เจ้าของเงาร่างนั้นไม่ใช่ใครอื่นไกลแท้จริงแล้วก็คือโจวเย่าหยางที่เคยถูกหลงเฉินทุบตีจนกลายเป็นเนื้อบดนั่นเอง หลงเฉินแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาสมกับเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ดวงแข็งเสียเหลือเกิน
เมื่อครั้งนั้นถูกจัดการจนลมหายใจแทบจะโรยรินแต่บัดนี้กลับไม่มีร่องรอยบาดแผลหลงเหลืออยู่ ดูเหมือนคนที่ไม่ได้เป็นอันใดมาก่อน บุตรชายแห่งตระกูลโจวผู้นี้คงจะทุ่มกำลังทรัพย์ไปไม่น้อยเลยทีเดียว
โจวเย่าหยางถูกทุบตีจนพ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบ กระดูกทั่วทั้งร่างนั้นไม่มีจุดใดที่เรียกว่าสมบูรณ์ แต่ด้วยทรัพย์สินเงินทองที่สูญเสียไปเป็นจำนวนมหาศาลจึงสามารถดึงเขากลับออกมาจากประตูนรกได้
จากเหตุการณ์ครั้งนั้นตระกูลโจวก็แทบจะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เพราะทรัพย์สินที่ร่อยหลอลงไปอย่างมากมาย วันนี้ที่โจวเย่าหยางมาเยือนถึงชุมนุมผู้หลอมโอสถก็เพื่อมาร้องขอโอสถเพาะฟื้นพลังอีกจำนวนหนึ่ง
ร่างกายของเขาในตอนนี้ยังถือว่าอ่อนแออยู่มาก อีกทั้งยามที่หลับใหลในทุกค่ำคืนก็มักจะเกิดอาการฝันร้ายอยู่ร่ำไปคิดเป็นตุเป็นตะว่าพบร่างภูตผีอยู่นับไม่ถ้วน จนตกใจตื่นและไม่กล้าที่จะดับตะเกียงไฟเลยแม้สักคืนเดียว
และในยามรุ่งสางของทุกวัน เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังแห่งจิตวิญญาณที่เป็นดั่งเข็มนับหมื่นเล่มทิ่มแทงเข้าที่ร่างกายจนเกิดความเจ็บปวดรวดร้าว เจ็บเสียจนเขาแทบจะล้มกลิ้งลงไปกองอยู่กับพื้น
แต่ทว่าผู้หลอมโอสถของชุมนุมผู้หลอมโอสถนั้นได้ตรวจสอบร่างกายของเขาอยู่หลายครั้ง ต่างก็บอกว่าไม่ได้มีปัญหาอันใดแล้ว เพียงแต่ยังอ่อนแออยู่ก็เท่านั้น จึงให้เขาเข้ามาตรวจอาการอยู่ต่อเนื่องเพื่อคิดหาวิธีที่จะค่อยๆ บรรเทาความรู้สึกเหล่านั้นไป
แต่โจวเหย่ายางมาที่ยังที่แห่งนี้เป็นเวลาถึงครึ่งเดือนที่แล้วก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย กลับทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นจนไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้เขายังคงรู้สึกหวาดผวาดั่งมียมทูตหมายจะเอาชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
พลังแห่งจิตวิญญาณในยามรุ่งสางก็เปลี่ยนแปลงจากความเจ็บปวดประดุจเข็มทิ่มแทงเป็นความร้อนดั่งเพลิงอันร้อนแรงสุมเข้ามาที่ร่างกายของเขาความรู้สึกนี้ทำให้เขาแทบอยากจะตายไปเสียดีกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นนี้ ร่างของโจวเหย่าหยางที่กำลังปรากฏต่อสายตาของหลงเฉินในขณะนี้นั้นมีช่างซูบผอมดุจไม้เสียบผี ใบหน้าเหลืองคล้ำราวกับศพเดินได้อย่างไรอย่างนั้น
“โจวเย่าหยาง ไม่พบกันเสียนานเข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” หลงเฉินยิ้มเยาะ ก่อนจะเดินเข้าไปกล่าวทักทายอย่างเป็นมิตร
โจวเย่าหยางที่กำลังเดินอย่างร่างที่ไร้วิญญาณอยู่นั้นก็ได้หันมาตามเสียง เมื่อพบว่าเป็นหลงเฉิน ดวงตาก็ได้เบิกกว้างขึ้นเสมือนกับได้พบเจอผีสางนางไม้ ใบหน้าขาวซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
“หลงเฉิน……เจ้า……เจ้าจะเอาอะไรกับข้าอีก?”
