การต่อสู้อันดุเดือดเมื่อครู่ที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่การแสร้งทำของชายผู้นั้น หลงเฉินเองก็พอจะคาดเดาได้ถึงเป้าหมายของอีกฝ่าย คล้ายกับว่าแสร้งลงมือสังหารเพื่อให้ผู้คนมาพบเห็นและบังเกิดความหวาดหวั่นขึ้นเท่านั้น
มีมือสังหารผู้ใดกันที่ปลดปล่อยรังสีสังหารของตนให้อีกฝ่ายหนึ่งรับรู้ตั้งแต่ยังไม่ทันจะเริ่มลงมือ การกระทำเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นความเคยชินของผู้ฝึกยุทธ์จึงไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะเข้าใจผิด
แม้ชายผู้นั้นจะแผ่จิตสังหารไปทั่ว แต่กลับไม่ได้ต้องการที่จะฆ่าฟันอย่างจริงจังจนถึงแก่ความตาย ทุกกระบวนท่าที่ใช้ออกมานั้นช่างแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่กลับออมแรงเอาไว้อยู่หลายส่วน
ด้วยเหตุและผลเหล่านี้เรียกได้ว่าขัดกันกับลักษณะที่แท้จริงของมือสังหารอย่างเห็นได้ชัด และที่หลงเฉินนั้นออกกระบวนท่าครั้งสุดท้ายเข้าโจมตีก็จงใจแกล้งยอมแพ้ไป แล้วถูกกระบวนท่าของชายผู้นั้นซัดจนกระเด็นกลับมา เขาไม่ได้ใช้พลังลมปราณของตนเองในท่าสุดท้ายนี้เลยแม้แต่น้อย เพื่อให้ชายผู้นั้นตายใจว่าเขานั้นได้รับบาดเจ็บ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร “มือสังหาร” ผู้นั้นก็คงจากไปอยู่ดี นี่จะไม่ให้เรียกว่าเป็นการแสดงที่โง่งมอย่างนั้นหรือ พลังของเขานั้นทิ้งชั้นกับคนธรรมดาสามัญทั่วไปอยู่หลายเท่า เกือบที่จะสังหารเขาได้อยู่แล้ว แต่กลับจากไปทั้งแบบนั้น
จะว่าไปแล้วชายผู้นั้นก็มีสีหน้าคล้ายกับว่ากำลังแตกตื่นตกใจกับอะไรบางอย่างอยู่จนรีบจ้วงเพลงเท้าหนีจากไป เมื่อหลงเฉินได้เห็นเพลงเท้าที่ชายผู้นั้นใช้ออกมาก็เอาแต่พ่นลมหายใจออกมาทางจมูกเสียยกใหญ่
เพลงเท้าเช่นนั้นเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าผู้ใช้จะต้องมีฐานะเป็นถึงขุนนางชั้นสูงอย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงแม้จะไม่อาจทราบได้ว่าชายผู้นั้นคิดที่จะทดสอบฝีมือของเขาไปเพื่อเหตุใด ทว่าก็พอจะทราบว่าอีกฝ่ายนั้นต้องมีแผนการอย่างอื่นตามมาภายหลังอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่ปลดปล่อยพลังฝีมือออกมามากถึงเพียงนั้น
“พี่หลง ฮาฮาฮาฮา ท่านมาได้เช้าเสียจริง”
ในขณะที่หลงเฉินกำลังครุ่นคิดอยู่อย่างไม่ทันรู้สึกตัวว่าเดินมาจนถึงประตูทางเข้าเทศกาลโคมไฟเฟิงหมิงแล้ว เจ้าลิงผอมก็ได้ตะโกนเรียกสติขึ้นมาเสียงดังสนั่น
บัดนี้พวกเขายืนอยู่จุดหนึ่งของบริเวณลานกว้างภายในงาน ในแต่ละจุดต่างก็ถูกประดับประดาด้วยโคมอันใหญ่เอาไว้มากมาย ความสูงประมาณสิบจั่งเห็นจะได้ โคมแต่ละอันมีคบเพลิงที่ถูกจุดเพื่อให้ความสว่างไสวเอาไว้แล้ว แม้ตอนนี้ท้องฟ้ายังไม่ทันจะมืดมิดก็ตาม
