เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 33 เทศกาลโคมไฟเฟิงหมิง

ณ พระราชวังหลวง ภายในห้องทรงหนังสือขององค์ชายสี่ มีชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงมุมห้อง เปลือกตาปิดลงอย่างผ่อนคลาย โสตประสาทของเขากำลังรับฟังคำรายงานจากขุนนางหมานฮวงอย่างเงียบสงบ

“องค์ชาย ทางด้านขุนนางเจิ้งหยวนยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดใด ทัพใหญ่เองก็เริ่มทยอยกลับไปยังฐานที่ตั้งเดิมแล้ว ส่วนเรื่องจดหมายขององค์ชายนั้นพบว่ายังไม่ได้คำตอบรับกลับมาแต่อย่างใด” เมื่อกล่าวจบ ขุนนางหมานฮวงก็ได้โค้งคำนับลงอย่างนอบน้อม

หลังจากที่เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูปดับ องค์ชายสี่ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แววตาคู่นั้นแผ่ความเยือกเย็นออกมาเป็นสาย สบถเสียงชิแล้วกล่าวออกไปว่า “ช่างเป็นตาเฒ่าที่ดื้อรั้นเสียจริง รนหาที่ตายหรืออย่างไร ข้าให้เวลาเขานานถึงเพียงนี้ยังกระทำเสมือนข้าเป็นเด็กอมมือ (软柿子เด็ดลูกพลับ)”

*สำนวนเด็ดลูกพลับ หมายถึง ง่ายต่อการกลั่นแกล้งเป็นคนซื่อไม่เหมาะสม

“หลงเทียนเซียวผู้นั้นช่างไร้มารยาทอย่างถึงที่สุด หลายปีมานี้ยังคงไร้วี่แววที่จะหันมาสวามิภักดิ์ต่อองค์ชาย ช่างน่ารังเกียจเสียยิ่งกว่านักโทษที่ตายนับหมื่นครั้ง” ขุนนางหมานฮวงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว

องค์ชายสี่มองไปที่ขุนนางหมานฮวง “ข้าทราบดีว่าเจ้าและหลงเทียนเซียวนั้นได้ผ่านการประลองด้วยกันมาก่อนในเทศกาลโคมไฟ หากไม่ใช่หมัดนั้นของเขาแล้วเจ้าก็คงจะมีโอกาสได้เพิ่มระดับของพลังอย่างง่ายดายขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้

แต่ทว่าความแข็งแกร่งของหลงเทียนเซียวนั้นไม่ได้มีเพียงแค่พลังยุทธ์ ไม่เช่นนั้นข้าก็คงจะไม่ให้ความสำคัญต่อเขาถึงเพียงนี้

น่าเสียดายที่เขานั้นหัวรั้นจนเกินไป ไม่ว่าจะผ่านไปนานเพียงใดก็ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อข้า อีกทั้งยังไม่ยอมเป็นคนในปกครองของข้า เช่นนั้นก็ให้เขากลายเป็นคนที่ตายไปแล้วเสียยังจะดีกว่า”

เมื่อได้ยินองค์ชายสี่เอ่ยวาจาออกมาเช่นนั้น ขุนนางหมานฮวงก็อดดีใจขึ้นมายกใหญ่ไม่ได้ พลันถามออกไปด้วยความรีบร้อน “องค์ชายมีแผนการอันใดอย่างนั้นหรือ?”

“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะต่อกรกับเขา แต่ทว่าจะใช้เลือดเนื้อเชื้อไขของเขาที่ข้าช่วยเลี้ยงดูปูเสื่อและคอยจับตามองมานานหลายปีมาบีบคั้นจนตายให้เขานั้นยอมจำนนต่อข้า อย่างน้อยก็คงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีอยู่บ้าง” องค์ชายสี่กล่าวออกมาอย่างเย็นชา

“หลงเฉิน? จะฆ่าเขาอย่างไรได้เล่า?” ขุนนางหมานฮวงถามขึ้นขณะปะติดปะต่อคำพูดขององค์ชาย

