“ตูม”
ทันใดนั้นเองบนร่างของหลงเฉินก็ได้ปะทุพลังขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง จนทำให้อากาศเบื้องบนเกิดความแปรปรวนไปทั้งหมด พลังอันน่าหวาดกลัวนี้แผ่ซ่านความเย็นยะเยือกไปทั่วทุกขุมจนทำให้ผู้คนทั้งหมดรู้สึกจมดิ่งไปในหุบเหวอันมืดมิด
“นั่นมันอะไรกัน?”
แม้แต่เหล่าขุนนางเองก็ยังนั่งไม่ติดเก้าอี้ ทุกสายตาจ้องมองไปที่ด้านหลังของหลงเฉินที่บัดนี้ปรากฏเส้นพลังที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ทั้งหมดเจ็ดสายพัวพันกันเป็นเกลียว
“เขาอยู่ในพลังขั้นก่อรวมเพียงระดับที่เจ็ดอย่างนั้นหรือ?!”
หลงเฉินผ่านการต่อสู้ฟาดฟันกับผู้คนมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่เคยแสดงพลังแห่งการฝึกยุทธ์ออกมาอย่างชัดเจนเหมือนครั้งนี้มาก่อน ผู้คนต่างก็คาดเดากันไปวุ่นวายว่าเขาคงจะเข้าสู่พลังขั้นก่อโลหิตได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เบื้องหน้าของทุกสายตากลับเป็นเพียงพลังในขั้นก่อรวมเท่านั้น
ประกายแสงของการระเบิดพลังของหลงเฉินทั้งเจ็ดสายนั้นเป็นสิ่งยืนยันว่าเขายังอยู่ในพลังขั้นก่อรวมระดับที่เจ็ดอย่างแน่นอน
“แต่ด้วยพลังสภาวะเช่นนั้น จะใช่เพียงระดับเจ็ดอย่างนั้นหรือ”
เหล่าขุนนางต่างถกเถียงกันกับพลังอันมหาศาลที่พุ่งพล่านออกมา การปะทุพลังของหลงเฉินนั้นช่างน่ากลัวจนเกินไป ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เหมือนกับพลังของผู้ที่อยู่ในขั้นที่เจ็ด
เว่ยชาง เซี่ยฉางเฟิง และพรรคพวกต่างก็สะดุ้งตัวโยนออกมาพร้อมกัน นี่ถือเป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ได้พบพานกับเรื่องเฉกเช่นนี้เลยก็ว่าได้
“ปึก”
ใต้ฝ่าเท้าของหลงเฉินเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นจนพื้นเวทีสั่นไหวเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด เงาร่างหนึ่งพุ่งเข้าหาหว่างซานอย่างรวดเร็วประดุจประกายแสงสายหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
เขาพุ่งหมัดออกไปพร้อมกับหอบสายลมปั่นป่วนอยู่โดยรอบ ปลายของคมหมัดรวมเอาไว้ด้วยพลังแห่งฟ้าดินอันมหาศาลมุ่งเข้าไปยังร่างของหว่างซาน
หว่างซานส่งเสียงดังชิขึ้นมา ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มไปมาจากการปะทุของพลังไอโลหิตที่ระอุขึ้นมาท่ามกลางอากาศจนสายลมปั่นปวนขึ้นมาเช่นเดียวกัน จากนั้นเขาก็สวนหมัดข้างหนึ่งออกไป
“ตูม”
เสียงกระแทกของสองคมหมัดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทุกสารทิศ ความรุนแรงของพลังที่เข้าปะทะกันแผ่กระจายจนฝุ่นตลบอบอวลไปทั้งบรรยากาศ
“ตูมตูมตูม”