ในตอนที่ฟ้ายังสว่างเช่นนี้จึงยังไม่ถึงช่วงเวลาที่จะเริ่มเทศกาล ภายในลานกว้างจึงยังเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังจัดเตรียมงานอย่างขะมักเขม้น เคลื่อนย้ายสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ทยอยเข้าสู่งาน ส่งเสียงดังไปทั่วทั้งลานกว้างแห่งนี้
หลงเฉินเหม่อมองออกไปยังที่ที่ห่างไกลออกไปก็พบลานขนาดใหญ่อีกลานหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยโคมไฟจำนวนนับไม่ถ้วนหลากหลายชนิด ถึงแม้จะยังไม่ได้ติดคบเพลิงเข้าไป แต่ก็สามารถดึงดูดสายตาได้อย่างน่าหลงใหล
ในลานกว้างนั้นเริ่มมีหนุ่มสาวมากหน้าหลายตาทยอยเข้ามาอยู่เรื่อยๆ บางส่วนก็เริ่มหยอกเย้ากันจนเกิดเสียงดังเซ็งแซ่ บางส่วนก็ส่งเสียงหัวร่อต่อกระซิกกันประดุจเสียงกระดิ่งเงินดังขึ้น
เสียงหัวเราะที่เสแสร้งเสียจนเกินไปนี้ช่างไม่น่าฟังเป็นอย่างยิ่ง หลงเฉินไม่อาจมองว่าการกระทำของหนุ่มสาวเหล่านั้นเป็นเรื่องปกติได้จึงรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมา
เหล่าหญิงสาวบางส่วนก็ได้ยกมือเปิดการละเล่นขึ้นมา ดวงตาคู่งามหลายคู่เริ่มสอดส่องไปยังชายหนุ่มที่ผ่านไปมา ภายในลานกว้างแห่งนี้จึงคลาคล่ำไปด้วยความกระชุ่มกระชวยดั่งบุปผาแรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิอย่างไรอย่างนั้น
และยังมีชายหนุ่มอีกไม่น้อยที่เป็นดั่งคำกล่าวของมารดา พวกขาต่างก็เริ่มยึดตำแหน่งในที่สูงเอาไว้ บางคนยืนอยู่บนแท่นภูเขาจอมปลอม บางคนยืนอยู่บนยอดตึกสูง บางคนถือพัดแล้วโบกสะบัดไปมา หลงเฉินที่ได้มองเห็นการกระทำเหล่านั้นก็เกิดความกระอักกระอ่วนขึ้นมาในท้องจนแทบจะเดินออกจากที่แห่งนี้ไปให้ไกล
ที่ยิ่งน่าสะอิดสะเอียนก็เห็นจะเป็นกลุ่มชายหนุ่มที่ทำตัวเป็นไก่ตัวผู้คอยชะเง้อคอไปมา ส่องไปทางนู้นทีทางนี้ที
“เจ้าลิงผอม นี่เรียกว่าสถานที่รวมตัวของวีรบุรุษและหญิงงามแห่งเทศกาลโคมไฟเฟิงหมิงอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินเริ่มหวั่นใจต่อสิ่งที่กำลังพบเห็นอยู่
“นั่นมัน……พี่หลง พวกเรานั้นมาถึงเร็วเกินกว่ากำหนดไปมาก หญิงสาวผู้งดงามส่วนใหญ่ยังไม่ปรากฏตัวขึ้นมาในช่วงเวลาที่เร็วเช่นนี้หรอก มีเพียงหญิงสาวที่ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเองเท่านั้นที่จะมาได้เร็วถึงเพียงนี้” เจ้าลิงผอมพยายามชักแม่น้ำทั้งห้าแล้วตอบกลับไป
ทว่าเมื่อเจ้าลิงผอมกล่าวจบก็แสดงปฏิกิริยาบางอย่างขึ้นมา เขาชี้นิ้วไปยังท้องฟ้าเสมือนเป็นสัญลักษณ์อะไรบางอย่างแล้วกล่าวออกมาว่า “พี่หลง แน่นอนว่าท่านต้องไม่ใช่คนพวกนั้นอย่างแน่นอน”
เป็นเพราะมารดาผู้ชราภาพนั่นแหละที่ทำให้เขาต้องออกมาเร็วจนต้องขายหน้าผู้อื่นถึงเพียงนี้ อยากที่จะร่ำไห้ออกมาอย่างไร้น้ำตาเสียจริงเชียว บัดนี้เวลาได้ผ่านเลยไปจนท้องฟ้าเริ่มมืดลง ชายหญิงจากทั่วทุกสารทิศเริ่มอุ่นหนาฝาคั่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
และช่วงเวลาแห่งความงดงามที่มีคุณภาพก็ได้เริ่มต้นขึ้นด้วยเช่นกัน อย่างน้อยเสียงหัวเราะก็ไม่ทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเหมือนก่อนหน้านี้ ด้วยจำนวนและระดับความงดงามก็มากขึ้นกว่าช่วงเวลาก่อนหลายเท่าตัวนัก ถือได้ว่ายอดเยี่ยมสมกับที่ตั้งตารอเลยทีเดียว
“ฮาฮาฮาฮา หลงเฉิน ในที่สุดเจ้าก็มาจริงๆ ด้วย” ซือเฟิงที่เพิ่งจะถึงงาน เพียงแค่กวาดสายตาครู่เดียวก็เจอหลงเฉินและเจ้าลิงผอมยืนอยู่ด้วยกันที่มุมหนึ่ง
“ฮาฮาฮาฮา พี่หลง วันนี้ท่านช่างดูหล่อเหลากว่าทุกวันเสียจริง” เจ้าอ้วนและพวกพ้องต่างก็มาถึงแล้วเช่นกัน แต่ละคนต่างก็ทักทายหลงเฉินที่ดูแปลกตาไปกว่าทุกวัน
“เจ้าอ้วน เจ้าก็ไม่เลวเลย ผลลัพธ์จากการลดน้ำหนักนั้นช่างยอด”เจ้าลิงผอมหัวเราะร่า วาจาของเขาทำให้คนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วย
พวกเขาต่างหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน บัดนี้จากลานกว้างที่ว่างเปล่าได้ถูกเติมเต็มด้วยกลุ่มคนหนุ่มสาวจำนวนมากมายมหาศาล โดยมากจะแบ่งกลุ่มเป็นสามถึงห้าคนแสร้งจับกลุ่มสนทนากันเบาๆ แต่ทว่าดวงตาของแต่ละคนต่างก็ชะเลืองซ้ายขวาเพื่อมองหาเป้าหมายอยู่
“หลงเฉิน พวกเราเข้าไปด้านในกันเถิด เวลาแห่งการเปิดเทศกาลใกล้จะมาถึงแล้ว” ซือเฟิงกล่าวชักชวน
เจ้าอ้วนและพวกพ้องต่างก็เริ่มอยู่ไม่สุข มีเพียงหลงเฉินเท่านั้นที่ยังคงนิ่งเฉย พวกเขาจึงทำได้แค่เพียงข่มจิตข่มใจและติดตามหลงเฉินอย่างสงบเสงี่ยม
ความจริงหลงเฉินนั้นไม่มีความคิดที่จะเข้าไปในงานเทศกาลอยู่แล้ว แต่ก็ไม่อยากให้พวกพ้องของเขาต้องกระวนกระวายใจไปมากกว่านี้ จึงได้พยักหน้าตอบกลับไปอย่างไม่เต็มใจนัก
หลงเฉินและพวกพ้องที่กำลังเยื้องย่างเข้าไปยังบริเวณงานก็ได้กลายเป็นจุดสนใจของกลุ่มคนมากมาย จากที่สายตาเหล่านั้นเคยมองกลุ่มคนเบื้องหน้า กลับหันเหความสนใจมายังกลุ่มของหลงเฉินกันอย่างน่าตกใจ
กลุ่มคนที่ดูสูงส่งกว่ามาก มีทั้งชายหนุ่มผู้ที่มีรูปร่างองอาจ ชายหนุ่มผู้ผอมเพรียว ชายหนุ่มที่อ้วนเทอะทะ ความแตกต่างอย่างลงตัวที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย
“เอ๋ ชายหนุ่มผู้นั้นคือเป็นใครกัน? ช่างหล่อเหลาอะไรถึงเพียงนั้น เหตุใดถึงไม่เคยพบมาก่อนเลย?” หญิงสาวผู้หนึ่งส่งเสียงขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
เดิมทีหลงเฉินนั้นก็ถือได้ว่าหล่อเหลาอยู่พอตัว แต่ก็ยังไม่ถึงกับหล่อสะท้านไปทั่วทั้งโลกา แต่เมื่อเขาได้เดินกับเจ้าอ้วน เจ้าลิงผอม และพวกพ้องคนอื่น คล้ายกับคนเหล่านั้นเป็นเพียงไม้ประดับให้เขาดูโดดเด่นขึ้นกว่าเดิม
“พวกเจ้าไม่ทราบอย่างนั้นหรือ? นั่นก็คือหลงเฉิน บุตรชายของท่านขุนนางเจิ้งหยวนไงล่ะ”
“สวรรค์ เขาคือหลงเฉินหรือ? สุดยอดรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิ หลงเฉินผู้นั้นเองหรือ?”
“ได้ยินว่าเขาเป็นถึงผู้หลอมโอสถเชียวนะ อีกทั้งยังเป็นศิษย์คนแรกของปรมาจารย์หวินฉีอีกด้วย”
เสียงถกเถียงกันดังกึกก้องไปทั่วบริเวณนั้น หญิงสาวมากมายส่งสายตาให้หลงเฉินอย่างไม่ขาดสาย บ้างก็กระซิบกระซาบกันแผ่วเบา บ้างก็หาญกล้าเกินไปเสียหน่อย เอ่ยนามของหลงเฉินออกมาเสียงดังเซ็งแซ่
บัดนี้ใบหน้าของผู้ถูกเอ่ยนามชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ไหลซึมออกมาเป็นสาย หลงเฉินไม่เคยชินกับการถูกจ้องมองด้วยสายตาหลากหลายอารมณ์ดังเช่นตอนนี้มาก่อน แม้ว่าปกติจะมีชายหนุ่มผู้อื่นยกย่องว่าเขานั้นช่างหน้าด้านเกินทน แต่เขากลับไม่อาจทนทานกับบรรยากาศชวนเสียวสันหลังเช่นนี้ได้
“ซือเฟิง เจ้ามาเดินนำเถิด เจ้าอ้วน เจ้าลิงผอม พวกเจ้าก็เขยิบไปทางด้านหน้าหน่อย”
หลงเฉินหาวิธีหลบเลี่ยงจากสายตาเหล่านั้นด้วยการเดินหลบเข้าไปในกลุ่ม ก้มหน้ามองไปที่พื้นโดยไม่พูดจาอันใดออกมาเลย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นมาแม้แต่นิดเดียว
หลงเฉินไม่ทราบว่าตัวเองนั้นเดินมาไกลถึงเพียงไหนแล้ว รู้ตัวอีกทีก็มาปรากฏอยู่บริเวณลานกว้างที่มีเวทีขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง
“หลงเฉิน นี่คือเวทีประลอง เป็นการประลองเพื่อช่วงชิงตำแหน่งวีรบุรุษแห่งจักรวรรดิเฟิงหมิง เจ้าสนใจที่จะเข้าทดสอบดูหรือไม่?” ซือเฟิงถามขึ้น
“ไม่สนใจ ข้าไม่ได้ชมชอบการหาเรื่องผู้อื่นไปทั่วเหมือนกับเจ้าลิงผอมนะ” หลงเฉินส่ายหน้าไปมา
“เหอะเหอะ เจ้ากล่าวมาเช่นนี้ ข้าก็ค่อยสบายใจหน่อย” ซือเฟิงพยักหน้าตอบกลับไป
หลงเฉินสับสนในวาจาของซือเฟิง แต่เมื่อได้สบสายตาคู่นั้นของชายผู้เป็นสหาย เขาก็เข้าใจขึ้นมาได้ทันทีว่าซือเฟิงนั้นต้องการเป็นบุรุษที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิเฟิงหมิงนั่นเอง
“ขอให้เจ้าคว้าธงชัยได้ละกัน” หลงเฉินกำมือชกออกไป
ซือเฟิงก็ชกกลับไปเช่นกัน “วางใจเถิด ขอเพียงไม่ต้องเผชิญหน้ากับเจ้า ข้าก็มั่นใจอย่างมากมายแล้ว”
“ข้าอยากจะบ้าตาย พวกเจ้านี่ไม่ไหวเอาเสียเลย เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย เจ้าจงไปเถิด พวกเราจะตั้งตารอคอยให้ถึงเวลานั้นเอง รีบไปคว้าชัยชนะกลับมา!” เจ้าลิงผอมส่งเสียงดังเพื่อเป็นการปลุกใจ จนทำให้ผู้คนรอบข้างเดินหนีออกไป
“จำไว้นะ อีกเดี๋ยวต้องมารวมตัวกันที่นี่” ซือเฟิงตะโกนตอบกลับมาเสียงดัง
ไม่รู้ว่าพวกพ้องของเขาที่แยกตัวกันไปอย่างรวดเร็วจะได้ยินเสียงตะโกนนั้นหรือไม่ แต่ผู้คนรอบข้างก็เริ่มสลายตัวกันแล้วเช่นกัน ต่างก็เริ่มออกตามหาเป้าหมายของตนเองกันแล้ว
“ซือเฟิง การฝึกยุทธ์ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” หลงเฉินพบว่าละแวกนั้นไร้ซึ่งผู้คนอื่นแล้ว จึงได้เอ่ยถามซือเฟิงด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ฝึกได้จนถึงพลังสูงสุดของระดับขั้นก่อโลหิตระดับที่หนึ่งแล้ว คงจะใช้เวลาอีกไม่นานที่จะเข้าสู่พลังขั้นก่อโลหิตระดับที่สอง” ซือเฟิงตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลยว่าจะสามารถก้าวหน้าในการฝึกยุทธ์อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ ทั้งหมดก็เกิดจากความช่วยเหลือของหลงเฉินที่ทำให้เข้าสู่พลังขั้นก่อโลหิตได้เร็วกว่าผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาทั่วไปอย่างมาก
หากปล่อยอายุล่วงเลยไปจนถึงสามสิบปีแล้วค่อยทะลวงเข้าสู่พลังขั้นก่อโลหิตนั้นช่างยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก กว่าจะผ่านพ้นระดับพลังก่อโลหิตขั้นที่หนึ่งอาจต้องฝึกฝนจนชั่วชีวิตเลยก็ว่าได้
ทว่าซือเฟิงมีอายุยังไม่ถึงสิบแปดปีกลับสามารถทะลวงเข้าสู่พลังขั้นก่อโลหิตได้ การจะสำเร็จเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นในขั้นต่อไปนั้นย่อมมีโอกาสสูงขึ้นกว่าสามส่วนทีเดียว
ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นเป็นการคงอยู่ของระดับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิเมืองเฟิงหมิง มีเพียงสามคนเท่านั้นที่อยู่ในระดับที่สูงส่งเช่นนี้
หลงเฉินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ความก้าวหน้าที่รวดเร็วนี้เป็นเครื่องบ่งบอกว่าซือเฟิงนั้นจะต้องพบเจอกับความยากลำบากมาอย่างมากมาย หลงเฉินได้เข้าตรวจสอบจุดตันเถียนและรากลมปราณของเขาแล้วกลับอยู่เพียงระดับกลางเท่านั้น เกรงว่าการจะเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นต้องมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับชั้นแนวหน้ากว่านี้มาก
“เมื่อเสร็จสิ้นจากเทศกาลนี้แล้ว ข้าจะช่วยหลอมโอสถรวมแกนพลังให้เจ้าหนึ่งเม็ด มันจะช่วยปรับพื้นฐานของพลังเพื่อเตรียมความพร้อมของพลัง ก่อนอายุสามสิบเจ้าก็จะสามารถเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้แล้ว” หลงเฉินให้คำมั่นสัญญา
“ครั้งที่แล้วเจ้าก็ได้ให้โอสถแก่ข้า เจ้าหลอมมันขึ้นมาด้วยตัวเองจริงอย่างนั้นหรือ?” ซือเฟิงทอแววตาสงสัยอย่างไม่อาจเชื่อได้ว่าหลงเฉินจะเก่งกาจได้ถึงเพียงนี้
“ถ้าไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นผู้ใดกันเล่า เจ้าคิดว่าข้าไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้นเลยหรือ?” หลงเฉินเอือมระอาขึ้นมาอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้
“ไม่ใช่ พวกเราคิดว่าปรมาจารย์หวินฉีมอบโอสถเหล่านั้นให้แก่เจ้า” ซือเฟิงตอบกลับมาด้วยความซื่อตรง
แม้หลงเฉินจะมีสถานะเป็นถึงผู้หลอมโอสถผู้หนึ่งแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงไม่อาจปักใจเชื่อได้ลง ทำได้แค่เพียงคาดเดากันไปต่างๆ นานา
“เส้นรากฐานของเจ้าถือว่าไม่เลว แต่ก็ยังไม่อาจที่จะรวมพลังได้อย่างมหาศาล ที่สำคัญก็คือต้องมีพลังสภาวะขั้นต่ำรวมอยู่ด้วยจึงจะสามารถทำให้การฝึกยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว
เส้นรากฐานของเจ้ามีจุดด่างพร้อยส่วนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้หากต้องการทะลวงเข้าสู่ระดับขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น จะต้องเพิ่มระดับความแข็งแกร่งขึ้นอีกมาก
ข้าจะกลับไปหลอมโอสถรวมแกนพลังมาให้ แม้จะไม่ช่วยให้จุดด่างพร้อยนั้นหายไปได้ทั้งหมด แต่ก็จะทำให้เจ้าสามารถที่จะทะลวงเข้าสู่ระดับขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้ง่ายขึ้น” หลงเฉินกล่าว
“หลงเฉิน วาจาช่างคมนัก ข้าจะไม่กล่าวให้มากความอีกแล้ว ขอเพียงเจ้าเอ่ยวาจาออกมา ข้าก็พร้อมจะมอบชีวิตให้เจ้า” ซือเฟิงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เป็นสหายกัน ต้องกล่าวคำพูดแทงใจดำถึงเพียงนี้เชียวหรือ เอ๋ นั่นมันอะไรกัน?”
ทันทีที่สายตาของหลงเฉินเหลือบไปเห็นทหารสวมชุดสีเงินกว่าสิบคนกำลังเดินเข้ามาจากที่ที่ไกลออกไป ในมือของพวกเขาต่างถือวัตถุขนาดใหญ่เอาไว้ ทว่ามันไกลเสียจนมองเห็นได้ไม่ชัดเจนว่าสิ่งของเหล่านั้นคืออะไร
“นั่นก็คือดอกไม้ไฟของพวกองค์หญิง ในช่วงเทศกาลโคมไฟ เหล่าองค์หญิงจะประดิษฐ์ดอกไม้ไฟด้วยตัวเอง เพื่อเป็นการสรรเสริญจักรวรรดิเฟิงหมิง” ซือเฟิงอธิบาย
องค์หญิงอย่างนั้นหรือ? คงจะต้องไปดูเสียหน่อยแล้วว่าโคมไฟดวงใดจะเป็นของฉู่เหยากัน ทหารเหล่านั้นเดินมาหยุดอยู่หน้าฉากที่เต็มไปด้วยผืนผ้าขนาดใหญ่
เทศกาลโคมไฟที่จัดขึ้นปีละครั้งมีจุดสนใจคือลานประลองที่ดึงดูดผู้คนมากมายให้ลงเดิมพันกันอย่างเนืองแน่น เมื่อเหล่าพลทหารเข้ามาถึงเขตลานประลอง พวกเขาก็นำโคมไฟของเหล่าองค์หญิงไปแขวนประดับเอาไว้บนเสารอบลานประลอง
หนุ่มสาวที่มองเห็นเหล่าพลทหารเริ่มมีการเคลื่อนไหวก็ได้กรูกันเข้ามายืนรอบเขตลานประลองดั่งเขื่อนน้ำที่กำลังแตกอย่างไรอย่างนั้น จากก่อนหน้านี้ที่เป็นเพียงลานโล่งกว้างกลับถูกอัดแน่นไปด้วยเหล่าผู้คนที่ส่งเสียงจอแจ หญิงสาวส่วนหนึ่งไม่ได้เข้าไปช่วงชิงตำแหน่งที่ว่าง ขอเพียงแค่สามารถส่งสายตาให้ชายหนุ่มที่หมายปองเอาไว้ได้ก็ถือว่าเป็นตำแหน่งที่ดีแล้ว
ส่วนเหล่าชายหนุ่มก็ได้แต่ยืนมองดูจากที่ด้านหลังที่ห่างไกลออกไป แม้แต่เจ้าอ้วนและพวกพ้องที่กำลังเชือดเฉือนกันว่าผู้ใดในกลุ่มจะจีบสาวได้ก่อน
เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เหล่าหนุ่มสาวก็ต่างพากันนั่งลงรอบเขตลานประลองอย่างพร้อมเพรียง หลังจากนั้นก็มีรถม้าที่ถูกสลักลวดลายอันสง่างามของหงส์กำลังขับเคลื่อนเข้ามา เสียงแตรยาวถูกเป่าจนก้องกังวานไปทั่วบริเวณ เหล่าทหารทั้งหมดต่างคุกเข่าลงอยู่กับพื้นอย่างพร้อมเพรียงเช่นกัน
“ไทเฮาเสด็จแล้ว”