“ดูจากสีหน้าของเจ้าแล้วช่างทำให้ข้าลำบากใจยิ่งนัก ข้าเพียงแต่เป็นห่วงจึงได้ถามไถ่ออกไปเช่นนั้น ในยามพลบค่ำเจ้ารู้สึกเหมือนกับพบเจอภูตผีและในยามเช้าตรู่ก็รู้สึกร้อนรนดั่งมีเพลิงสุมเข้าไปถึงจิตวิญญาณใช่หรือไม่?”หลงเฉินยังคงกล่าวต่อไปด้วยใบหน้ายิ้มเยาะ
“เจ้า……เจ้า……ทราบได้อย่างไรกัน?หรือว่าที่แท้……เป็นเจ้า?” แววตาทั้งสองข้างของโจวเย่าหยางทอประกายขึ้นมา ความแตกตื่นกำลังปะทุขึ้นมาภายในจิตใจ
ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าหลังจากที่สลบไปแล้ว หลงเฉินก็ได้ยัดโอสถหนึ่งเม็ดเข้าไปในปากของเขา
มีผู้หลอมโอสถได้กล่าวไว้ว่าโอสถเม็ดนั้นสามารถช่วยรักษาอาการบอบช้ำภายในเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขารอดพ้นจากความตายมาได้อย่างทันท่วงที
แต่ว่าโจวเย่าหยางกลับรู้สึกว่ามบางอย่างที่ถูกซ่อนเร้นเอาไว้อยู่ จากวาจาของหลงเฉินเมื่อครู่นี้ทำให้เขานึกถึงโอสถเม็ดนั้นขึ้นมาได้ทันทีแล้วเขาก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า
“หลงเฉิน จะต้องเป็นฝีมือของเจ้าเป็นแน่แท้ข้าขอสาปแช่งเจ้า” แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นจนไม่อาจหยุดยั้งได้
เมื่อหวนนึกถึงความทรมานที่เขาต้องพานพบในช่วงหลายวันมานี้ก็อดกลั้นความโกรธแค้นต่อหลงเฉินเอาไว้ไม่อยู่โจวเย่าหยางร้องตะโกนเสียงดังจนก้องกังวานไปทั่วทั้งบริเวณแห่งนั้น
“ผัวะ!”
แล้วจู่จู่ก็ได้มีฝ่ามือข้างหนึ่งตบเข้าไปยังใบหน้าของเขา แม้ว่าเรี่ยวแรงจะไม่ได้มีมากมายนักจนหมายจะเอาชีวิต แต่ก็มากพอที่จะทำให้ร่างนั้นลอยกระเด็นออกไปไกล
“สาปแช่ง?ข้าจะกล้ารับไว้ได้อย่างไรกัน? ต่อให้สาปแช่งข้าก็ยังไม่อาจตามเจ้าได้ทันหนึ่งในร้อยเสียด้วยซ้ำไป หลายปีมานี้เจ้าได้ลงมืออย่างโหดเ**้ยมต่อข้ามากเพียงใดกัน?”
หลงเฉินสะบัดมือไปมาแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกรงว่าแม้แต่ตัวของเจ้าเองก็คงจำไม่ได้โผล่หัวออกมาข้างนอกเช่นนี้จะช้าหรือเร็วก็ต้องตอบแทนกลับคืนไปอยู่ดี ขณะนี้ข้านั้นเหมือนได้กลับมาเกิดใหม่ หากไม่ตอบแทนเจ้าอย่างสาสมก็คงไม่เหมาะเสียเท่าใด?”