ตอนนี้หลงเฉินเป็นคนของชุมนุมผู้หลอมโอสถ อีกทั้งยังมีข่าวคราวว่าเขาและปรมาจารย์หวินฉีนั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาอยู่ ต่อให้เป็นทางพระราชวังเองก็ยังไม่กล้าพอที่จะมีปัญหากับชุมนุมผู้หลอมโอสถ

“เรื่องนี้ข้าได้จัดการเอาไว้แล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป ส่วนเจ้าก็ค่อยๆ รวบรวมกำลังพลเอาไว้ให้มากที่สุด ศึกครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว และจงจำเอาไว้ให้ดีว่าอย่าได้เคลื่อนไหวจนเป็นที่จับตามอง” องค์ชายสี่กำชับออกมาด้วยน้ำเสียงขึงขัง

“ขอรับ โปรดไว้วางใจ ข้าจะไม่ทำให้น้ำรั่วซึมออกไปแม้เพียงหยดเดียว” ขุนนางหมานฮวงรีบตอบกลับ

ตอนนี้พลังฝีมือของเขายังอยู่แค่ในระดับพลังขั้นก่อโลหิตเท่านั้น แม้พลังยุทธ์จะไม่มากมายเท่าใดนัก แต่ทว่าองค์ชายสี่ก็ยังให้ความสำคัญต่อเขาเป็นอย่างมาก

เหตุผลหนึ่งก็เพราะว่าเขานั้นซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อองค์ชายสี่ อีกหนึ่งก็คือทุกการกระทำของเขานั้นรอบคอบและระวังตัวเป็นอย่างดี หลายปีที่เขารับใช้องค์ชายสี่มายังไม่เคยเกิดข้อผิดพลาดจากความประมาทแม้แต่ครั้งเดียว

หลังขุนนางหมานฮวงออกจากห้องหนังสือ องค์ชายสี่ที่กำลังเหม่อมองไปทางชั้นหนังสือก็ได้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

“หลงเทียนเซียวนะหลงเทียนเซียว ใยเจ้าต้องทำให้ข้าลำบากใจด้วย ความหวังดีของข้าหลายปีมานี้ยังไม่อาจที่จะสั่นคลอนจิตใจของเจ้าได้แม้แต่น้อยอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็อย่าได้โทษข้าว่าเป็นองค์ชายผู้โหดเ**้ยมก็แล้วกัน”

……

“ตูม”

ภายในร่างกายเกิดการปะทุของบางอย่างขึ้นมาเสียงดัง ดวงตาคู่นั้นของหลงเฉินค่อยๆ เบิกกว้างขึ้นมา แววตานั้นคล้ายกับมีชั้นดาราซ่อนเร้นเอาไว้ อีกทั้งยังคมกริบคล้ายกับศาสตราวุธชนิดหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น หากผู้ใดได้มองเข้าไปอาจจะเกิดความหวาดกลัวจนต้องเบือนสายตาหนีอย่างแน่นอน

ภายในจุดตันเถียนของหลงเฉินในตอนนี้ มีพลังทั้งเจ็ดสายไหลเวียนอยู่อย่างช้าๆ ความสำเร็จนี้ทำให้ใบหน้าของหลงเฉินปรากฏรอยยิ้มกว้างอย่างเป็นสุข

เจ็ดวันเต็มที่เขานั้นสามารถเพิ่มระดับพลังขอบเขตขึ้นไปจนถึงขั้นที่สี่ได้ หากมีผู้ใดทราบเรื่องราวเช่นนี้เข้าคงจะแตกตื่นกันไปทั่วอย่างแน่นอน ถึงจะใช้เวลาไม่มากแต่ทว่าหลงเฉินก็ยังคงไม่พอใจอยู่ดี

เดิมทีแล้วหลงเฉินคิดว่าถ้ามีพลังปราณเพิ่มขึ้นจะทำให้การฝึกยุทธ์นั้นรวดเร็วยิ่งขึ้นไปด้วย แต่เขากลับพบว่าความคิดเช่นนั้นไม่ถูกต้อง

พลังลมปราณของขั้นก่อรวมที่ระดับสูงขึ้นก็จะยิ่งยากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องใช้พลังลมปราณมากขึ้นด้วย ขณะนี้หลงเฉินสามารถใช้พลังออกมาได้ถึงเส้นที่สี่แค่สามชั่วยามเท่านั้น ส่วนพลังเส้นที่เจ็ดต้องใช้เวลาถึงสามวันเต็ม

เสมือนว่าพลังทั้งสามเส้นก่อนหน้านี้ทั้งสูญเปล่าและรวบยอดได้ แต่ทว่าที่ทำให้หลงเฉินคลายกังวลไปได้ก็คือขณะที่รวมพลังไปจนถึงขั้นก่อรวมระดับที่เจ็ดแล้ว เขาก็พบว่าเส้นลมปราณของตัวเองยิ่งทวีความหนาแน่นมากยิ่งขึ้น

พลังถึงเพียงนี้ก็ยังไม่สามารถใช้ทักษะยุทธ์จากเบิกสวรรค์ได้ นี่เป็นสิ่งที่หลงเฉินยังคงกังวลใจอยู่มาก แต่ถ้ามองในทางกลับกันกลับเป็นสัญญาณอันดีที่บ่งบอกได้ว่าความแข็งแกร่งของกระบวนท่าเบิกสวรรค์นั้นมีมากถึงเพียงใด โอสถขยะเพียงเม็ดเดียวสามารถเปลี่ยนเป็นทักษะยุทธ์ระดับสูงได้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังคุ้มค่าอยู่มากทีเดียว

ก่อนหน้านี้หลงเฉินเคยคิดที่จะหายอดฝีมือพลังขั้นก่อโลหิตที่ควบคุมหอทักษะยุทธ์ เพื่อที่จะใช้โอสถแลกเปลี่ยนกับทักษะยุทธ์ระดับสูงมา

แต่เมื่อมีฉู่เหยาสอนหมัดทลายวายุและฝ่ามือเมฆาเพลิงให้แล้ว หลงเฉินจึงคิดว่านั่นก็เพียงพอแล้ว ทั้งสองกระบวนท่านั้นถือว่าเป็นทักษะในระดับมนุษย์ขั้นสูง เกรงว่าจะพบได้เฉพาะหอทักษะยุทธ์ชั้นที่สามเท่านั้น แม้แต่ผู้คุมหอทักษะยุทธ์ผู้นั้นก็คงจะยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเรียนรู้ในระดับนั้นได้

ทักษะยุทธ์นั้นใช่ว่ายิ่งมีมากแล้วจะดี แต่ก็เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์นั้นขาดไม่ได้เช่นกัน จำเป็นที่จะต้องมีติดตัวอยู่บ้าง

เพราะว่าทักษะยุทธ์แต่ละกระบวนท่านั้นทำให้สูญเสียพลังลมปราณอยู่ไม่น้อยเลย โดยมากแล้วผู้ฝึกยุทธ์ระดับขั้นก่อรวมมักจะใช้เพียงทักษะยุทธ์ขั้นมนุษย์ระดับล่างได้แค่ครั้งเดียว

หลังจากที่ใช้ออกไปแล้วครั้งหนึ่ง พลังลมปราณที่หลงเหลือเอาไว้ก็แทบไม่อาจเอาออกใช้เป็นครั้งที่สองได้อีก ด้วยเหตุนี้ถ้าหากไม่สยบคู่ต่อสู้ภายในกระบวนท่าเดียว ก็คงจะไม่ยอมเสียพลังปราณอันมีค่าไปในการต่อสู้อย่างแน่นอน

และยิ่งกว่านั้นทักษะยุทธ์ในระดับสูงก็จะยิ่งสิ้นเปลืองพลังลมปราณมากขึ้น ฉะนั้นทักษะยุทธ์ขั้นมนุษย์ระดับสูงจะมีไว้ให้ยอดฝีมือขั้นก่อโลหิตไว้ใช้เพียงเท่านั้น