หลงเฉินไม่รีรอให้มีการตอบสนอง เขาออกหมัดด้วยพลังอันมหาศาลติดต่อกันไปอีกสามครั้งอย่างบ้าคลั่งราวกับพายุฝนฟ้าคะนองในคืนที่ท้องฟ้ามืดมิด หว่างซานร่ำร้องออกมาด้วยความเกรี้ยวกราดหลังถูกแรงกระแทกไปถึงสามครั้ง
“บรึม”
เสียงระเบิดเกิดขึ้นเป็นระลอกต่อเนื่องกัน ฝุ่นลอยคละคลุ้งไปทั่วบรรยากาศจนแทบจะไม่เห็นการเคลื่อนไหว เศษไม้ปลิวว่อนไปทั่ว ผู้คนรอบเวทีในระยะร้อยคืบไม่อาจที่จะทานรับพลังที่ปะทุออกมาอย่างไม่วางมือได้จนต้องถอยร่นออกไปหลายก้าว
“ตูม”
มีเพียงเสียงระเบิดเพียงครั้งเดียวในรอบนี้ ความเงียบสงัดเข้าครอบงำบริเวณโดยรอย อากาศเริ่มมีไอฝุ่นจางลง ปรากฏให้เห็นถึงร่องรอยความเสียหายของเวที ร่างของชายหนุ่มสองคนกำลังยืนประจันหน้ากันอยู่ สายตาทั้งคู่จ้องมองอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่บนเวที
“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะยังมีพลังใช้ออกมาได้ถึงสองกระบวนท่า” หว่างซานแสยะยิ้มขึ้นมาพร้อมกับปาดโลหิตที่ไหลออกมาจากมุมปาก
ในตอนนี้หลงเฉินได้กลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์ตนหนึ่ง เขามีพลังมหาศาลจนน่าตกใจ แม้แต่หว่างซานที่ไหลเวียนลมปราณเพื่อทำการป้องกันร่างกายเอาไว้แล้วยังได้รับบาดเจ็บได้
“สิ่งที่เจ้าคิดไม่ถึงยังมีอีกมากนัก ข้าไม่ได้มีเพียงแค่สองกระบวนท่านี้เท่านั้น เจ้านั้นไม่คู่ควรที่จะใช้โลหิตของพี่น้องแห่งข้ามากระตุ้นโทสะของข้าขึ้นมา จนข้าต้องบ้าบิ่นขึ้นมาเช่นนี้ คนอย่างข้านั้นหากได้คลั่งขึ้นมาแล้ว แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังหวาดกลัวในตัวเอง” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฮาฮาฮา วาจาใหญ่โตเสียจริง เจ้าคิดหรือว่าข้านั้นจะมีความสามารถเพียงแค่นี้ วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าเป็นเหมือนแมลงที่ถูกเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าของข้า จงเบิกตาของเจ้าดูให้ดีว่าสิ่งใดเรียกว่าพลังฝีมือที่แท้จริงกันแน่”
“ปึก”
หว่างซานตะโกนออกมาอย่างดุดัน พลันทั่วทั้งร่างก็ปะทุพลังพุ่งพล่านออกมามากกว่าเดิม ที่ประลองกับหลงเฉินไปเมื่อครู่นั้นเขาใช้พลังของขั้นก่อโลหิตระดับที่สี่เท่านั้น แต่บัดนี้กลับเริ่มพุ่งระดับพลังขึ้นสูงพรวดไปเรื่อยๆ จนน่าตกใจ
“ระดับที่ห้า”
“ระดับที่หก”
“ระดับที่เจ็ด”
ปรมาจารย์หวินฉีทอแววตาเป็นกังวล เขาคิดไม่ถึงว่าหว่างซานผู้นี้จะซ่อนเร้นพลังยุทธ์เอาไว้มากมายเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นถึงยอดฝีมือขั้นก่อโลหิตตอนปลายแล้ว
ขอบเขตพลังขั้นก่อโลหิตระดับที่สามและระดับที่สี่นั้นนับว่าหาได้ยากยิ่งแล้ว แต่นี่ระดับหกระดับเจ็ดก็ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง แทบจะต้องพลิกแผ่นฟ้าเพื่อค้นหากันเลยทีเดียว