บนใบหน้าของโจวเย่าหยางได้ปรากฏรอยฝ่ามืออีกครั้ง แม้หลายวันมานี้เขาได้เก็บตัวเพื่อฟื้นฟูร่างกาย แต่ก็ไม่ได้ละเลยจากการจับตาดูหลงเฉินเลยแม้แต่น้อย
เมื่อหลายวันก่อนหลงเฉินได้ก่อปัญหากับองค์รักษ์ขององค์ชายแห่งจักรวรรดิต้าเซี่ยจนกลายเป็นเรื่องราวที่เล่าลือกันไปทั่วทั้งจักรวรรดิ นั่นก็เพราะว่าชายผู้นั้นเป็นถึงยอดฝีมือที่มีพลังระดับขั้นก่อโลหิตชั้นสูงที่ไม่สมควรไปต่อกรด้วยผู้หนึ่ง
ด้วยพลังในการฝึกยุทธ์ในตอนนี้ของโจวเย่าหยางย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลงเฉินเช่นกัน ส่วนในด้านสถานะของหลงเฉินที่เป็นถึงผู้หลอมโอสถ ยิ่งไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถนำตัวเองไปเปรียบเทียบได้เลย
เมื่อนึกถึงหมอโอสถผู้ที่รักษาเขาก็ยิ่งทำให้อดเกิดความโกรธแค้นขึ้นมาไม่ได้ ทันทีที่ผู้หลอมโอสถผู้นั้นได้ทราบว่าเป็นการกระทำของหลงเฉินจึงไม่พยายามที่จะรักษาเขาด้วยวิธีที่ดีที่สุด ปล่อยให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างนาน
แต่ทว่าที่โจวเย่าหยางได้กล่าวโทษหมอโอสถผู้นั้นผิดไปอย่างมหันต์ ด้วยระดับการควบคุมการใช้โอสถระดับหลงเฉินนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกข์ทรมานถึงขั้นนั้นแล้ว และที่สำคัญนอกจากปรมาจารย์หวินฉีแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถตรวจพบได้
เห็นได้ชัดว่าขุนนางหมานฮวงยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเชิญปรมาจารย์หวินฉีมาทำการรักษาได้อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่เหล่าองค์ชายเองก็ยังไม่อาจที่จะเชื้อเชิญได้
“หลงเฉิน เจ้าต้องการสิ่งใดจึงจะยอมปล่อยข้าไปได้?” โจวเย่าหยางกัดฟันกรอด
“โจวเย่าหยางเหตุใดเจ้าถึงไม่มีความอดทนเอาเสียเลยข้าที่ถูกเจ้าทรมานมานานหลายปียังไม่เคยกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมาเสียด้วยซ้ำ ขณะนี้ถึงคราวที่ข้าจะเอาคืน เจ้าจะยอมแพ้ไปได้อย่างไงกัน ช่างไม่มีความมั่นใจเสียเลย ยังไงเสียการละเล่นต้องเป็นไปตามกฎกติกาอยู่แล้ว” หลงเฉินกล่าวออกมาอย่างเย็นชา กล่าวจบก็ได้หันกายหมายจากไป
“หลงเฉินเจ้าจะไม่ปล่อยข้าไปจริงหรือ?”
“เจ้าคิดที่จะหลุดพ้นจากความทรมานนั้นอย่างง่ายดายอย่างนั้นหรือยกกระบี่ในมือของเจ้าพาดไปที่คอเสียเถิด ขอเพียงทนความเจ็บปวดเพียงครู่หนึ่ง จากนั้นเจ้าก็จะพบแต่ความสุขสบายแล้ว ใยต้องมาขอร้องข้ากัน”
โจวเย่าหยางเกิดโทสะขึ้นมาท่วมท้นจนตัวสั่นระริก การที่มียมทูตติดตามเพื่อหมายชีวิต ความรุ่มร้อนที่เผาผลาญไปถึงจิตวิญญาณ เขาย่อมเคยคิดที่จะใช้ความตายเพื่อเป็นการหลุดพ้นจากทุกข์ทรมานเช่นนี้อย่างแน่นอน
แต่เมื่อเวลาได้ล่วงเลยผ่านไปเขาก็เป็นเหมือนกับคนธรรมดาสามัญที่ยังต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปพยายามที่จะไขว้คว้าการมีชีวิตที่ไร้ซึ่งความเจ็บปวดอย่างมีหวัง
อยากมีชีวิตแต่ก็ทรมานเสียเหลือเกิน จะตายก็ไม่อาจที่กระทำได้ลงโจวเย่าหยางพยายามทำลายวงจรอุบาตนี้ให้หายไปโดยเร็วเสียที แต่ก็ไม่มีความหาญกล้าที่เพียงพอ การมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นนี้ก็รังแต่จะทำให้เขากลายเป็นบ้าเร็วขึ้นเท่านั้น
“ครืน”
โจวเย่าหยางกัดฟันแล้วคุกเข่าลงกับพื้น
“หลงเฉินข้าขอร้อง โปรดปล่อยข้าไปเถิด ข้าขอยอมแพ้แล้ว”
เมื่อหลงเฉินเหลือบมองไปยังโจวเย่าหยางที่กำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นหากว่าด้วยความเป็นจริงแล้วความแค้นของหลงเฉินนั้นไม่ได้ลึกล้ำมากมาย เขานั้นเหนือกว่ากับโจวเย่าหยางหลายเท่าตัว ราวกับเห็นแมลงวี่ตัวหนึ่งก็เท่านั้น เขาไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจเสียเท่าใด
ก่อนนี้หลงเฉินนั้นถูกรังแกจากผู้อื่นมามากย่อมต้องการตอบแทนด้วยความทรมานอย่างสาสมแต่เมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณอันน่าสลดของโจวเย่าหยางในตอนนี้ก็ทำให้ความเกลียดชังภายในใจของหลงเฉินถูกลดทอนลงไปบ้าง
ช่างประจวบเหมาะอะไรได้ถึงเพียงนี้ หลงเฉินนั้นต้องการทราบเรื่องราวบางอย่างจากปากของโจวเย่าหยาง พลันก็ลูบมือไปที่แหวนมิติแล้วใช้พลังแห่งจิตวิญญาณของตัวเองเพ่งไปที่กลางฝ่ามือทั้งสองข้างของโจวเย่าหยาง แววตาคู่คมนั้นเผยให้เห็นถึงความอาฆาตแค้นขึ้นส่วนหนึ่ง
หลงเฉินครุ่นคิดบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมุมปากปรากฏรอยยิ้มอันแสนเย็นชาขึ้น บัดนี้ที่แหวนมิติ ได้ปรากฏโอสถหนึ่งเม็ดอยู่ข้างๆหลงเฉินโยนมันให้แก่โจวเย่าหยางแล้วกล่าวว่า
“โอสถเม็ดนี้ขอมอบให้เจ้า หลังจากนี้เป็นต้นไปเจ้าอย่าบังอาจตีตัวเป็นศัตรูกับข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าต้องเสียใจไปชั่วชีวิต”หลังจากที่ส่งโอสถเม็ดนั้นให้แก่โจวเย่าหยางหลงเฉินก็ได้หันหลังแล้วเดินจากไปทันที
เมื่อโจวเย่าหยางรับโอสถมาและพบว่าหลงเฉินได้เดินจากไปไกลจนลับตาแล้ว เขาก็ได้พยุงตัวลุกขึ้นยืนแล้วจ้องมองไปยังทางเดินที่หลงเฉินเพิ่งจะจากไปด้วยดวงตาที่หรี่เล็กลงทั้งสองข้าง
“หลงเฉิน หากไม่ให้เจ้าตายอย่างไร้ที่ฝังกลบอย่าได้เรียกข้าว่าโจวเย่าหยางอีกเลย”
เขาไม่ได้กังวลใจแม้แต่น้อยว่าหลงเฉินนั้นมอบโอสถพิษให้ นั่นเป็นเพราะว่าในบริเวณโดยรอบนั้นมีผู้คนไม่น้อยที่พบเห็นเขาและหลงเฉินถ้าหากว่าโอสถเม็ดทำให้เขาสิ้นชีพไป หลงเฉินย่อมไม่อาจที่จะสลัดหลุดจากโทษอันร้ายแรงได้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้เขาจึงวางใจได้ว่าโอสถเม็ดนี้นั้นสามารถรักษาเขาได้อย่างแน่นอน
เช้าตรู่ของวันที่สองโจวเย่าหยางนั้นตื่นมาด้วยความแปลกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่านี้มาได้อย่างไรกันเขาหวนนึกถึงตอนที่ใช้โอสถเม็ดนั้นแล้วนอนหลับไปอย่างไม่หวั่นกลัวต่อฝันร้ายใดใดจวบจนรุ่งเช้าก็ไม่รู้สึกถึงเพลิงเผาผลาญที่จิตวิญญาณอีกแล้ว
โจวเย่าหยางยิ้มเยาะขึ้นมาภายในใจ: หลงเฉิน เจ้ารอข้าก่อนเถิดเมื่อใดที่ข้ากลับมาแข็งแกร่งดังเดิมจะหมายเพื่อเอาชีวิตเจ้าในทันที เมื่อถึงเวลานั้นผู้ที่ต้องเสียใจก็คือเจ้าเอง
หลงเฉินแสยะยิ้มออกมาเมื่อตรวจสอบภาวะหลังจากที่โจวเย่าหยางกินโอสถเม็ดนั้นไปแล้ว: ช่างไม่เห็นความสำคัญของการมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขเอาเสียเลย เดิมทีข้านั้นคิดจะไว้ชีวิตเจ้าอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่เจ้ากลับอยากหาที่ตายเสียเอง
“พี่หลง?”
ในระหว่างที่หลงเฉินกำลังเดินอยู่ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงเรียกนามของเขาขึ้นมา
เมื่อหลงเฉินหันกลับไปมองก็ได้พบเจ้าอ้วนยืนอยู่จากความช่วยเหลือของหลงเฉินทำให้เจ้าอ้วนสามารถเข้าสู่พลังขั้นก่อรวมระดับที่สามได้แล้ว เจ้าอ้วนในตอนนี้เริ่มฝึกยุทธ์ได้แล้วจึงทำให้ร่างกายที่ใหญ่โตอยู่แล้วนั้น กลับใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“เจ้าอ้วน ยอดเยี่ยมสามารถเข้าถึงพลังขั้นก่อรวมระดับที่สามได้แล้ว” หลงเฉินยิ้มร่าพร้อมกับกล่าวชื่นชม
“เหอะเหอะ เป็นเพราะได้พึ่งพาบารมีของพี่หลง”เจ้าอ้วนกล่าวออกมา “พี่หลง ข้ากำลังจะไปเยี่ยมเยือนท่านที่จวนอยู่พอดีเลย”
“มีสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
“เปล่าเลย ผู้น้องได้ทะลวงเข้าสู่ระดับที่สามแล้วจึงเป็นเรื่องที่น่ายินดี ซือเฟิงยังเลี้ยงสุรา แล้วเหตุใดข้าจะกระทำเช่นเดียวกันไม่ได้?” เจ้าอ้วนกล่าว
“ใช่ว่าผู้ใดก็จะสามารถขึ้นสู่ระดับพลังขั้นก่อโลหิตได้ เจ้าเพิ่งจะอยู่ระดับที่สามเท่านั้น ถึงกับเป็นเรื่องราวที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” หลงเฉินกล่าวออกมาอย่างอดที่จะขำขันไม่ได้
“แค่กแค่กไม่ใช่เช่นนั้น ข้าไม่อาจที่จะฝึกยุทธ์ได้มาก่อน เมื่อมาถึงจุดนี้ย่อมถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอยู่แล้ว แน่นอนว่าอีกไม่นานย่อมต้องไม่แพ้ซือเฟิงเช่นเดียวกัน” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ย่อมได้ เมื่อมีคนเลี้ยงสุรา ข้าย่อมไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอนไปกันเถิด”
“เยี่ยมเลย ร้านสุรานั้น ข้าได้จัดเตรียมเอาไว้อย่างดีแล้ว จะขาดก็แค่ท่านคนเดียว”
เหลาสุราที่เจ้าอ้วนได้ตระเตรียมไว้นั้นตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจักรวรรดิ แม้ว่าจะมีชื่อเสียงไม่เทียบเท่ากับเหลาจวียิ่งโหลวแต่ก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกันมากมายเท่าใดนัก
เมื่อหลงเฉินมาถึงก็พบว่าซือเฟิง เจ้าลิงผอม และพวกพ้องต่างก็มากันครบแล้ว อย่างที่เจ้าอ้วนได้บอกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
“ฮาฮา ในที่สุดพี่หลงของพวกเจ้าก็มาถึงแล้ว”
หลงเฉินหัวเราะออกมาพร้อมกับทักทายเหล่าพวกพ้อง จากนั้นก็ได้นั่งลง ไม่นานนักสุราและอาหารก็ได้ถูกวางจนเต็มโต๊ะ
“วันนี้พวกเรามาเพื่อที่จะเฉลิมฉลองให้แก่ข้าที่ได้เข้าสู่ขั้นก่อรวมระดับที่สาม เริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์อย่างแท้จริงนี่ถือเป็นการเบิกแสงสว่างให้เฉิดฉายมากยิ่งขึ้นไปอีก จอกแรกนี้จึงขอมอบให้แก่พี่หลง”
เหล่าผู้คนที่นั่งรายล้อมอยู่รอบโต๊ะนั้นต่างก็ส่งเสียงสรวลเสเฮฮาออกมาตามกันต่างก็เป็นเพราะหลงเฉินที่พลิกชะตาชีวิตให้กับพวกเขาเหล่านั้นพวกเขาจึงยกให้หลงเฉินเป็นผู้มีพระคุณอย่างสูงสุดในชีวิตเลยก็ว่าได้
หลงเฉินเองก็ไม่อาจเกรงใจในการตอบแทนเช่นนี้ได้จึงยกสุราชามใหญ่ขึ้นแล้วกระดกเข้าปากไป
พวกเขาต่างก็ผ่านเรื่องราวมากมายร่วมกันมามาก สนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี จึงไม่จำเป็นที่จะต้องพิธีรีตองเท่าใดนัก นอกเสียจากซือเฟิงและเจ้าอ้วนแล้ว พวกพ้องคนอื่นต่างก็อยู่ในพลังขั้นก่อรวมด้วยกันทั้งนั้น ถึงแม้ว่าจะเพียงระดับที่หนึ่งก็ตามก็ยังถือว่าเป็นสิ่งที่น่ายินดีไม่น้อย
เมื่อดื่มกันเข้าไปอยู่หลายชามใหญ่ฝีปากก็คล้ายกับไม่มีหูรูดอย่างไรอย่างนั้น
“พี่หลง ท่านช่างมีพรสวรรค์เชิงยุทธ์ต่างจากเมื่อวันวานอย่างสิ้นเชิง คุณลักษณะที่คล้ายกับวีรบุรุษ อย่างไรอย่างนั้น พวกเราต่างก็อดคิดไม่ได้ว่าต้องเป็นสตรีเช่นไรกันจึงจะสามารถมีความเหมาะสมกับท่านได้”
คนผู้นั้นยังไม่ทันได้ฟังคำตอบจากหลงเฉิน ก็ถูกเจ้าลิงผอมชิงกล่าวตัดหน้าขึ้นมา “เหอะเหอะ นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย อย่างน้อยๆ ก็คงจะต้องเป็นถึงระดับองค์หญิงเลยเชียวล่ะ
ต้องมีความงดงามดั่งนางเซียนบนสรวงสวรรค์ งามประดุจดอกไม้แรกแย้มที่ถูกแสงจันทราสาดส่องจึงจะคู่ควรกับพี่หลงของเรา
ส่วนเรื่องพลังยุทธ์นั้นหรือ? เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาใหญ่อันใดหรอก คงไม่มีผู้ใดหาญกล้าพอที่จะรังแกพี่หลงอยู่แล้ว แม้แต่องค์ชายต้าเซี่ยผู้นั้นยังไม่อยู่ในสายตาของพี่หลงเสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุนี้พี่สะใภ้ของพวกเราย่อมไม่จำเป็นที่จะต้องแข็งแกร่งนักหรอก ฮาฮา”
“กล่าวได้ถูกต้อง หากจะค้นหาหญิงทั่วทั้งจักรวรรดิเฟิงหมิงที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทุกข้อที่ยกมานั้นก็คงจะมีแค่เพียงองค์หญิงสามผู้เดียวแล้ว” เจ้าอ้วนทอประกายแววตาเจิดจ้า
“องค์หญิงสามข้านั้นเคยพบมาก่อน แม้ว่าใบหน้าจะงดงามอย่างไร้ที่ติ ทว่านิสัยกลับยากเหลือเกินที่จะมีผู้ใดทนรับได้ คนธรรมดาสามัญไม่อาจจัดการได้อย่างแน่นอน” คนผู้หนึ่งกล่าวออกมาพร้อมกับถอนหายใจ
“เหอะ!นั่นคงเป็นเพราะว่านางยังไม่เคยพบกับพี่หลง หากได้พบเจอกัน ต่อให้เป็นพยัคฆ์ร้ายก็คงกลายเป็นเพียงลูกแมวน้อยเสียกระมัง”
หลงเฉินไม่อาจกล่าววาจาใดใดออกมาได้ พวกเขาเหล่านั้นเอาแต่เอ่ยถึงองค์หญิงสาม ในห้วงสมองของหลงเฉินปรากฏเพียงภาพผิวพรรณอันขาวผ่องของฉู่เหยาเท่านั้น
ภายในใจของหลงเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจเกี่ยวกับเรื่องราวของฉู่เหยานางผู้นั้นถือได้ว่าเป็นหญิงสาวที่มีความอบอุ่นและมีน้ำใจเป็นอย่างมากแต่ทว่าเพื่อที่จะปกป้องตัวเองจากผู้อื่นจึงต้องทำเรื่องที่ขัดกับนิสัยที่แท้จริงของตัวเองได้ถึงเพียงนั้น
เมื่อหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับนาง ความอบอุ่นมากมายมหาศาลก็หลั่งไหลเข้ามาภายในจิตใจของหลงเฉิน เป็นความรู้สึกที่ยากจะพรรณนาออกไปได้ อีกทั้งยังมีความรู้สึกที่เหมือนกับว่าได้ทำผิดมหันต์ต่อฉู่เหยาอยู่อย่างไรอย่างนั้น?”
ในขณะที่หลงเฉินกำลังหมกมุ่นอยู่กับภวังค์แห่งความคิดอันว้าวุ่นอยู่ ทันใดนั้นเองก็ได้มีหญิงสาวผู้หนึ่งส่งเสียงแหลมเย้ยหยันมาทางโต๊ะของพวกเขา
“เจ้าสามัญชนพวกนี้ช่างบังอาจนัก คิดที่จะกินเนื้อห่านฟ้าอย่างนั้นหรือ องค์หญิงสามนั้นหาใช่บุคคลที่พวกเจ้าจะนำมาสนทนากันได้อย่างสนุกปากอย่างนั้นหรือ?”