มีแต่เพียงพวกเขาที่พอจะใช้พลังลมปราณมากมายมหาศาลนั้นออกมาได้อย่างไม่คิดว่าเป็นความสิ้นเปลือง แต่ทว่าหลงเฉินนั้นกลับต่างกันออกไป

เขานั้นเคยทดสอบโดยใช้พลังลมปราณที่กักเก็บอยู่ในจุดดารากักวายุ พลังของเขาสามารถใช้ทักษะยุทธ์ขั้นมนุษย์ระดับสูงได้ถึงเจ็ดครั้ง

ทว่าหากใช้ทักษะยุทธ์ระดับนี้ออกมา หลงเฉินเองยังสามารถที่จะเค้นพลังลมปราณของจุดดารากักวายุรวมกับพลังจากเส้นลมปราณเพื่อใช้ออกมาได้อีกหนึ่งครั้ง

ครั้งที่สองต่อให้ต้องตายไปก็ไม่อาจที่จะใช้ออกมาได้ ตอนนี้หลงเฉินไม่อาจที่จะเข้าสู่การก่อรวมของดาราขั้นที่สองได้ เพราะวิชาเคล็ดกายานวดาราได้บันทึกเอาไว้แต่เพียงดาราขั้นที่หนึ่ง เมื่อสำเร็จสู่ขั้นสมบูรณ์ของดาราชั้นนี้จึงจะสามารถก่อรวมเข้าสู่ดาราขั้นที่สองได้

แต่ว่าหลงเฉินนั้นไม่ทราบว่าสิ่งใดเรียกได้ว่าเป็นดาราขั้นที่หนึ่งอย่างแท้จริง และก็ไม่ทราบว่าดาราทั้งเก้านั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ข้อเท็จจริงเหล่านั้นลึกล้ำเสียยิ่งกว่าห้วงมหาสมุทร ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงทำได้แค่เพียงแค่รวบพลังเข้าสู่เส้นลมปราณเอาไว้

“นายน้อย ข้าสามารถเข้าไปได้หรือไม่?” เป่าเอ๋อเอ่ยถามด้วยเสียงใสแจ๋ว

“เข้ามาเถิด”

เป่าเอ๋อเดินเข้ามาพร้อมกับอาภรณ์ที่ดูหรูหราอยู่หลายชุด หญิงสาวผู้นั้นยิ้มแล้วกล่าวว่า “นายน้อย วันนี้มีเทศกาลโคมไฟเฟิงหมิง ฮูหยินได้สั่งให้ข้านำอาภรณ์เหล่านี้ไปชำระล้างแล้วจัดเตรียมไว้ให้ท่าน”

นางให้หลงเฉินนั่งลง จากนั้นก็เริ่มจากล้างหน้า ล้างเท้า และหวีผม หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าวว่า “เหตุใดต้องมากพิธีถึงเพียงนี้?”

“ฮูหยินบอกว่านายน้อยใกล้จะครบอายุสิบหกปีแล้ว สมควรแก่การมีคู่ครองแล้ว จึงได้มอบหมายให้ข้ามาช่วยแต่งองค์ทรงเครื่องให้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีคุณหนูบ้านใดมาต้องตาเข้า อิอิ……ท่านย่อมเข้าใจดีอยู่แล้ว” เป่าเอ๋อหัวเราะร่า

“ไม่หรอก มารดาผู้ชรานั้นเร่งรีบถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” หลงเฉินถามออกไปอย่างไม่ต้องการคำตอบ ผู้คนมากมายรวมไปจนถึงเจ้าอ้วนและพวกพ้องต่างก็มีอายุสิบเจ็ดสิบแปดกันแล้ว พวกเขาก็ยังไม่ได้แต่งงานกันเลยไม่ใช่หรอกหรือ

“แน่นอนว่าต้องรีบ ข้าอยากจะอุ้มหลานแล้ว”