พลังการต่อสู้ของชายผู้นั้นพุ่งสูงมากขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด ผู้คนมากมายต่างขนลุกชันด้วยความหวาดกลัวในขุมพลังอันเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านออกมา หลังจากที่ผู้ฝึกยุทธ์ได้เข้าสู่ขอบเขตพลังขั้นก่อโลหิตแล้วก็จะถูกแบ่งระดับขึ้นเป็นตอนล่าง ตอนกลาง และตอนปลายเพื่อใช้เป็นการวัดขีดจำกัดของพลัง
หว่างซานได้ปะทุพลังขั้นก่อโลหิตของเขาขึ้นมาจนถึงระดับที่เจ็ด สายโลหิตทั่วทั้งร่างร้อนระอุขึ้นมา คล้ายกับมีธารน้ำสายหนึ่งไหลเข้าสู่กองเพลิงบรรลัยกัลป์อย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าหนู ยอมรับเสียเถิด เวลาตายของเจ้าได้มาถึงแล้ว”
หว่างซานกล่าวออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ แววตาจ้องมองไปที่หลงเฉินคล้ายกับสัตว์ดุร้ายตัวหนึ่ง ทันทีที่เขากางแขนออก สายลมอันพลิ้วไหวก็ได้พัดพาร่างนั้นไปหาหลงเฉินอย่างรวดเร็ว จากนั้นฝ่ามือหนึ่งก็ฟาดออกไปกลางอากาศ
ภวังค์แห่งความคิดของหลงเฉินก่อตัวขึ้นอย่างว้าวุ่นอีกครั้ง เป็นอย่างที่เขาคาดเดาเอาไว้อย่างไม่ผิดเพี้ยนว่าหว่างซานผู้นี้จะต้องเก็บซ่อนพลังฝีมือที่แท้จริงเอาไว้
ก่อนหน้านี้ตัวเขานั้นไม่มีซึ่งความนึกคิดที่จะต่อสู้กับหว่างซาน แต่เมื่อถูกกระตุ้นด้วยโลหิตของพี่น้องจนบ้าคลั่งขึ้นมา ถ้าหากไม่รับคำท้าทายนั้น เขาเองก็คงจะต้องเกิดความคัดแย้งภายในจิตใจของตัวเองอย่างแน่นอน
ดวงตาของหลงเฉินมองไปยังฝ่ามือของหว่างซานที่กำลังจะฟาดเข้ามา พลันบนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มอันแสนชั่วร้ายราวกับเห็นแมลงตัวหนึ่งกำลังบินเข้ามาติดกับดัก ความโกรธแค้นของเขาปะทุขึ้นมาอย่างมหาศาลเทียบเท่ากับพลังทั้งเจ็ดสายภายในจุดตันเถียนที่กำลังไหลเวียนอยู่อย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็กวาดกำปั้นออกไปข้างหนึ่ง
“ตูม”
เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน หลงเฉินสัมผัสได้ถึงขุมพลังขนาดใหญ่สายหนึ่งไหลเวียนอยู่ในร่างประดุจกระทิงคลั่งฉุดกระชากไปมาอยู่ด้านใน จากนั้นร่างของเขาก็ได้ทะยานออกไปด้านหน้า
“ปึก”
ชิ้นส่วนเวทีทางด้านหลังก็ได้สั่นไหวไม่หยุด แผ่นไม้กระดานในระยะหนึ่งคืบก็ได้แหลกละเอียดเป็นผุยผง ฝ่ามือข้างนั้นถูกหลงเฉินหยุดเอาไว้ได้ในทันที แต่ร่างของเขากลับลอยกระเด็นออกไปไกลหลายคืบแล้วค่อยร่วงลงสู่พื้น
“เป็นพลังที่แข็งแกร่งยิ่งนัก เทียบกับพลังตอนกลางหรือตอนปลายได้เลย หรืออาจจะเรียกได้ว่ามากกว่าก็ว่าได้เลยหรือไงกัน?”
หลงเฉินพยุงร่างลุกขึ้นจากพื้น ไม่อาจปิดบังความตื่นตระหนกได้อีกต่อไป เดิมทีเขาคิดว่าหว่างซานั้นมีพลังยุทธ์อยู่เพียงแค่ขั้นก่อโลหิตระดับที่สี่เท่านั้น
แต่ในเวลานี้กลับต่างกันอย่างลิบลับ เขาว่าตัวเองไม่อาจที่จะต้านทานพลังอันมหาศาลจากชายผู้นั้นเอาไว้ได้ ช่างแตกต่างกันมากเกินไประหว่างพลังตอนกลางกับตอนปลาย
เขานึกย้อนไปในช่วงที่ปะทะกับยอดฝีมือคิ้วเลขแปดที่เหลาสุรา แม้ว่าจะชายผู้นั้นจะไม่ได้ตอบโต้กลับมาด้วยพลังยุทธ์แต่อย่างใด หลงเฉินก็พอจะทราบได้ว่าชายหนุ่มคิ้วเลขแปดนั้นเป็นยอดฝีมือขั้นก่อโลหิตตอนปลาย
บัดนี้หลงเฉินกำลังรวมพลังทั้งเจ็ดสายเอาไว้ หากเทียบพลังต่อสู้กับก่อนหน้านี้แล้วถือว่าแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ว่าการมาเผชิญหน้ากับหว่างซานที่เป็นถึงยอดฝีมือก่อโลหิตตอนปลายก็ทำให้เขาต้องตกที่นั่งลำบากไม่น้อยเลย
“ก็แค่ขยะชิ้นหนึ่ง บังอาจหาญกล้ากล่าววาจาออกมาเสียใหญ่โต มาท้าประลองกับคนอย่างข้าอย่างนั้นหรือ? ทั้งยังกล้าออกหน้าแทนผู้อื่น ทั้งยังหวังจะเป็นคางคงกินเนื้อห่านฟ้า ช่างน่าสังเวชจนข้าอยากจะขำจนตายแล้ว”
หว่างซานก้าวเดินเข้ามาหาหลงเฉินอย่างช้าๆ บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่แสนเย้ยหยัน “คนอย่างเจ้าช่างไม่เหมาะสมที่จะหายใจร่วมอากาศเดียวกันกับข้า เช่นนั้นข้าผู้นี้จะช่วยดับลมหายใจของเจ้าให้เอง”
“อย่าได้…”
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดใจของฉู่เหยาก็หยุดการเคลื่อนไหวของหว่างซาน นางคิดที่จะพุ่งออกไปแต่ก็ถูกขัดขวางเอาไว้
“ไม่ได้ การประลองเป็นตายไม่อาจให้ผู้ใดสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยเด็ดขาด” ไทเฮาเตือนสติ
ในเวลาเดียวกันก็ได้มีองค์รักษ์หลายสิบนายปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของฉู่เหยา เหล่าองค์รักษ์ที่ว่านั้นต่างก็เป็นยอดฝีมือด้วยกันทั้งสิ้น ฉู่เหยาจึงทำได้เพียงแค่กลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม
“เด็กเอ๋ย นั่งลงก่อน เจ้าหยุดการประลองนี้ไม่ได้หรอก” ปรมาจารย์หวินฉีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ปรมาจารย์ ได้โปรดช่วยเหลือหลงเฉินด้วย” ฉู่เหยาอ้อนวอนด้วยใบหน้าที่มีน้ำตาอาบเต็มแก้ม
“วางใจเถิด ในสถาการณ์เช่นนี้ที่ไม่เห็นแก่หน้าของชายชราผู้นี้ ข้าย่อมต้องช่วยเหลือเขาอยู่แล้ว” ปรมาจารย์หวินฉียิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อได้ยินปรมาจารย์หวินฉีกล่าวออกมาเช่นนั้น ฉู่เหยาจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้บางส่วน ปรมาจารย์หวินฉียังกล่าวต่ออีกว่า “เฝ้ามองกันไปก่อนเถิด หลงเฉินไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ เขาคงจะมีไพ่ตายของตัวเองอยู่แล้ว”
ฉู่เหยาพยักหน้าไปมาอย่างว่าง่าย ถึงแม้ว่าจะรู้จักหลงเฉินได้เพียงไม่นาน แต่นางก็ยกย่องว่าหลงเฉินนั้นเป็นคนที่พึ่งพาได้มากถึงที่สุดตั้งแต่นางเคยพบเจอผู้ใดมา เพียงแต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดในตอนนี้ถึงได้รู้สึกจิตใจว้าวุ่นได้ถึงเพียงนี้
เมื่อฉู่เหยาได้สติรับทราบถึงการกระทำของตนเมื่อครู่ที่เป็นจุดสนใจให้กับสายตาหลายคู่จึงอดไม่ที่จะมีใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา ทำไปได้เช่นไรกัน ช่างน่าอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเลยเชียว
หนึ่งในสายตาเหล่านั้นก็มาจากเซี่ยฉางเฟิงด้วยเช่นกัน เดิมทีก็คิดว่าหากหลงเฉินตายไป ก็คงจะไม่เป็นมารหัวใจของตนอีกต่อไป จึงรู้สึกจิตใจสงบลงคล้ายกับว่าไม่เกิดสิ่งอันใดมาก่อน แต่ทันทีที่เห็นว่าฉู่เหยาให้ความสำคัญต่อหลงเฉินมากถึงเพียงนั้นก็เกิดเพลิงโทสะลุกโชนขึ้นมาทั่วทั้งร่าง จึงได้ตะโกนออกไปสุดเส้นเสียง
“หว่างซาน หยุดวาจาไร้สาระได้แล้ว จัดการมันซะ”
เมื่อได้ยินคำสั่งของเซี่ยฉางเฟิง หว่างซานเดินเข้าไปใกล้หลงเฉินมากขึ้น เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มอกแล้วกล่าวออกไปว่า “เจ้าหนู ข้าจะขอมอบคำพูดให้ประโยคหนึ่งก่อนที่เจ้าจะตาย จงดูพลังฝีมือของตัวเองให้ดีก่อน มีคนจำพวกหนึ่งที่เจ้าไม่สมควรไปตอแยด้วย”
หว่างซานหัวเราะเสียงดังด้วยความสะใจ แล้วก็ฟาดฝ่ามือข้างหนึ่งไปที่ร่างของหลงเฉิน แต่ทว่าฝ่ามือของเขากลับไร้ซึ่งซุ่มเสียงไร้ซึ่งสภาวะใดใด ใจกลางของฝ่ามือปรากฏเพียงรอยสีเหลืองเข้มอันเป็นทักษะยุทธ์ระดับสูงชนิดหนึ่ง
ผู้คนรอบลานประลองเบิกตากว้างขึ้นมาด้วยความตกใจ หว่างซานเป็นถึงยอดฝีมือขั้นก่อโลหิตตอนปลายผู้หนึ่งที่แข็งแรงทั้งทักษะยุทธ์รวมไปถึงพลังการต่อสู้ ฝ่ามือข้างนั้นของเขาที่กำลังเคลื่อนลงไปคงจะทำให้ร่างของหลงเฉินแหลกละเอียดได้อย่างไม่ต้องสงสัย
หญิงสาวส่วนหนึ่งไม่อาจจะทนเห็นความเจ็บปวดได้จนต้องหลับตาลง ไม่อยากจะคิดภาพที่หลงเฉินนั้นมีโลหิตชโลมร่างแล้วไหลอาบไปทั่วเวที
แต่บนใบหน้าของหลงเฉินกลับไม่ได้แสดงอาการตื่นตกใจเลยแม้แต่น้อย เขาเอ่ยวาจาออกมาอย่างเย็นชาว่า “คนตายย่อมไม่อาจกล่าววาจาออกมาได้ เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง จงดูพลังฝีมือของตัวเองให้ดีก่อน มีคนจำพวกหนึ่งที่เจ้าไม่สมควรไปตอแยด้วย!!”
“ซูม”
ฝ่ามือของหว่างซานที่กำลังฟาดลงมาถูกหลงเฉินสวนกลับไปด้วยคมหมัดข้างหนึ่ง ในขณะที่หลงเฉินเพ่งมองไปยังหมัดนั้น จุดดารากักวายุที่ใต้ฝ่าเท้าของเขาก็ได้ไหลเวียนพลังอันมหาศาลอย่างรวดเร็วส่งไปยังบริเวณจุดตันเถียน
เดิมทีมีเพียงแค่พลังทั้งเจ็ดสายไหลเวียนอยู่อย่างช้าๆ แต่พริบตาเดียวเท่านั้นกลับเพิ่มพูนนับหลายสิบเท่า รวมทั้งการไหลเวียนด้วยความเร็วดั่งพายุกรรโชกอย่างรุนแรง
เพียงพริบตาเดียวหลงเฉินก็ได้ปะทุพลังอันไร้ขีดจำกัดครอบคลุมไปทั่วทั้งร่างกายแทรกซึมไปทุกอนูเนื้อเยื่อประดุจคลื่นยักษ์ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลอย่างไรอย่างนั้น
“ตูม”
ทั้งหมัด ทั้งฝ่ามือ ปะทะกันด้วยพลังอันแกร่งกล้าของทั้งสองฝ่าย ก่อเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วทุกสารทิศ อานุภาพทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นทะลวงบรรยากาศโดยรอบให้คละคลุ้งไปด้วยเศษละออง
สายลมที่ปั่นป่วนพัดเข้าไปยังร่างของผู้คนที่เฝ้ามองอยู่ห่างจากเวทีในระยะสิบก้าวจนแทบจะยืนไม่อยู่จนต้องถดถอยออกไปนับหลายสิบก้าว พวกเขาไม่เคยพบเจอการต่อสู้ที่ดุเดือดเฉกเช่นวันนี้มาก่อน นี่เป็นพลังของมนุษย์อย่างนั้นหรือ?
บัดนี้สายลมจากการปะทะได้ถูกพัดผ่านไป ถูกแทนที่ด้วยหมอกควันที่เข้าปกคลุม ชั่วครู่ทุกสิ่งอย่างก็ได้สลายหายไปจากบรรยากาศ เผยให้เห็นเศษไม้กระจายไปทิศ เวทีแหลกลานไม่เหลือเค้าโครงเดิม ท่ามกลางพื้นที่ที่ว่างเปล่านั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยแตกร้าวดั่งใยแมงมุม
เมื่อสภาพอันยับเยินนั้นสงบลง ก็ปรากฏสองเงาร่างยืนประจันหน้ากันอยู่ หมัดและฝ่ามือยังคงผสานกัน แววตาของชายหนุ่มทั้งสองจ้องเขม็งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ในเวลานี้บนใบหน้าของหว่างซานเต็มเปี่ยมไปด้วยอาการแตกตื่น กระบวนท่าเมื่อครู่นั้นเขาได้ใช้พลังทั้งหมดออกมาแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจสร้างความเสียหายอันใดต่อหลงเฉินได้
อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงพลังบนหมัดของหลงเฉินที่ยังคงหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้งประดุจคลื่นมหาสมุทรที่ซัดเข้าชายฝั่งอย่างบ้าคลั่ง ยากที่จะต้านทานสภาวะพลังอันมหาศาลนี้ได้
หว่างซานปะทุพลังทั้งหมดออกมา แต่ก็ยังไม่อาจสลายพลังที่เปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้นจากหลงเฉินได้ พลังของหลงเฉินนั้นเสมือนกับไร้ซึ่งจุดสิ้นสุด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหวาดกลัวจนไม่อาจหยุดยั้งเหงื่อที่หลั่งไหลออกมาท่วมร่างได้
ในเวลานี้ทั้งเซี่ยฉางเฟิงและเว่ยชางเองต่างก็ลุกฮือขึ้นมาอย่างไม่เชื่อสายตา ใบหน้านั้นช่างดูแตกตื่นกับพลังที่อยู่นอกเหนือจากความคาดหมายของพวกเขาไปทั้งสิ้น
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?” เซี่ยฉางเฟิงสบถออกมา
เป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าหนูผู้มีพลังเพียงแค่ขั้นก่อรวมระดับที่เจ็ดจะสามารถทานรับการปะทุพลังอันมหาศาลเช่นนั้นได้ พลังนั้นแทบจะไม่แตกต่างไปจากยอดฝีมือขั้นก่อโลหิตตอนปลายเลย
ผู้คนทั่วทั้งเขตลานประลองต่างตกอยู่ในห้วงแห่งความตกตะลึง แม้แต่ปรมาจารย์หวินฉีที่มักจะอยู่ในสภาพที่สงบนิ่งกลับมีดวงตาทั้งคู่รวมไปจนถึงร่างกายสั่นไหวขึ้นมาอย่างไม่อาจข่มเอาไว้ได้
ฉู่เหยามีใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยอาการชื่นชม แววตาคู่งามนั้นจ้องมองไปยังเงาร่างประดุจเทพสวรรค์ลงมาจุติอยู่เบื้องหน้าอย่างไรอย่างนั้น
เจ้าอ้วนและพวกพ้องต่างก็ปากอ้าตาค้างกันไปตามกัน ก่อนนี้ได้คิดไปว่าการที่จะเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขั้นก่อโลหิตตอนปลายผู้หนึ่งย่อมคิดว่าหลงเฉินจะต้องตายตกไปอย่างแน่นอน
พี่หลง ช่างเก่งกาจเหลือเกิน!
สายตาที่จดจ้องอย่างไม่กระพริบของซือเฟิง เขานึกขึ้นได้ว่าหลงเฉินคอยช่วยหลอมโอสถให้ เหตุใดไม่ฟังคำของหลงเฉิน เอาร่างกายที่เขาช่วยสร้างขึ้นไปให้ผู้อื่นบดขยี้จนไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ยังดีที่มีเจ้าลิงผอมช่วยพยุงเอาไว้อยู่
ท่ามกลางสนามรบที่พังยับเยิน หลงเฉินยังคงเปล่งประกายรังสีสังหารออกมารอบด้านประดุจเพชฌฆาตที่กระหายโลหิตอย่างไรอย่างนั้น ในเวลาเดียวกันก็เหมือนกับกำลังถูกกัดกินเข้าไปถึงจิตวิญญาณ
ต่อให้เขาจะโง่งมไปมากกว่านี้ก็คงจะมองออกว่าความเยือกเย็นที่แผ่ออกมานั้นย่อมมาจากหลงเฉินอย่างไม่ต้องสงสัย อีกฝ่ายเพียงแค่หลอกใช้ตนเพื่อหลอกล่อให้หลงเฉินเข้าสู่กับดักที่ได้ตระเตรียมเอาไว้แล้ว
และหลงเฉินเองก็ทราบดีอยู่แล้วว่ากับดักนี้อาจทำให้เขามีโอกาสตายได้ถึงเก้าส่วน แต่ก็ยังไม่วายที่จะกระโดดเข้าไปเองอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย สิ่งนี้ได้ทำให้ชายชาติทหารที่เข็มแข็งดั่งเหล็กกล้าอย่างซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา
“ปึก”
แล้วก็มีเสียงปะทุดังขึ้นมาอีกครั้ง หลงเฉินตะโกนขึ้นมาเสียงก้องกังวานพร้อมกับพลังมหาศาลที่ไหลเวียนออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง จนทำให้หว่างซานต้องร่นถอยออกไปไกลด้วยร่างกายที่กำลังสั่นเทา
“หว่างซาน ถ้าหากวันนี้ข้าไม่อาจทำให้เจ้าหลั่งโลหิตภายในห้าก้าวได้ ข้าจะไม่ไปพบเจอกับแสงตะวันในวันพรุ่งนี้อีกเลย”
ซุ่มเสียงของหลงเฉินได้เสียดแทงเข้าไปยังก้นบึ้งของหัวใจของเขาเอง ลึกล้ำดั่งนรกชั้นที่เก้า พลันก็ได้ปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างท่วมทะลักจนเกิดคลื่นวายุเปลี่ยนสีขึ้นมารอบบรรยากาศ สั่นคลอนจิตใจของผู้คนทั้งหลายที่กำลังยืนมองอยู่อย่างไม่ละสายตา
“ชิ ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีพลังอันแกร่งกล้า แต่การฆ่าคนนั้นไม่ได้พึ่งพาแค่พลังอย่างเดียวเท่านั้น” หว่างซานหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา
“ทว่ามีอยู่หนึ่งข้อที่เจ้ากล่าวออกมาได้ถูกต้อง เจ้าจะไม่ได้เห็นแสงตะวันในวันรุ่งขึ้น นั่นก็เพราะว่าเจ้าจะต้องตายลงในค่ำคืนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย”
คำพูดของหว่างซานทำให้ผู้คนทั้งหมดได้สติขึ้นมา: การต่อสู้ของพวกเขาในครั้งนี้เพียงการประลองฝีมือของสองจักรวรรดิ แต่เป็นแผนการร้ายที่ตั้งเป้าไปที่หลงเฉินมาตั้งแต่แรกแล้ว
หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง แล้วก็ยื่นกำปั้นข้างหนึ่งซัดออกไปอย่างช้าๆ ทั่วทั้งร่างก่อเกิดการหมุนวนของสายลมขึ้นจนอาภรณ์คลุมยาวได้ปลิวไสวไปมาตามแรงลม เส้นผมสีดำเริงระบำอยู่บนศีรษะ ท่าทางของเขาในตอนนี้คล้ายกับมีเทพสงครามลงมาจุติอยู่ในร่าง
“เช่นนั้นก็ลองดู ว่าผู้ใดกันที่จะไม่ได้เห็นแสงตะวันในวันรุ่งขึ้น