เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 252 : สั่นสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งปฐพี

ฉู่เหยายืนอยู่ทางด้านหลังของฮวายวี่มาโดยตลอด ความจริงแล้วนางไม่ควรมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะในสถานที่แห่งนี้ต่างก็เต็มไปด้วยยอดฝีมือระดับผู้อาวุโสทั้งหมด ทว่าฮวายวี่ได้ขอให้นางเข้ามาด้วยจึงไม่อาจปฏิเสธได้ และเมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสซุนแล้วก็อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที

 

“ความหมายของท่านก็คือหลงเฉินสมควรที่จะยืนมองดูบิดาของตัวเองถูกสังหารไปต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ?” ฉู่เหยากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเพราะมีโทสะท่วมท้น

 

ผู้อาวุโสซุนส่ายหน้าแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ชีวิตของคนสามัญธรรมดาเพียงคนเดียวไม่อาจเทียบกับชีวิตของผู้มีพรสวรรค์นับพันได้ หลงเฉินเป็นถึงผู้บัญชาการของกองทัพ เช่นนั้นสมควรที่จะเข้าใจความข้อนี้เป็นอย่างดี ทว่าเขากลับไม่เห็นความสำคัญในหน้าที่ที่ทางหมู่ตึกมอบหมายให้”

 

“ท่าน……” ฉู่เหยาทอสีหน้าเกรี้ยวกราดมองไปยังผู้อาวุโสซุน นี่เป็นครั้งแรกที่นางเกิดโทสะจนเดือดดาลถึงเพียงนี้

 

ถู่ฟางเองก็ได้มองไปทางผู้อาวุโสซุนด้วยสายตาเย็นชา ดูเหมือนว่าจิตใจของผู้อาวุโสซุนคงจะเกิดกิเลสขึ้นมาอีกครั้งแล้วเป็นแน่

 

“ผู้น้อยกล่าวอันใดผิดไปอย่างนั้นหรือ?”

 

ถู่ฟางยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว “ไม่ผิด หลงเฉินนั้นไม่ได้มีความผิด ในสนามรบย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นนับหมื่นพัน เขาเป็นผู้นำทัพย่อมมีสิทธิ์ในการตัดสินใจทั้งหมด เป็นท่านเจ้าสำนักที่แต่งตั้งให้เขาเป็นผู้บัญชาการ ฉะนั้นภาระอันยิ่งใหญ่ก็เป็นหน้าที่ที่เขาจะต้องจัดการแบ่งสรรด้วยตัวเอง ส่วนเขาจะจัดการเช่นไรนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องเป็นห่วงไป”

 

วาจาของถู่ฟางราวกับยกมือตบไปที่ใบหน้าของผู้อาวุโสซุนฉาดใหญ่ แน่นอนว่าจากที่เคยโกรธแค้นอยู่แล้วกลับยิ่งเดือดดาลขึ้นไปอีก ราวกับกล่าวหาว่าเขาไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดีอย่างไรอย่างนั้น

 

คนผู้นี้จงใจที่จะตัดสินให้ลงโทษหลงเฉิน ซึ่งถู่ฟางเองก็มองออกและเข้าใจดียิ่งกว่าผู้ใดในที่แห่งนี้ อีกทั้งยังสามารถคาดเดาเป้าหมายของผู้อาวุโสซุนได้ถึงแปดเก้าส่วนแล้ว ทว่าสสถานะอี้ซู่แห่งฟ้าดินของหลงเฉินนั้นกลับทำให้ถู่ฟางไม่กล้าที่จะช่วยเหลือหรือแทรกแซงมากไปกว่านี้ได้ หากเปลี่ยนจากหลงเฉินเป็นเหล่าผู้มีพรสวรรค์อย่างถังหว่านเอ๋อหรือเยี่ยจื่อชิวแล้ว แน่นอนว่าถู่ฟางคงจะไม่ปล่อยให้เขากล่าวขึ้นมาเช่นนี้

 

ทว่ามีอยู่ส่วนหนึ่งที่ถู่ฟางไม่เข้าใจในความคิดของผู้อาวุโสซุน เหตุใดเขาถึงได้จงใจหาเรื่องหลงเฉินอยู่ตลอดเวลาด้วย? ทั้งหลิงหวินจื่อและตัวเขาเองก็ทราบมาโดยตลอดเช่นกันทว่าก็ได้ทำเป็นมองไม่เห็น ปล่อยให้เรื่องราวผ่านไปซึ่งผู้อาวุโสซุนไม่รู้สึกก็ไม่เคยฉุกคิดถึงความผิดปกติบ้างเลยหรืออย่างไร?

 

“ผู้น้อยรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อหมู่ตึกในภายภาคหน้าได้ ฉะนั้นจึงขอเสนอให้ลงทัณฑ์บน……”

 

“ท่านเจ้าสำนักได้มอบหมายให้หลงเฉินจัดการกับศิษย์ของทางหมู่ตึกด้วยตัวเอง ทั้งยังไม่สนใจว่าหลงเฉินจะนำทัพหรือไม่ ท่านเจ้าสำนักขอเพียงผลลัพธ์ที่เรียกว่าชัยชนะ ฉะนั้นในเมื่อผลลัพธ์ยังไม่ปรากฏก็อย่าได้กล่าววาจาพร่อยๆ ออกมาจะดีเสียกว่า” ถู่ฟางอดไม่ได้ที่จะกล่าวขัดขึ้นมาอย่างเผ็ดร้อน เหตุใดทางหมู่ตึกถึงได้มีผู้อาวุโสที่โง่เขลาเช่นนี้ ช่างน่าขายขี้หน้าเสียเหลือเกิน

 

เมื่อได้ยินถู่ฟางกล่าวพร้อมทอสีหน้าเย็นชามองกลับมา ผู้อาวุโสซุนก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเขาไม่อาจทำอะไรได้อีกต่อไปแล้วจึงรีบถอยหลังกลับเข้ากลุ่มไป ทว่าก่อนที่จะร่นถอนไปนั้นก็ได้สาดประกายแววตาดุร้ายขึ้นมาเป็นสาย

 

นับตั้งแต่ที่หลงเฉินได้สังหารหวู่ฉีลงไปก็ยิ่งเห็นว่าท่านเจ้าสำนักให้ความสำคัญต่อหลงเฉินมากยิ่งขึ้น ซึ่งสำหรับเขาแล้วกลับไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย ถึงแม้ว่าเขาจะลงมือจัดฉากเพื่อหมายที่จะจัดการเอาพลังของหลงเฉินมาเป็นของตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่าก็ล้มเหลวไปเสียทุกครั้ง

 

และในขณะนี้พลังฝีมือของหลงเฉินก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆ จนทำให้ชางหมิง หลิงหวินจื่อ และถู่ฟางนั้นยิ่งทะนุถนอมเขามากขึ้น

 

ภายในจิตใจของเขาไม่ได้ใคร่รู้ถึงความลับในพลังของหลงเฉินแล้ว ในทางกลับกันกลับอยากจะยุติความอาฆาตบาดหมางทั้งหมดลงไปมากกว่า ทว่าต่อให้เขาเป็นฝ่ายเลิกราแล้วมีหรือที่หลงเฉินจะยินยอม

 

ถึงแม้ว่าในตอนนี้หลงเฉินจะยังไม่อาจลงมือต่อเขาได้ ทว่าด้วยการพัฒนาที่ก้าวกระโดดของหลงเฉินคงจะไม่เกินสามปีก็จะเข้าสู่ขอบเขตปรือกระดูกได้อย่างแน่นอน ผนวกกับความเด็ดเดี่ยวของหลงเฉินที่ว่าแค้นย่อมต้องชำระอย่างสาสมนั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นอย่างถึงที่สุด มีหรือที่หลงเฉินจะปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ในหมู่ตึกได้อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้จึงมีทางเดียวเท่านั้นที่จะปลอดภัยนั่นก็คือทำให้หลงเฉินตายไปเสีย

 

“ขอแจ้งต่อทุกกองทัพว่าหลังจากที่ไปรวมตัวกันยังสถานที่นัดหมายแล้วให้ฟังคำสั่งจากหลงเฉิน หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือขัดคำสั่ง——ตาย!” ถู่ฟางกล่าวอย่างเย็นเยียบ

 

“ขอรับ”

 

ผู้อาวุโสทั้งหมดรีบตบปากรับคำขึ้นมาโดยพลันแล้วหายลับกลับไปบอกกล่าวต่อศิษย์ของพวกเขา ภายในจิตใจก็ไม่ได้รู้สึกดีมากนัก เพราะพวกเขาต่างก็ไม่ทราบว่าศิษย์ของตัวเองคงเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด หากเป็นไปตามศึกที่ผ่านมานั้นขอเพียงหลงเหลืออยู่ครึ่งหนึ่งก็เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่งแล้ว

 

ทว่าที่พวกเขาทั้งหมดยังไม่ทราบนั่นก็คือในศึกครั้งนี้มีศิษย์ฝ่ายอธรรมกำลังเดินทางมาด้วยจำนวนที่มากกว่าหลายปีที่ผ่านมาหลายเท่าตัวนัก

 

“ยอดฝีมือฝ่ายอธรรมเริ่มกระจายกันไปแต่ละหนแห่งแล้ว”

 

เงาร่างหลายสายปรากฏตัวอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่ห่างไกลออกไป บรรยากาศที่ปกคลุมบริเวณนั้นแฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นอายของความตาย พลังสภาวะอันแสนชั่วร้ายปะทุขึ้นมาไม่หยุดประดุจภูตผีที่เพิ่งจะคืบคลานขึ้นมาจากขุมนรกจนทำให้ผู้คนเกิดความหนาวเหน็บขึ้นมา

 

ผู้คนเหล่านี้ก็คือผู้อาวุโสของฝ่ายอธรรมทั้งหมด ทั้งยังมีจำนวนที่ไม่มากหรือน้อยกว่าผู้อาวุโสของฝ่ายธรรมะเลย ส่วนผู้นำทัพในครั้งนี้เป็นชายชราที่สวมชุดคลุมยาวสีดำ เขามีรูปร่างสูงถึงเก้าเซียะ ทว่าร่างกายกลับซูบผอมจนเห็นเป็นหนังหุ้มกระดูก และที่น่าตกใจที่สุดก็คือตลอดทั่วทั้งร่างของเขาไร้ซึ่งโลหิตไหลเวียนประดุจเป็นซากศพเดินได้อย่างไรอย่างนั้น

 

“ถู่ฟาง เจ้ายังไม่ตายอย่างนั้นหรือ ฮาฮา ยอดมาก ยอดเยี่ยมมาก!” ชายชราโครงกระดูกกล่าวกลั้วหัวเราะอย่างเย็นชา

 

ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างจากกันหลายร้อยลี้ ทว่าเสียงอันหยาบกระด้างของชายชราผู้นี้กลับดังเข้าไปในโสตประสาทของผู้คนทั้งหมดได้อย่างชัดเจน ดังกึกก้องจนทำให้ผู้คนเหล่านั้นเกิดอาการแสบแก้วหูราวกับถูกเข็มขนาดเล็กทิ่มแทงเข้ามาอย่างไรอย่างนั้น

 

“เฒ่าประหลาดเนตรมาร ในเมื่อเฒ่าผีอย่างเจ้ายังไม่ตาย แล้วพวกเราจะชิงตายไปก่อนได้อย่างไรกัน!” ถู่ฟางตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

พวกเขาทั้งสองคนเป็นศัตรูคู่แค้นกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นอกจากนี้ยังได้เป็นตัวแทนของฝ่ายธรรมะและอธรรม เข้าต่อสู้กันมานานหลายปี ด้วยพลังฝีมือที่สูสีและอยู่ในระดับใกล้เคียงกันก็ทำให้พวกเขากินกันไม่ลงเลยก็ว่าได้

 

“เหอะเหอะ ถู่ฟาง ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งใดใดแล้ว ข้ารู้สึกว่าอีกไม่นานนักเจ้าก็จะต้องตาย เพราะว่าศิษย์ฝ่ายธรรมะของเจ้ากำลังจะถูกศิษย์ของข้าไล่สังหารจนตายไปทั้งหมด ส่วนข้านั้นก็จะได้เห็นเจ้ากระอักโลหิตตายไปด้วย เคี๊ยก เคี๊ยก เคี๊ยก……” เฒ่าประหลาดเนตรมารส่งเสียงหัวเราะน่าสะอิดสะเอียนดังขึ้นมาเป็นสายจนทำให้ผู้คนที่ได้ยินขนลุกชันขึ้นมาในทันที

 

“ช่างเป็นวาจาที่ใหญ่โตเกินจริงไปหน่อย ถึงแม้ว่าศิษย์ฝ่ายอธรรมจะแข็งแกร่งและน่าหวาดกลัว ทว่าวิธีเลี้ยงดูของพวกเจ้านั้นช่างโหดร้ายจนเกินไปจนทำให้ศิษย์ที่พวกเจ้าปลุกปั้นขึ้นมาลดน้อยลงไปเรื่อยๆ และถึงแม้ว่าศึกครั้งใหญ่ระหว่างทั้งสองฝ่ายจะทำให้ศิษย์ฝ่ายธรรมะบาดเจ็บและล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีฝ่ายใดได้รับชัยชนะอย่างแท้จริง มีแต่ผลลัพธ์ที่เสมอกันตลอดมา แล้วเจ้ายังกล่าววาจาใหญ่โตอยู่อีกหรือ? ผายลมออกมามากจนเกินไปแล้ว” ถู่ฟางกล่าว

 

“ถู่ฟาง ข้าหวังว่าเจ้าคงจะไม่ต้องกลืนน้ำลายของตัวเองในภายหลังนะ เคี๊ยกเคี๊ยก” เฒ่าประหลาดเนตรมารกล่าวแล้วหัวเราะเสียงดัง พลันก็ชักนำเหล่าผู้อาวุโสของฝ่ายอธรรมไปนั่งพักผ่อนอยู่บนโขดศิลาใกล้ๆ

 

ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใดที่คำพูดของเฒ่าประหลาดเนตรมารได้ทำให้จิตใจของถู่ฟางเกิดความไม่สบายใจขึ้นมาอย่างท่วมท้น เสมือนว่าพวกเขามีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับชัยชนะในศึกครั้งนี้

 

“นั่น….ในกลุ่มของพวกเขาคล้ายกับมีการคงอยู่ของยอดฝีมือระดับเดียวกันกับเหยาเอ๋อด้วย พวกเขาเป็นผู้อยู่เหนือขอบเขตอย่างนั้นหรือ?” ฮวายวี่กล่าวด้วยสีหน้าปั้นยากย

 

หลังจากที่ได้ยินเสียงร้องของฮวายวี่ เหล่าผู้อาวุโสที่เหลือต่างก็มีจิตใจที่เต้นระรัวขึ้นมาตามๆ กัน พลันก็กวาดตามองไปยังกลุ่มคนเหล่านั้นแล้วก็พบเห็นใบหน้าที่เยาว์วัยอยู่สี่คน ทว่าพวกเขาเหล่านั้นกลับสวมหมวกคลุมศีรษะเอาไว้จนไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้ชัดเจน

 

“ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพียงอยู่เหนือขอบเขตปรากฏตัวขึ้นมาเพียงหนึ่งคนก็เรียกได้ว่ามากมายอย่างถึงที่สุดแล้ว การที่ปรากฏตัวขึ้นมามากมายถึงเพียงนี้เพียงชั่วครู่เดียวย่อมต้องเป็นการตบตาผู้คนแน่นอน” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งของหมู่ตึกส่ายหน้าแล้วกล่าวออกมา

 

ควรทราบว่าการปรากฏตัวของผู้อยู่เหนือขอบเขตของหมู่ตึกพลิกสวรรค์ได้ผ่านพ้นมากว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว ฉะนั้นการปรากฏตัวของผู้อยู่เหนือขอบเขตจึงยากยิ่งที่จะพบเห็นได้มากมายถึงเพียงนี้

 

และทันทีที่ตำหนักป่าสวรรค์ได้มีผู้อยู่เหนือขอบเขตปรากฏตัวขึ้นมาถึงหนึ่งคนก็ได้ทำให้หมู่ตึกพลิกสวรรค์ยกย่องเชิดชูอย่างไม่เสื่อมคลายเป็นอย่างยิ่งแล้ว

 

“หลงเฉิน” ฉู่เหยามองไปยังเงาร่างอันคุ้นตาที่กำลังอยู่ในท่วงท่าเกียจคร้าน

 

“สวรรค์ พวกเขาทำได้อย่างไรกัน?”

 

เหล่าสำนักขนาดใหญ่มีมารวมตัวกันตกอยู่ในอาการแตกตื่นตกใจเมื่อได้มองไปยังกำลังพลที่อยู่ตรงหน้า เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีเพียงสำนักของพวกเขาเท่านั้นที่โดดเด่นเรื่องจำนวนคน

 

หลังจากที่ได้กวาดสายตามองไปยังเบื้องหน้าแล้วกลับพบว่าจำนวนคนในกองทัพของหมู่ตึกพลิกสวรรค์ไม่ได้น้อยลงไปเลยแม้แต่คนเดียว เดิมทีที่มีหนึ่งพันเจ็ดร้อยยี่สิบสามคนก็ยังคงอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

 

“หรือว่าพวกเขาไม่ได้ต่อสู้กับศิษย์ฝ่ายอธรรมเลยอย่างนั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้!” ทันทีที่เพิ่งจะกล่าวจบไป คนผู้หนึ่งก็กล่าวต่อขึ้นมาอีกครั้ง

 

ถู่ฟางมองไปยังเงาร่างหลายสายที่รวมกันเป็นรูปต้นสนใหญ่เก่าแก่แล้วกำมือแน่น “หลงเฉิน เจ้าเป็นความหวังเดียวของทั้งหมู่ตึก ท่านเจ้าสำนักได้มอบอนาคตของหมู่ตึกพลิกสวรรค์และตัวของเขาเองให้กับเจ้าไปแล้ว ฉะนั้นจงอย่าได้ทำให้พวกเราผิดหวัง”

 

เมื่อกองทัพของหลงเฉินมาถึงก็ได้สร้างความแตกตื่นให้กำลังกองทัพของสำนักขนาดใหญ่มากมาย เนื่องจากว่าศิษย์ที่เหลือรอดกลับมานั้นไม่มากมายเช่นนั้น ทั้งยังไม่อาจเทียบเคียงพลังฝีมือของศิษย์จากหมู่ตึกพลิกสวรรค์ได้เลย

 

กลุ่มที่มีมากที่สุดก็มีคนอยู่เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น และกลุ่มที่น่าสงสารที่สุดกลับหลงเหลือเพียงเจ็ดแปดคนจึงทำให้กำลังใจของพวกเขาถดถอยลงไปเป็นอย่างมาก ทว่าหากนับจากจำนวนของศิษย์ฝ่ายธรรมะที่มารวมตัวกันทั้งหมดแล้วกลับมีถึงห้าพันกว่าคนเลยทีเดียว ด้วยจำนวนกำลังพลมากถึงเพียงนี้ย่อมสร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนได้มากมายเป็นอย่างยิ่ง

 

หลังจากที่ศิษย์ของแต่ละสำนักมาถึงก็ได้พากันไปรายงานตัวต่อหลงเฉิน พวกเขาทราบกันดีอยู่แล้วว่าหลังจากนี้คงจะต้องพึ่งพากองกำลังหลักอย่างหมู่ตึกพลิกสวรรค์

 

ศิษย์จากสำนักต่างๆ จดจ้องไปยังศิษย์ของหมู่ตึกพลิกสวรรค์ด้วยความตกใจ เพราแต่ละคนต่างก็อยู่ในสภาพที่พร้อมรบเป็นอย่างยิ่ง แววตาทอประกายคมกล้าประดุจกระบี่ที่เพิ่งจะถูกชักออกจากฝัก บนร่างกายเปี่ยมไปด้วยพลังสภาวะอันน่าหวาดกลัวปะทุขึ้นมาไม่หยุด

 

หลงเฉินเหม่อมองไปทางศิษย์ฝ่ายธรรมะกลุ่มอื่นแล้วลอบถอนหายใจออกมาอย่างอดสู แต่ละคนช่างดูเป็นคนดีเสียเหลือเกิน เพียงแค่นี้ก็บอกได้แล้วว่าพวกเขาคงยังไม่พร้อมที่จะต้องเผชิญหน้ากับความตายที่แท้จริง

 

ทว่าการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว หลงเฉินจึงไม่อาจคาดหวังให้พวกเขากล้าหาญขึ้นมาในตอนนี้ เพราะเขาเองก็ไม่ใช้เทพสวรรค์ที่สามารถดลบันดาลได้ทุกสิ่งอย่าง ด้วยเวลาอันสั้นนี้จึงไม่อาจสร้างความฮึกเหิมให้กับพวกเขาได้ ฉะนั้นคงจะต้องให้ศิษย์ของหมู่ตึกพลิกสวรรค์ทั้งหมดต่อสู้อยู่ในแนวหน้าเสียแล้ว

 

ตูม!

 

ทันใดนั้นบริเวณที่ห่างไกลออกไปไม่มากก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมาเป็นสาย ศิษย์ฝ่ายอธรรมกลุ่มใหญ่หลั่งไหลเข้ามาประดุจสายน้ำเชี่ยวกราด แม้แต่หลงเฉินที่ผ่านศึกด้วยอาการสงบมาโดยตลอดก็ยังต้องจ้องมองกลับไปอย่างตะลึงลาน

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset