นเนื้อบดให้หมดสิ้น!”
ศิษย์ฝ่ายอธรรมตะโกนขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราดอย่างถึงที่สุด นัยน์ตาทุกคู่สาดประกายสีแดงฉานขึ้นมาประดุจสุนัขคลั่ง ยอดฝีมือระดับศิษย์สายตรงหลายคนตกอยู่ภายใต้โทสะจนทะยานสู่เบื้องหน้าอย่างไม่คิดชีวิต
ส่วนทางฝั่งของศิษย์ฝ่ายธรรมะก็สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่สองได้ถึงหนึ่งคน ด้วยการเลื่อนระดับพลังเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นไปแล้วก็จะทำให้พลังการฝึกยุทธ์และพลังสภาวะของคนผู้นั้นเพิ่มระดับความน่ากลัวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
ถึงแม้จะเป็นเพียงศิษย์สายนอกของหมู่ตึก ทว่าพลังการต่อสู้ของพวกเขากลับแข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นของสำนักทั่วไปกว่าสิบเท่าเลยก็ว่าได้
ฉะนั้นความยากและความรวดเร็วในการเลื่อนระดับพลังก็จะยิ่งยากและช้ากว่ายอดฝีมือทั่วไปหลายเท่าด้วยเช่นกัน จึงไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเหล่าศิษย์ของทางหมู่ตึกจึงมีพลังการฝึกยุทธ์ที่ล้าหลังกว่าสำนักอื่นเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่ศิษย์ผู้หนึ่งทะลวงพลังขึ้นมาได้แล้วก็เริ่มเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมาต่อเนื่องกันหลายสาย อีกทั้งยังดังขึ้นมาราวกับว่าไม่มีวันหมดสิ้น
“บัดซบ! หาที่ตาย! ข้าจะแล่เนื้อของพวกเจ้าออกเป็นชิ้นๆ เอง”
ศิษย์ฝ่ายอธรรมหลายร้อยคนวิ่งตะบึงเข้ามาอย่างเอาเป็นเอาตาย แววตาของทุกคนทอประกายดุร้ายจนทำให้ศิษย์ฝ่ายธรรมะที่กำลังคุ้มกันอยู่ทางด้านหน้าทอสีหน้าแตกตื่นกันขึ้นมาอย่างรุนแรง
หลงเฉินค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมาช้าๆ แล้วทำท่าบิดขี้เกียจไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาคู่คมมองไปทางอาหมานด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง ‘เอาเถิด เด็กน้อยที่ดี หากเจ้าง่วงนอนจนน้ำลายไหลถึงเพียงนั้น ข้าก็จะไม่ปลุกเจ้าขึ้นมา’ พลันก็มุ่งหน้าสู่พวกพ้องที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด
“อย่าได้ตื่นเต้นไปเลย คิดเสียว่ากำลังทำเรื่องสนุกๆ กันอยู่ก็พอแล้ว”
หลงเฉินก้าวเดินออกไปอยู่เบื้องหน้าของพวกพ้องสิบกว่าคนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมกับจ้องมองไปที่ศิษย์ฝ่ายอธรรมด้วยความลิงโลด
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายเดิมอยู่ประจันหน้ากันเพียงร้อยลี้ พื้นดินที่ใต้ฝ่าเท้าของเหล่าศิษย์ฝ่ายอธรรมก็แยกออกจากกันในทันทีประดุจมีปากของสัตว์ขนาดใหญ่กำลังอ้าออกแล้วกลืนกินพวกเขาลงไป
“อา อา อา……”
เรื่องกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังระงมไปทั่วทั้งบริเวณสลับกับเสียงระเบิดกัมปนาทที่ดังสนั่นหวั่นไหวอย่างไม่ขาดสาย