เสียงของฮูหยินหลงดังขึ้นที่หน้าประตู แล้วยังกล่าวต่ออีกว่า “เรื่องของม่งฉีนั้นเอาไว้ทีหลังก็ได้ หรือใช้เป็นเป้าหมายในระยะยาวก็ดี  แต่ว่าเป้าหมายในระยะสั้นก็ย่อมต้องมีด้วยเช่นกัน การใช้สองมือจับนั้นต้องกระชับเพื่อความปลอดภัย มารดาหวังว่าเจ้าจะหาหญิงสาวที่เหมาะสมให้คลอดลูกออกมาแล้วค่อยว่ากัน จากนั้นจะไล่ตามม่งฉีก็คงจะไม่สายเกินไป”

“มารดา เป็นเช่นนี้ได้ด้วยอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินไม่แน่ใจว่าสิ่งนั้นจะถูกต้อง

“แล้วเหตุใดจะไม่ได้? ชายหนุ่มที่มีภรรยาสามสี่คนต่างก็เป็นเรื่องธรรมดา เจ้าก็แค่รั้งตำแหน่งภรรยาหลวงไว้ให้ม่งฉีก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ?” ฮูหยินหลงกล่าวออกมาอย่างมีเหตุมีผล

“ไม่หรอก ท่านแน่ใจแล้วหรือ?” หลงเฉินไม่อาจเชื่อมารดาของเขาได้

“แน่นอนสิ เจ้าอย่าเพิ่งไปบอกกล่าวต่อม่งฉีก่อน รอคอยจนกว่าพวกเจ้าจะหุงข้าวจนเป็นข้าวสุก แล้วนางก็จะยินยอมเอง” ฮูหยินหลงกล่าวอย่างจริงจัง

หลงเฉินเบิกตากว้างขึ้นมา มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ? “มารดา ท่านว่าหลายปีมานี้ที่บิดาไม่ได้มาส่งข่าวคราวกลับมาถึงพวกเรา เขาคงจะไม่ได้มีภรรยาสามสี่คนอยู่ภายนอกแล้วอย่างนั้นหรือ?”

“ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด หากบิดาของเจ้ามีภรรยาสามสี่คนก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดีแล้ว” ฮูหยินหลงกล่าวออกมา แต่ทว่าสายตาคู่งามนั้นกลับยอมแฝงเอาไว้ด้วยความไม่ยินยอมอยู่

“เหอะเหอะ แค่หยอกล้อท่านก็เท่านั้น ท่านโปรดวางใจเถิด หากว่าในเทศกาลโคมไฟเฟิงหมิงครั้งนี้มีหญิงสาวที่เหมาะสม ข้าจะพากลับมาให้แก่ท่านสักสองคน” หลงเฉินยังคงกล่าววาจาอ้อล้ออีกครั้ง

“เพ่ย เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใดกันถึงจะพากลับมาด้วยสองนาง อย่าได้มาเล่นลิ้นแล้วตีใบหน้ากะล่อนเช่นนั้นต่อมารดาของเจ้าเชียว แต่ต้องจดจำที่ข้าได้บอกไปให้ขึ้นใจ เข้าใจแล้วหรือไม่?” ฮูหยินหลงกำชับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ได้ ได้ ได้ ท่านว่าอย่างไร ข้าก็จะทำอย่างนั้น” หลงเฉินตบปากรับคำออกไป แต่ในใจกลับไม่ได้สนใจมากนัก

หลังจากที่ชำระล้างร่างกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว บัดนี้หลงเฉินก็ได้แต่งกายด้วยอาภรณ์คลุมยาวสีฟ้า กระชับพอดีกับร่างของเขา

ขนคิ้วประดุจกระบี่ที่คมกล้า ใบหน้าหล่อเหลา จนเป่าเอ๋อที่มองดูอยู่ ทอแววตาเป็นประกาย และกล่าวชื่นชมออกมาไม่หยุดปาก

“อิอิ ฮูหยินโปรดวางใจ ด้วยสถานะภาพของนายน้อยในตอนนี้ ย่อมต้องมีหญิงสาวมากมายที่ไม่อาจหักห้ามใจได้”

“เจ้านะเจ้า อย่าได้ชมเชยจนเขาลอยขึ้นสวรรค์ไปก่อนก็แล้วกัน” แม้ฮูหยินหลงจะห้ามปรามออกไปเช่นนั้น แต่ภายในแววตากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมในตัวบุตรชายของนางเป็นอย่างมาก

“เอาล่ะ เดี๋ยวจะสายเอา รีบออกไปกันเถิด” ฮูหยินหลงผลักหลงเฉินไปที่ประตูใหญ่

“มารดา ดวงอาทิตย์ยังอยู่สูงถึงเพียงนี้ อีกนานกว่าฟ้าจะมืดนะ” หลงเฉินชี้ไปยังดวงตะวัน บนใบหน้าปรากฏอาการเบื่อหน่ายอออกมา

“เด็กเอ๋ย เมื่อไม่รู้ว่าฟ้าฝนจะตกมาเมื่อใด ไม่สู้ไปช่วงชิงตำแหน่งที่ดีก่อนเอาไว้อย่างนั้นหรือ นั้นถือได้ว่ามีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว รีบไปเถิด”

ฮูหยินหลงส่งเสียงดังกังวานแล้วปิดประตูใหญ่ลง

หลงเฉินกรอกดวงตาวไปมา นี่มันไม่ใช่การออกไปตั้งแผงลอยขายของเสียหน่อย จะต้องไปช่วงชิงตำแหน่งที่ดีก่อนไปทำไม แต่ในเมื่อถูกไล่ออกมาจากประตูแล้วก็คงไม่อาจที่จะหันหลังกลับเข้าไปได้

ตามรายทางที่จะไปยังเทศกาลโคมไฟนั้นหลงเฉินก็ได้เห็นบ้านของผู้คนมากมายต่างก็ประดับประดาด้วยไฟสีเขียวอยู่ที่หน้าบ้าน อีกทั้งโคมไฟแต่ละชิ้นยังถูกแขวนเอาไว้เป็นอย่างดี เมื่อเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเห็นการปรากฏตัวของหลงเฉินในเวลาเช่นนี้ก็เอาแต่หัวเราะแล้วกล่าวออกมาว่า “พี่ชาย มาได้เร็วเสียจริงนะ”

“ไม่ทราบหรืออย่างไร การมาถึงก่อนนั้นเสมือนนกที่ออกหากินแต่เช้าจึงจะมีหนอนให้กิน” หลงเฉินตอบกลับไปอย่างไร้อารมณ์

*นกที่ออกหากินแต่เช้าจะมีหนอนให้กิน =คนที่ตื่นเช้าขยันขันแข็งจะไม่อดอยาก

“ใช่แล้ว มีเหตุผล ต้องขอบคุณพี่ชายที่ช่วยเตือนสติข้า หากเป็นเช่นนั้นก็จะไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์” กล่าวจบเด็กหนุ่มผู้นั้นก็เดินลับหายไป

“เจ้าเด็กน้อยที่เพิ่งจะอายุสิบสามสิบสี่ คิดจะเกี้ยวพาราสีกับสาวงามแล้วอย่างนั้นหรือ?”

หลงเฉินแสยะยิ้มขึ้นมา เด็กน้อยในสมัยนี้ช่างแก่แดดแก่ลมกันเกินไปแล้ว การออกมาในเวลาที่ยังสว่างอยู่เช่นนี้มีแต่จะทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะก็เท่านั้น

จู่จู่ภวังค์แห่งความคิดของหลงเฉินก็ได้วนเข้ามา จะหาสถานที่ใดสักแห่งในการฝึกยุทธ์ในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ อย่างนี้ได้เสียที่ไหน แต่ว่าจะปล่อยให้เวลาล้ำค่าเช่นนี้ล่วงเลยไปก็คงจะไม่ดีนัก

ในขณะที่หลงเฉินยืนครุ่นคิดอยู่นาน วินาทีนั้นเองก็ได้มีรังสีสังหารแผ่ออกมาประดุจสายลมที่กำลังโชยพัดอยู่ มันพุ่งตรงเข้ามายังแผ่นหลังของหลงเฉินอย่างรวดเร็ว

จากนั้นหลงเฉินก็ได้หันกายไปแล้วฟาดฝ่ามือออกไป ฝ่ามือของเขาปะทะกับอีกฝ่ามือหนึ่งอย่างพอดิบพอดี

“ปึก”

ไอพลังบางอย่างปะทุขึ้นมา หลงเฉินลอยกระเด็นออกไปไกลหลายก้าว เขาเงยหน้าขึ้นมาพบกับร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังวางท่าเคร่งขรึมอยู่ ชายผู้นั้นยกฝ่ามือขึ้นอีกครั้งจนปะทุพลังประหลาดอันมหาศาลหอบสายลมแล้วพวยพุ่งเข้ามายังหลงเฉิน

หลงเฉินรู้สึกไม่สบอารมณ์และไม่ได้สนใจฝ่ามือของชายผู้นั้นแม้แต่น้อย เขายื่นเท้าข้างหนึ่งกระแทกไปยังชายผู้นั้นอย่างเต็มแรงในทันที

“อ่อก”

ชายหนุ่มผู้นั้นคงจะมีประสบการณ์ในการต่อสู้มาอย่างโชกโชน เขาชักฝ่ามือกลับมาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาดเข้าต้านทานเพลงเท้าของหลงเฉินเอาไว้

“ไปตายซะเถิด”

หลังจากที่ชายผู้นั้นได้ต้านเพลงเท้าของหลงเฉินเอาไว้ ก็ยิ่งเกิดความโกรธจนโลหิตเดือดพล่านไปทั่วทั้งร่าง บังเกิดกลุ่มไอร้อนแห่งการสังหารขึ้นมาอย่างรุนแรงและโหดเ**้ยม เขาพุ่งหมัดฝ่าอากาศออกไปหมายที่จะให้หลงเฉินตายด้วยคมหมัดนั้นอย่างไม่มีชิ้นดี

ภายในแววตาของหลงเฉินเองก็ปรากฏรังสีสังหารสะท้อนกลับไปเช่นนั้น เขาหมายที่จะปะทุพลังทั้งหมดออกมาทว่าเพียงเสี้ยววินาทีนั้นกลับมีความคิดหนึ่งวูบเข้ามา

“พลังวัวคลั่ง”

หลงเฉินตะโกนออกมาเสียงดังสนั่น พลางก็ออกหมัดข้างหนึ่งพุ่งไปด้านหน้าปะทะเข้ากับร่างของชายผู้นั้นจนลอยกระเด็นออกไปไกลนับหลายสิบลี้ กลางทรวงอกของเขามีคราบโลหิตไหลซึมออกมา

จากนั้นเพลงหมัดของชายผู้นั้นก็ซัดกลับมาจนทำให้หลงเฉินลอยกระเด็นออกไปอีกทางหนึ่งเช่นกัน หลงเฉินกำลังจะเข้าจู่โจมอีกครั้ง แต่ก็ยับยั้งเอาไว้เมื่อเริ่มสังเกตเห็นเงาร่างของผู้คนมากมายที่กำลังรายล้อมพวกเขาอยู่ คนเหล่านั้นมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด

“ชิ เจ้าหนู ครั้งหน้าข้าจะต้องเอาชีวิตของเจ้าให้ได้” ชายผู้นั้นจ้องมองไปยังใบหน้าที่ซีดเซียวของหลงเฉิน จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินลับหายไปอย่างรวดเร็วจนหลงเฉินเองก็ยังประหลาดใจ

หลังจากที่ชายผู้นั้นจากไป บนใบหน้าที่ขาวซีดของหลงเฉินก็เริ่มมีการไหลเวียนของโลหิตยิ่งขึ้น แววตาของเขาเกิดประกายความชั่วร้ายขึ้นอย่างรุนแรง

“เจ้าโง่ คิดจะมาทดสอบความตื้นลึกหนาบางของข้าอย่างนั้นหรือ?”

หลงเฉินตบฝุ่นที่เกาะอยู่ตามอาภรณ์อันหรูหราของเขา และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นเงาร่างของคนผู้นั้นกำลังลับหายไป

ดูท่าในวันนี้คงจะไม่ใช่ค่ำคืนที่แสนสงบสุขแล้วล่ะ!  . . . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset