ทว่าครั้งนี้เพื่อปกปิดซ่อนเร้นการเจรจาแลกเปลี่ยน หลงเฉินกับผู้อาวุโสซุนจึงนัดพบกับบริเวณหุบเขาที่ห่างออกไปจากหมู่ตึก
หลังจากผู้อาวุโสซุนกลับมา หลงเฉินสังเกตเห็นว่าเขาซูบผอมลงไปมาก จึงรีบกล่าวยินดีต่อผู้อาวุโสซุนในการลดน้ำหนักได้เป็นที่สำเร็จ
ทว่าผู้อาวุโสซุนกลับไม่เอ่ยวาจาออกมาแม้แต่ประโยคเดียว เพียงแต่ส่งแหวนมิติวงหนึ่งให้แก่หลงเฉิน ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ คล้ายกับจะมีเพลิงอัคคีพุ่งออกมา จ้องเขม็งไปที่หลงเฉินอย่างเอาเป็นเอาตาย
ผู้อาวุโสซุนกลับมาพร้อมร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผล สิ่งที่หลงเฉินต้องการในครั้งนี้ ทุกชิ้นถือว่าเป็นวัตถุดิบที่ล้ำค่ามหาศาล อีกทั้งวัตถุดิบนั้นต้องมีอายุที่เหมาะสมด้วย ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนเพียงหนึ่งในสามจากครั้งที่แล้ว แต่ว่าในด้านราคากลับสูงลิ่ว แพงกว่าราคาของวัตถุดิบในครั้งที่แล้วรวมกันมากมายนัก
หลังจากที่ได้ทำการแลกเปลี่ยนวัตถุดิบเหล่านี้จนครบแล้ว ก็พบว่าแต้มคะแนนที่สะสมเอาไว้มานานนับสิบปีของผู้อาวุโสซุนนั้นถูกใช้ไปจนหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ
ผู้อาวุโสซุนเองก็เกิดความสงสัย เจ้าเด็กนี่ จะต้องมีการการวางแผนไตร่ตรองมาตั้งแต่แรกแล้วเป็นแน่ วัตถุดิบทั้งสองชุดเมื่อนับรวมกันต้องใช้แต้มคะแนนทั้งหมดของเขาแลกมา ซึ่งก็แลกได้พอดิบพอดี หรือนี่จะทำเพื่อจัดการและควบคุมเอาไว้
หลังจากต้องสูญเสียไปถึงสองครั้งสองครา แต้มคุณประโยชน์เองก็แทบจะร่อยหรอไปในทันที แต้มคุณประโยชน์หลายสิบหมื่นนั้น ตอนนี้หลงเหลือไม่ถึงห้าร้อยเลยด้วยซ้ำ
ผู้อาวุโสซุนรู้สึกดั่งมีมีดปักคาอยู่ในใจ ถ้าหากหลงเฉินยังกล้าหลอกเขา เขาจะไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าจะต้องสูญเสียอะไรไป ขอแค่ได้ลงมือสังหารหลงเฉินให้หายแค้นก็พอ
หลงเฉินที่มองดูวัตถุดิบที่มีอยู่ครบภายในแหวนมิติ ก็อดยิ้มไม่ได้ แววตาเป็นประกาย พร้อมกันนั้นก็โยนเพทายทมิฬที่เหลืออยู่อีกชิ้นให้แก่ผู้อาวุโสซุน
ผู้อาวุโสซุนยื่นมือเข้ารับเพทายทมิฬ เขาเห็นว่าตัวอักษรโบราณที่สลักอยู่ด้านหลังของเพทายทมิฬชิ้นนี้คือคำว่า——พิฆาต
“ช่างเป็นชื่อที่ยิ่งใหญ่ยิ่งนัก”
ผู้อาวุโสซุนยิ้มออกมาอย่างยินดี แต่ว่าเมื่อพลิกดูอีกด้านของเพทายทมิฬ พลันอารมณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ใบหน้าถมึงทึง กล่าวออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “เพราะเหตุใดด้านบนนี้ ถึงได้ว่างเปล่าเล่า ? ”
ที่ด้านบนเพทายทมิฬชิ้นนั้น ที่ด้านหลังสลักตัวอักษร แต่หน้ากลับว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด แม้แต่รอยขีดข่วนซักเส้นก็ยังไม่มี
เดิมทีก็ควรจะมีข้อความสลักไว้ แต่ทว่าหลงเฉินนั้นไม่มีเวลามากพอ
แท้จริงแล้ว หลงเฉินซื้อเพทายทมิฬทั้งหมดสี่ชิ้นนี้มาจากการประมูลฮวาหวิน เมื่อครั้งยังอยู่จักรวรรดิเมืองเฟิงหมิง
ถึงแม้เพทายทมิฬจะค่อนข้างเก่าแก่ แต่ทว่าราคาแต่เดิมก็ใช่ว่าจะสูงอะไร เหตุผลที่หลงเฉินซื้อมาก็เพื่อที่จะเอาไว้ใช้หลอกผู้อาวุโสซุนนั่นเอง
ตาเฒ่าผู้นี้ อยากได้เคล็ดวิชากายานวดาราของเขา จนทำให้เขาได้รับความลำบากอยู่หลายครั้ง ในครั้งสุดท้ายที่ผ่านมา ถึงกับชักนำผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมมาเพื่อฆ่าเขา ถ้าหากไม่ได้ฉู่เหยาคอยช่วยเหลือ พวกเขาก็คงต้องตายอยู่ในที่แห่งนั้นแล้ว
หลังเหตุการณ์นั้น ถู่ฟางถึงกับรับออกหน้าแทนเขา เพื่อจัดการกับตาเฒ่าผู้นี้ แต่ทว่าหลงเฉินทราบดีว่า ถ้าหากเฒ่าผีผู้นี้จงใจที่จะกัดเขาไม่ปล่อย แม้แต่ถู่ฟางก็คงทำอะไรไม่ได้ บทลงโทษสถานหนักที่สุด ก็เพียงแต่ขับไล่เขาไปเท่านั้น
เพียงแค่ขับไล่ ความแค้นที่ฝังรากลึกอยู่ภายในจิตใจของหลงเฉินก็คงยากที่จะขจัดไปได้ ทว่าในเมื่อเจ้าต้องการเคล็ดวิชาของข้า เช่นนั้นข้าก็ย่อมต้องสนองความต้องการให้แก่เจ้า
เดิมทีหลงเฉินคิดที่จะสลักแนวทางการไหลเวียนพลังเคล็ดวิชากายานวดาราของเขาเป็นภาพวาด โดยสลักไว้บนเพทายทั้งสี่ก้อน
แต่การสร้างร่องรอยไว้บนเพทายทมิฬนั้น นอกเสียจากยอดฝีมือขั้นก่อฟ้าแล้ว ก็คงมีแต่ต้องใช้เทพศาสตราในการสลักเอาไว้ โดยส่วนมากแล้วแทบจะไม่มีผู้ใดสามารถที่จะทำได้เลย
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเหนือบ่ากว่าแรงของหลงเฉิน ถึงแม้เขาจะไม่อาจสลักเข้าไปในเนื้อหิน แต่ว่าเขาก็ยังสามารถที่จะวาดได้ ขอเพียงวาดแผนผังจนเสร็จ
หลงเฉินที่มีความทรงจำของจักรพรรดิโอสถ เขาจึงรู้วิธีการใช้น้ำยาประหลาดอย่างหนึ่งที่ถือว่ามีคุณสมบัติพิศดารมากที่สุดชนิดหนึ่ง น้ำยานี้เรียกกันว่า——กร่อนสลายศิลา
สิ่งนี้เมื่อในอดีตกาล เหล่าสำนักใหญ่ทั้งหลาย ต่างก็ใช้ในการทำศิลาจารึก เพราะการจารึกในสมัยก่อนนั้น มักจะจารึกลงบนสิ่งที่มีขนาดใหญ่โต และยิ่งมีขนาดใหญ่มากก็ยิ่งดี หลักจารึกบางชิ้นนั้นใหญ่โตกว่าพันจั้งเลยทีเดียว
ดังนั้นหากคิดที่จะจารึกตัวอักษรลงไปที่ด้านบนศิลา นอกเสียจากจะต้องใช้แรงกายอย่างหนักแล้ว ในเวลาเดียวกันก็ยังจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องมือที่มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย
ถ้าหากใช้เพียงสองสิ่งก็นับว่าแล้วไป แต่ว่าคนสร้างศิลาจารึก ไม่ได้เป็นเทพเซียน ใช่ว่าทุกคนจะมีฝีมือในการจารึกได้อย่างน่าดูชม หรือจะกล่าวอีกก็คือ การที่จะจารึกตัวอักษรนับพันนับหมื่นตัวลงไปบนแผ่นศิลา อย่างไรเสียก็ย่อมต้องมีการผิดเพี้ยนกันซักตัวอยู่แล้ว และก็จะทำให้แผ่นศิลานั้นสูญเปล่าไปทั้งชิ้น เพราะไม่มีผู้ใดที่จะยอมปล่อยให้จารึกที่มีตัวอักษรที่ผิดพลาดถูกส่งต่อกันต่อไป เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงก็คงจะกลายเป็นเรื่องขำขันของคนรุ่นหลังไป
ดังนั้นการจารึกในสมัยโบราณนั้น จะทำการจารึกใส่แผ่นไม้ไม่ใหญ่เกินและไม่เล็กจนเกินไปก่อน จากนั้นก็จะนำแผ่นไม้ที่มีตัวอักษรจารึกอยู่นั้นค่อยๆวาดลงไปบนแผ่นศิลา หลังจากที่ได้ตรวจสอบว่าไร้ข้อผิดพลาดใดๆแล้ว ก็จะทำการรราดน้ำยากร่อนสลายศิลาลงไปเพื่อสลักหินศิลานั้น
น้ำยากร่อนสลายศิลาถือได้ว่ามีความพิสดารเป็นอย่างยิ่ง ฤทธิ์การกัดกร่อนของมันเรียกได้ว่าสามารถคงอยู่ได้นานระยะหนึ่ง ซึ่งเพียงพอที่จะสามารถทำให้ก้อนศิลาเกิดริ้วรอยกร่อนเป็นร่องลึกขึ้น และเมื่อตัวยาออกฤทธิ์จนหมด ก็จะสลายหายไป
ที่น่าประหลาดที่สุดก็คือ น้ำยากร่อนสลายศิลาจะกัดกร่อนจนคล้ายกับการสลัก และยังแฝงกลิ่นอายที่สลับซับซ้อนเอาไว้ด้วย
ในช่วงเวลาที่หลงเฉินกำลังวาดสลักลงไปนั้น เขาได้เบิกพลังวงแหวนแห่งเทพขึ้นมาด้วย เพื่อทำให้สภาวะของตนเองเปี่ยมไปด้วยพลัง และก็เพื่อที่จะทำให้เขาสัมผัสได้ถึงพลังของเคล็ดวิชากายานวดารา ดังนั้นตัวอักษรที่เขาสลักไว้จึงมีพลังมหาศาลแฝงอยู่
ในที่สุด ‘สมบัติเก่าแก่’ ชิ้นหนึ่ง ก็ถูกสร้างขึ้นมาได้สำเร็จ แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องทำการขัดเกลาอีก ทั้งยังจำเป็นที่จะต้องใช้น้ำยาเพื่อทำให้ดูเก่าอีกด้วย ซึ่งการทำเช่นนี้ย่อมทำให้ไม่สามารถมองออกว่าเป็นร่องรอยที่เกิดขึ้นมาใหม่อย่างแน่นอน
เพื่อแผนการนี้ หลงเฉินต้องทุ่มเทแรงใจไปไม่น้อยเลยทีเดียว เมื่อสร้างชิ้นแรกสำเร็จแล้ว หลงเฉินก็ออกไปพบผู้อาวุโสซุนในทันที เพื่อให้ปลาฮุบเหยื่อ
แต่หลงเฉินคิดไม่ถึงว่านี่จะทำให้ผู้อาวุโสซุนมีปฏิกิริยาตอบสนองได้มากถึงเพียงนี้ เขาสลักเพทายทมิฬสำเร็จสมบูรณ์ได้เพียงแค่สองชิ้นเท่านั้น ผู้อาวุโสซุนก็ย้อนกลับมาเสียแล้ว
ในวันนั้นที่หลงเฉินนำเพทายทมิฬชิ้นที่สามออกมา ก็เป็นชิ้นที่ทำเสร็จเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
เดิมที ช่วงเวลาสองวันที่ผ่านมาหลงเฉินสมควรที่จะต้องวาดแผนผังลงไปบนเพทานทมิฬชิ้นที่สามแล้ว แต่ทว่าเขาเกิดเปลี่ยนความคิดขึ้นมา
“เพราะด้านบนนั้น เดิมทีก็สมควรที่จะไม่มีอะไรอยู่แล้ว” หลงเฉินส่ายหน้าแล้วกล่าว
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ? ” ผู้อาวุโสซุนกัดฟันกรอด กำหมัดแน่น
“ข้าจะบอกว่า เดิมทีส่วนบนนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้มีอะไรอยู่เลย” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเฉยชา
“ผายลมเถอะ! เจ้าบอกข้าเองว่า เคล็ดวิชาถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ขอเพียงข้าเสาะหาสิ่งที่เจ้าต้องการมาให้ เจ้าก็จะนำส่วนตรงกลาง มอบให้แก่ข้า หรือเจ้าลืมเลือนที่เจ้าสาบานไว้ไปแล้ว ? ” ผู้อาวุโสซุนกล่าวขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะแก่จนเลอะเลือนไปแล้วนะ ครั้งที่แล้ว ที่ข้าบอกไปก็คือ เคล็ดวิชานี้จะแบ่งเป็นส่วนบน กลาง ล่างสามส่วน
แต่ข้าไม่เคยบอกว่าจะให้เคล็ดวิชาส่วนกลางแก่เจ้าเลย ข้าลั่นคำสาบานเอาไว้ ว่าจะมอบสิ่งของที่อยู่ในมือของข้าให้แก่เจ้า นี่ก็มิได้ผิด สิ่งที่เจ้าถืออยู่นั่นน่ะ ก็คือสิ่งของที่อยู่ในมือของข้าวันนั้นไง” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ
ในมือหลงเฉินเมื่อในเวลานั้นกำเพทายทมิฬชิ้นที่เป็นส่วนตรงกลางอยู่อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าเป็นผู้อาวุโสซุนนั้นเข้าใจคลาดเคลื่อนไป ว่าสิ่งนั้นคือเคล็ดวิชาส่วนกลาง
ในเวลานี้ ผู้อาวุโสซุนทราบแล้วว่า ตนเองติดกับเข้าอีกแล้ว ความอดทนที่เคยมีสูญสลายไปทันที เคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วราวภาพมายา หมายที่จะเข้าไปจับตัวหลงเฉินเอาไว้
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ไอ้ตัวบัดซบ เจ้าตายเสียเถอะ”
หลงเฉินเตรียมการตั้งรับไว้แล้ว เนื่องจากสังเกตเห็นตั้งแต่แรกว่าผู้อาวุโสซุนมีท่าทีที่ไม่ปกติ เขากระตุ้นวงแหวนแห่งเทพในทันที ในเวลาเดียวกันแววตาทั้งสองข้างก็ทอประกายดวงดาวเจิดจ้าขึ้น ระเบิดพลังสภาวะออกมาทั่วร่าง
“ตูม”
หลงเฉินใช้ดาบทลายมารในมือฟันเข้าใส่ผู้อาวุโสซุนที่กำลังตรงเข้ามาอย่างรุนแรง มือของผู้อาวุโสซุนปะทะกับดาบทลายมารของหลงเฉิน เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง พื้นดินของหุบเขาขนาดเล็กใต้ฝ่าเท้าของทั้งสองก็เกิดรอยแตกขึ้นมาทันที
แรงปะทะนั้นทำให้ ทั้งหลงเฉินและผู้อาวุโสซุน กระเด็นไปข้างหลัง เห็นได้ชัดว่าการโจมตีครั้งนี้ไม่มีฝ่ายใดที่ได้เปรียบไปกว่ากัน
หลงเฉินตื่นตระหนกระคนดีใจเมื่อพบว่า ถึงแม้พลังของเขาจะไม่ได้มีการพัฒนาขึ้นมา แต่หลังจากที่ได้ผ่านประสบการณ์การต่อสู้ครั้งที่แล้ว ทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาอีกหลายส่วน
“ฟึ่บ”
หลงเฉินตวัดวาดดาบทลายมาร จนสภาวะอากาศเกิดการสั่นไหว ใช้ปลายดาบชี้ไปทางผู้อาวุโสซุนแล้วกล่าว “เจ้ายอมแพ้เสียเถอะ ข้อแรก เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ สู้กันก็มีแต่จะเสียแรงเปล่า
ข้อที่สอง หากสู้กันต่อไป ก็จะเป็นการชักนำเหล่าผู้อาวุโสของหมู่ตึกมาที่นี่ เมื่อนั้นเจ้าก็จะไม่มีโอกาสอะไรอีกแล้ว”
เวลานี้ไม่มีความช่วยเหลือจากฉู่เหยา พลังลมปราณที่มีอยู่อย่างจำกัดของหลงเฉิน ก็คงจะไม่เพียงพอที่จะยื้อเวลาการต่อสู้เอาไว้ให้นานได้
แต่ทว่าต่อให้เขาพ่ายให้แก่ผู้อาวุโสซุน เขาเองก็ยังคงมีชีวิตอยู่ มีหรือที่จะหนีไม่รอด ? และสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้ห่างไกลจากหมู่ตึกมากนัก ดังนั้นต่อให้หนีไม่รอด ถ้าหากคนทั้งคู่ระเบิดพลังทั้งหมดออกมา ก็ย่อมต้องกลายเป็นจุดสังเกต ที่คนในหมู่ตึกจะมองเห็นได้
ในท้ายที่สุด หลงเฉินก็จะยังคงปลอดภัยอยู่ เรื่องนี้เมื่อถูกแจ้งแก่เจ้าสำนัก และเมื่อถูกสืบสวน ทุกคนก็จะได้ทราบว่าต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดมาจากที่ผู้อาวุโสซุนเกิดความโลภต่อเคล็ดวิชาของเขา และผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นก็คือ ผู้อาวุโสซุนถูกขับไล่ออกจากหมู่ตึก อย่างไม่ต้องสงสัย
ต่อให้หลงเฉินจะถูกกล่าวหาว่าวางเป็นผู้เริ่มก่อน เพราะเขาวางแผนล่อผู้อาวุโสซุนให้ติดกับดักเสมือนวางเหยื่อล่อปลา แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นปลาที่ยินดีจะติดเบ็ดเอง ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าสำนักกับถู่ฟาง ก็เห็นได้ชัดว่าเข้าข้างหลงเฉิน แน่นอนว่า สุดท้ายแล้วย่อมไม่เกิดผลลัพธ์อะไรที่ดีต่อผู้อาวุโสซุนเลย
“หลงเฉิน เจ้าต้องการให้ข้าทำอย่างไร ถึงจะยอมมอบเคล็ดวิชาครบชุดให้แก่ข้าได้ ? ” ผู้อาวุโสซุนพยายามที่จะควบคุมตนเองให้สงบลงแล้วกล่าวออกมา
“อ๊ะ รายการยาได้เตรียมเอาไว้ให้แก่เจ้าพร้อมแล้ว ขอเพียงเจ้าไปดำเนินการมาตามนั้นก็ได้แล้วละ” หลงเฉินกล่าวจบ ก็ได้สะบัดมืออก ส่งกระดาษแผ่นหนึ่ง ลอยไปหาผู้อาวุโสซุน
“พรวด”
เมื่อผู้อาวุโสซุนเห็นกระดาษแผ่นนั้นแล้ว ก็ถึงกับกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง นี่เป็นรายการยาใบที่สามที่เขาได้รับมาแล้ว
“ควับ”
ผู้อาวุโสซุนคว้ารายการยาแผ่นนั้นเอาไว้ แล้วบดขยี้จนเป็นชิ้นเล็กๆ ไม่แม้แต่จะมองไปที่รายชื่อยาที่เขียนเอาไว้
“เจ้าคิดว่าข้าผู้อาวุโสเป็นตัวโง่งมหรืออย่างไร ? ถึงกับจะติดกับเจ้าได้ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างนั้นหรือ ? ” ผู้อาวุโสซุนกล่าวขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด คล้ายกับราชสีห์คลั่ง
“อายุอานามก็ใช่ว่าจะน้อย ใยจึงมีโทสะมากถึงเพียงนี้ ใจเย็นหน่อย เจ้าต้องสงบสติอารมณ์เอาไว้! ครั้งนี้ข้าขอสาบาน ถ้าหากเจ้าหาวัตถุดิบตามรายการนี้ รวบรวมมาให้ข้าจนครบได้แล้ว ข้าขอรับรองว่าจะมอบเคล็ดวิชาที่สมบูรณ์ทั้งหมดให้แก่เจ้า จำเอาไว้ละ เป็นเคล็ดวิชาที่สมบูรณ์เลยทีเดียวนะ” หลงเฉินกล่าวจบ ในมือก็ได้มีกระดาษเพิ่มขึ้นมาอีกแผ่น เขาส่งมันลอยไปหาผู้อาวุโสซุน
คล้ายกับหลงเฉินทราบตั้งแต่แรกแล้วว่า ว่าผู้อาวุโสซุนโกรธจนจะเป็นบ้า ลายมือของเขาที่เขียนอยู่บนกระดาษแผ่นที่สอง ก็เหมือนกับแผ่นแรกไม่ต่างอะไรไปจากกัน
ผู้อาวุโสซุนสูดลมหายใจเข้าลึกหลายครั้ง พยายามข่มกลั้นความไหวหวั่นที่ตนได้ฉีกกระดาษจนกลายเป็นชิ้นๆไป ใช้ทั้งสองมืออันสั่นเทาต่อชิ้นกระดาษนั้นเข้าด้วยกัน
เมื่อได้ยื่นมือทั้งสองข้างที่จับกระดาษไว้ ไม่ใช่เป็นการแสดงท่าทีที่เคารพนับถือต่อหลงเฉิน เพียงแต่เป็นเพราะมือไม้ที่สั่นเทานั้นรุนแรงจนเกินไป การถือด้วยมือเพียงแค่ข้างเดียว ไม่สามารถอ่านสิ่งที่เขียนเอาไว้ให้ชัดเจนได้
“ตัวบัดซบ เจ้าฆ่าข้าให้ตายเสียเถอะ! ผลกิเลนนั้นเล่าลือกันว่าเป็นดั่งมรดกจากสมัยโบราณกาล หลังจากที่ทั้งโลกหล้าเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สิ่งนั้นก็คงจะหายสาปสูญไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะ
สมบัติเช่นนี้ อย่าว่าแต่หมู่ตึกพลิกสวรรค์เลย แม้แต่สาขาหลัก ก็ย่อมไม่มีอย่างแน่นอน เจ้าจงใจกลั่นแกล้งข้า!” ผู้อาวุโสซุนกล่าวขึ้นเสียงดังด้วยโทสะ
“เป็นเช่นนี้เอง” หลงเฉินอดที่จะรู้สึกผิดหวังไม่ได้ ตัวยาหลักของดารากักวายุอย่างผลกิเลน แท้จริงแล้วหายากถึงเพียงนี้
“เช่นนั้น ผลกิเลนถือว่าไม่จำเป็นแล้ว เจ้าไปรวบรวมวัตถุดิบทั้งหกอย่างที่เหลืออยู่มาให้ครบก็พอแล้ว”
“สิ่งเหล่านี้ข้าหาซื้อไม่ไหวหรอก ข้าไร้ซึ่งเงินทองแล้ว” ผู้อาวุโสซุนกล่าวออกมาอย่างเยียบเย็น
“เป็นเช่นนี้เอง เช่นนั้นข้าก็ขออภัยที่ต้องบอกเจ้าว่า การแลกเปลี่ยนของพวกเรามาถึงจุดสิ้นสุดแล้วล่ะ” หลงเฉินส่ายหน้าไปมา ทอสีหน้าเสียดายแล้วกล่าวออกมา
“เจ้า!……” ผู้อาวุโสซุนหน้าดำคล้ำแค้นเคือง
“อย่าได้ทำเหมือนกับว่าเจ้าขาดทุนไปมากมายเพียงนั้น ข้าหลงเฉินขอสาบานต่อฟ้า ว่าจะมอบเคล็ดวิชาของวิทยายุทธ์ของตัวข้าเองให้แก่เจ้า
บันทึกเคล็ดวิชาที่อยู่บนเพทายทมิฬ แบ่งเป็นเคล็ดวิชาสามส่วน แต่เพทายนั้นแท้จริงมีด้วยกันทั้งหมดสี่ชิ้น และไม่มีซักชิ้นที่ไร้ค่า แต่ข้าเองก็พึ่งคิดได้ว่า คงจะเป็นเพราะก้อนศิลาที่เจ้าถืออยู่ชิ้นนั้น เพียงแค่สลักเพียงแต่อักษรโบราณเอาไว้เท่านั้น
และวาสานาของเจ้าก็ใช่ว่าดี วันนั้นข้าเพียงแต่นำออกมาเพียงแค่ชิ้นเดียว และเป็นชิ้นที่ไม่มีภาพวาด เจ้ากลับจ้องแต่จะต้องการชิ้นนั้นให้ได้ ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน
แต่ว่าถึงอย่างนั้น เจ้าก็ไม่ได้เสียเปรียบ ในเมื่อเจ้าได้รับเคล็ดวิชาโดยส่วนใหญ่ไปแล้ว บวกรวมเข้ากับประสบการณ์ที่สะสมมาอย่างเนิ่นนาน ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งอาจจะสามารถเข้าใจได้
หากหนึ่งวันไม่ได้ ก็หนึ่งปีแล้วกัน หากหนึ่งปีไม่ได้อีก ก็ใช้ทั้งชีวิตไปเลย เมื่อเจ้าไม่สามารถเข้าใจได้ ก็สามารถมอบให้ลูกหลานของเจ้าไปทำความเข้าใจได้ อยู่ไปอยู่มา ก็คิดซะว่าเป็นการเล่นกับเหล่าทารกน้อยไปก็แล้วกัน” หลงเฉินกล่าวอธิบายออกมายืดยาว
เมื่อได้ฟังวาจาที่เปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยัน ใบหน้าของผู้อาวุโสซุนก็เขียวคล้ำขึ้นมาอีก จากนั้นก็ก้มลงมอกระดาษที่อยู่ในมือ สูดลมหายใจเข้าครั้งหนึ่งแล้วกล่าว :
“เจ้าสาบานแล้วนะว่าจะมอบเคล็ดวิชาทั้งหมดให้แก่ข้า โดยที่ไม่ปกปิดซ่อนเร้นแม้แต่น้อย”
“ข้าสาบาน” หลงเฉินชูนิ้วทั้งสามนิ้วไปบนท้องฟ้า ทอสีหน้าเคร่งเครียดแล้วกล่าวออกมา
“ได้ ข้าจะเชื่อเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าหากข้ารู้ว่าเจ้าหลอกข้าอีกครั้ง ต่อให้ข้าต้องตาย ก็จะขอลากเจ้าลงนรกไปด้วยไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม” ผู้อาวุโสซุนกัดฟันแล้วกล่าว
“วางใจเถอะ ข้าไม่ยอมแลกทุกอย่างกับคนโง่งมอย่างเจ้าเช่นนี้หรอก ไม่! อย่างแน่นอน” หลงเฉินกล่าวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ในอีกหลายวันต่อมา หลงเฉินก็เก็บตัวทำงานอย่างขะมักขะเม้นจริงจัง เพราะเขาจะต้องสลักคล็ดวิชาที่เหลืออยู่ทั้งหมดลงไปบนเพทายทมิฬชิ้นที่สี่ เพื่อให้ได้ศิลาสลักเคล็ดวิชาที่สมบูรณ์นำไปแลกเปลี่ยนกับผู้อาวุโสซุน
ทว่าปฏิกิริยาความเคลื่อนไหวของผู้อาวุโสซุนในครั้งนี้กลับช้าไปบ้าง จนกระทั่งสิบวันผ่านไป จึงค่อยออกมาตามหาหลงเฉิน
.