“ข้ามาแล้ว”
หลงเฉินส่งเสียงทุ้มต่ำออกมา เปลวเพลิงที่ห่อหุ้มไปทั่วร่างก็ได้แผ่รัศมีออกไปไกลหลายจั่งจนเกิดไอร้อนระอุทยานสู่ห้วงบรรยากาศโดยรอบ ความแผดเผาได้เพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นอย่างมากมายมหาศาล
“ซูม”
ฝ่ามือข้างหนึ่งของหลงเฉินถูกกวาดออกไปด้วยความร้อนสูงผ่ากลางอากาศจนเกิดการสั่นไหวของคลื่นลม แล้วตรงดิ่งไปทางเบื้องหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว
หว่างซานตกตะลึงในเปลวเพลิงบนร่างของหลงเฉินอยู่นาน ภายในร่างกายกำยำนั้นบังเกิดความหวาดกลัวจนไม่อาจเอ่ยว่าจาใดออกมาได้ สายตาจ้องมองไปยังการโจมตีที่กำลังพุ่งเข้าหาตน พลันก็ได้ขยับเท้าทั้งสองเหวี่ยงตัวหลบจากฝ่ามือที่เดือดพล่านของหลงเฉินไปอย่างหวุดหวิด
แต่ทว่าขณะกำลังเหวี่ยงตัวหลบจวนจะพ้นจากฝ่ามือนั้นแล้ว ทันใดนั้นเองสายตาก็เหลือบไปเห็นรอยยิ้มเหยียดเกิดขึ้นที่มุมปากของหลงเฉิน หัวใจที่กำลังเต้นระรัวของเขาก็สัมผัสได้ทันทีถึงความอันตรายที่เพิ่มสูงขึ้นจนถึงขีดสุด
“แย่แล้ว”
หว่างซานเบิกดวงตากว้างขึ้นอย่างแตกตื่น ฝ่ามือข้างนั้นของหลงเฉินคล้ายกับจะเป็นกระบวนท่าที่ดูว่างเปล่า แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นการจู่โจมแบบสภาวะที่ไร้ซุ่มเสียง เพื่อรอคอยจนถึงเวลาที่เขาจะเหวี่ยงฝ่าเท้าข้างหนึ่งเตะเข้าที่ท้องน้อยของหว่างซานอย่างรุนแรง
“อา”
หว่างซานครวญครางออกไปเสียงดังด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว การโจมตีของหลงเฉินนั้นไม่ได้ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส แต่ด้วยเปลวเพลิงที่ลุกโชนกลับทำให้ร่างกายที่เต็มไปด้วยเส้นขนเหล่านั้นเกิดประกายเพลิงลุกโชนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
“แท้ที่จริงแล้วก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่หวาดกลัวในเพลิง”
หลงเฉินรู้สึกได้ใจขึ้นมาเสียยกใหญ่ ร่างกายของหว่างซานที่กลายร่างเป็นสัตว์ แม้จะได้รับพลังการสู้รบของสัตว์มายามาด้วยอย่างมากมายมหาศาล แต่ก็ยังมีจุดอ่อนเฉกเช่นสัตว์มายาตัวหนึ่งด้วยเช่นกัน
สัตว์มายาที่มีขนโดยมากแล้วนั้นจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกรงกลัวต่อเปลวเพลิง ด้วยเหตุนี้เพลิงปราณของหลงเฉินย่อมส่งผลกระทบต่อหว่างซานอย่างยิ่งยวด เปลวเพลิงบรรลัยกัลป์นั้นมีแต่จะทำให้จิตใจของเขาเกิดความหวาดกลัวอย่างล้ำลึกจนถึงก้นบึ้งของจิตใจ
ฝ่าเท้าข้างนั้นของหลงเฉินปะทุไปด้วยเปลวเพลิงอันร้อนระอุเพื่อที่จะใช้เป็นตัวจุดเพลิงไปยังขนสีเหลืองเข้มบนร่างของหว่างซาน พริบตาเดียวมีทั้งสองสิ่งเข้าสัมผัสกันก็เกิดกลิ่นเหม็นคล้ายขนนกไหม้โชยขึ้นไปท่ามกลางอากาศเป็นสาย
หลงเฉินมองไปยังหว่างซานที่เอาแต่ตบเปลวเพลิงบนร่างอย่างลุกลี้ลุกลนจนเปลวเพลิงเริ่มมอดดับลงไปเกือบทั้งหมดแล้ว จากขนสีเหลืองเข้มที่งอกเงยออกมาก็ได้กลับกลายเป็นเส้นสีดำ ไม่สง่างามเหมือนก่อน คล้ายกับสุนัขขี้เรื้อนสภาพจนตรอกตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
ฉากเบื้องหน้าที่ปรากฏอยู่ในแววตาของหวินฉีในตอนนี้ก็ได้ทำให้เขาผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งอย่างโล่งใจ หลงเฉินผู้นั้นสามารถค้นหาจุดอ่อนของหว่างซานได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ช่างน่ายกย่องยิ่งนัก
แต่ถึงอื่นทราบถึงจุดอ่อนเช่นนี้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด เพราะมีแต่เพียงหลงเฉินเท่านั้นที่สามารถรวมพลังเพลิงปราณขึ้นมาได้
“อา”
เส้นขนที่ไหม้เกรียมของหว่างซานเผยให้เห็นผิวหนังที่พุพองด้วยความร้อนสูงแต่ก็ไม่ถึงกับบาดเจ็บจนสาหัสมากมากนัก หว่างซานคำรามออกมาด้วยความเกรี้ยวกราดด้วยเหตุที่ว่าเขานั้นไม่อาจที่จะควบคุมเปลวเพลิงที่เกิดจากพลังชีวิตอันมหาศาลเช่นนี้ได้
เมื่อการต่อสู้ได้ดำเนินมาจนถึงตอนนี้แล้วก็ประจักษ์แก่สายตาแล้วว่าเพลิงปราณของหลงเฉินนั้นเป็นเสมือนตัวชี้วัดความเป็นตายของหว่างซานไว้ดั่งลูกได้ในกำมือ
ไม่ทันที่จะให้หว่างซานได้หยุดพักหายใจ หลงเฉินก็ได้ปะทุเปลวเพลิงทั่วร่างขึ้นมาอีกระลอกแล้วพลิกสองฝ่ามือร่ายรำท่วงท่าบางอย่างขึ้นมา จากนั้นก็พุ่งตัวออกไปหาหว่างซานอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด
“ตูมตูมตูม”
หลงเฉินร่ายรำออกมาด้วยความเร็วสูงสุด ฝ่ามือคู่นั้นถูกฟาดฝ่าอากาศออกไปติดต่อกันถึงสามครั้ง แววตาคู่คมของหลงเฉินเห็นหว่างซานเบี่ยงตัวหลบไปมาอย่างไม่คิดชีวิต ภายในใจของเขาจึงคิดที่จะแลกชีวิตเข้าไปในการโจมตีครั้งนี้
หว่างซานไม่อาจทราบถึงขีดจำกัดของพลังอันน่าหวาดกลัวเช่นนี้ของหลงเฉินได้ ได้แต่ใช้กรงเล็บอันแหลมคมทั้งสิบกวัดแกว่งไปมาเพื่อสร้างเส้นทางในการหลบหนีจากเพลงฝ่ามือที่กำลังบรรเลงเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้งอย่างหลงเฉิน
หลังผ่านพ้นเพลงฝ่ามือทั้งสามไปแล้ว หว่างซานสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่แปลกประหลาดบางอย่างที่อุ้งมือของเขา คล้ายกับว่าในตอนนี้มันไม่ใช่มือของเขา จนกระทั่งหว่างซานได้กลิ่นหอมหวนจากเนื้อที่ถูกย่างจนสุกจากมือของเขา
เมื่อครู่หลงเฉินคล้ายกับถูกกดดันให้หลบเลี่ยงจากคมเล็บไปทั่วสารทิศ แต่ก็สามารถพลิกผันสถานการณ์กลับมาได้อย่างน่าตกใจ เมื่อบัดนี้หว่างซานได้แต่ใช้มือกุมไปที่หัวที่กำลังมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้น เขาวิ่งกลับไปกลับมาอย่างร้อนรนจนไม่อาจโต้กลับมาได้อีก
เจ้าอ้วนและพวกพ้องต่างพากันโห่ร้องขึ้นมาด้วยความดีอกดีใจ ขอเพียงหลงเฉินสามารถจัดการหว่างซานได้ก็ย่อมได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน
“หว่างซานฆ่าเขาซะ”
เซี่ยฉางเฟิงผุดลุกขึ้นมาจากเก้าอี้พร้อมกับตะโกนออกไปด้วยเสียงดังกังวาน ความแข็งแกร่งของหลงเฉินนั้นอยู่นอกเหนือความคาดเดาของเขาไปไกลโพ้นจนน่าโมโหขึ้นมาจนถึงที่สุด
อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงความน่าหวาดกลัวของชายผู้หนึ่งที่มีพลังอย่างจำกัดของผู้หลอมโอสถ แต่กลับต่อสู้ประดุจผู้มีพรสวรรค์ในเชิงวิทยายุทธ์อย่างไร้ขีดจำกัดได้
หากบุคคลเช่นนี้ไม่ถูกเก็บเอาไว้เป็นตัวเบี้ยก็ต้องจัดการทิ้งเสีย เพราะเขากับหลงเฉินเปรียบเสมือนน้ำกับไฟ เป็นสภาวะที่ไม่อาจจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข ไม่ว่าจะด้วยวิธีการที่ชั่วร้ายถึงเพียงใดก็จะต้องให้หลงเฉินตายให้จงได้ ไม่เช่นนั้นแล้วเขาก็คงจะกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นแน่แท้
หว่างซานจ้องเขม็งไปที่เปลวเพลิงที่กำลังห่อหุ้มร่างของหลงเฉินเอาไว้อยู่ ภายในดวงตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังอย่างหาที่สุดไม่ได้ เขาคาดไม่ถึงว่าเพียงแค่การละเล่นเพื่อจะสังหารชายผู้หนึ่งจะกลับตาลปัตรจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ไปได้
“หลงเฉินเจ้าตายไปเสียเถิด”
ขณะนี้เซี่ยฉางเฟิงตะโกนออกคำสั่งจนดังกึกก้องเมื่อครู่นี้ หว่างซานก็ได้ส่งเสียงคำรามของอสูรร้ายกึงก้องไปทั่วเช่นกัน ทันใดนั้นเองบนท้องฟ้าก็ได้ปกคลุมด้วยบรรยากาศสีแดงชาดราวกับม่านโลหิตขึ้นมาอย่างช้าๆ ทั่วทั้งร่างกำยำนั้นก็ได้กลายเป็นสีแดงเข้มไปจนถึงดวงตาทั้งคู่อีกด้วย
“อะไรกัน?”
“วิชาโลหิตพิโรธเลยอย่างนั้นหรือ?”
“นี่มันบ้าเกินไปแล้ว”
สายตาทุกคู่ของเหล่าขุนนางจักรวรรดิเฟิงหมิงที่กำลังจ้องมองการต่อสู้อยู่ก็ได้เกิดอาการแตกตื่นขึ้นมา พวกเขาจดจำได้ดีถึงกระบวนท่าของหว่างซานที่กำลังใช้ออกมา
วิชาโลหิตพิโรธเป็นวิชาลับที่น่ากลัวอย่างถึงที่สุดชนิดหนึ่ง หากยอดฝีมือที่มีขอบเขตขั้นก่อโลหิตได้พานพบกับศัตรูที่แข็งแกร่งจนไม่อาจสู้ได้หรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่อาจจะต้องตายลงอย่างแน่นอนจึงจะตัดสินใจใช้กระบวนท่าอันมีอานุภาพทำลายล้างนี้ออกมา
เมื่อใช้วิชาโลหิตพิโรธออกมาแล้วก็เสมือนกับการเผาผลาญโลหิตทั่วทั้งร่างของผู้ใช้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับพลังการต่อสู้ที่เพิ่มสูงขึ้นนับพันเท่า
อีกทั้งจะถูกเผาผลาญพลังก่อโลหิตบริสุทธิ์จนแปรเปลี่ยนเป็นพลังอันมหาศาล ต่อให้ผู้ใช้มีชีวิตรอดกลับมาจากการต่อสู้ แต่ด้วยสิ่งที่ต้องแลกไปอาจทำให้ผู้ใช้ไม่อาจก้าวข้ามการฝึกยุทธ์ในขั้นต่อไปได้
ด้วยสภาวะเช่นนี้ถือได้ว่าพบเจอได้ยากหากไม่ถึงขั้นที่จนตรอกอย่างถึงที่สุด และแน่นอนว่าในขณะนี้หว่างซานก็เลือกใช้ออกมาแล้วเช่นกัน
ปรมาจารย์หวินฉีมองไปยังเหล่าขุนนางที่จ้องมองการต่อสู้ด้วยอารมณ์ที่เหมือนกับท่อนไม้จนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างสุดจะทน จักรวรรดิเฟิงหมิงนั้นไร้หนทางเยียวยาในด้านของการปรากฏตัวของอัจฉริยะ ไม่มีผู้ใดคิดจะออกหน้าให้หลงเฉินเลยด้วยซ้ำไป
ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะเป็นคนของจักรวรรดิเฟิงหมิง หรือที่ยิ่งไปกว่ายังเป็นถึงบุตรของขุนนางเจิ้งหยวนที่มีพลังฝีมืออันแข็งแกร่ง แต่หลงเฉินในตอนนี้กลับไร้ซึ่งฝ่ายสนับสนุนจากจักรวรรดิเฟิงหมิง
ขุนนางเจิ้งหยวนได้สร้างผลงานให้กับจักรวรรดิมาเนิ่นนานนับสิบปี ต่อสู้กับอริราชศัตรูที่เป็นเผ่านอกรีตที่เขตแดนของจักรวรรดิ หลั่งโลหิตเพื่อชาติบ้านเมืองได้อยู่อย่างสงบสุข
ถ้าหากบุตรชายของผู้กล้าหาญเช่นนั้นต้องมาตายอยู่ในจักรวรรดิ ทางราชวงศ์ไม่เกรงกลัวหรือว่าจะเกิดการก่อกบฏขึ้นมาจากสามัญชน? ทว่าเมื่อหวินฉีได้มองไปที่องค์ชายสี่และไทเฮาก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัยขึ้นมา เขาโน้มร่างกายไปทางด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อเตรียมพร้อมที่จะเข้าไปช่วยหลงเฉินในทุกเวลา
ท่วงท่าของหลงเฉินที่ปรากฏต่อทุกสายตาในวันนี้ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายอย่างลิบลับของปรมาจารย์หวินฉี ฉะนั้นเขาจึงไม่ยินยอมที่จะปล่อยให้หลงเฉินเกิดอันตรายถึงชีวิตอย่างแน่นอน
หลังจากหว่างซานใช้วิชาโลหิตพิโรธออกมาก็ได้กลายเป็นสัตว์อสูรโลหิตตนหนึ่งที่มีดวงตาสีแดงฉานจนความหวาดกลัวนั้นลึกล้ำจนเกาะกินกระดูกดำขอผู้ที่มองเห็นอยู่
หว่างซานตะโกนขึ้นมาเสียงดัง ตลอดทั้งร่างก็มีกลิ่นอายของโลหิตปกคลุมไปทั่วราวกับเป็นจุดบรรจบของมหาสมุทรสีแดงนับร้อยสาย บัดนี้ในร่างของเขาได้รวบรวมโลหิตไปอยู่ที่มือข้างขวาอย่างมหาศาล
เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น มือข้างขวาก็ขยายใหญ่ขึ้น ด้านบนฝ่ามืออัดแน่นไปด้วยพลังสภาวะเป็นชั้นๆ ของกล้ามเนื้อ พุ่งพลังกดดันอันมหาศาลออกมาเพื่อเข้าจับกุมหลงเฉินเอาไว้
“กรงเล็บหมาป่ามายา”
วินาทีนั้นที่หว่างซานพุ่งเพลงฝ่ามือออกมา ปรมาจารย์หวินฉีก็ได้ขยับร่างเล็กน้อยหวังจะทะยานร่างออกไปกลางลานประลอง
“หวินฉี เจ้าอย่าได้เข้าไปสอด”
เว่ยชางทะยานร่างออกไปขวางอยู่เบื้องหน้าของปรมาจารย์หวินฉีอย่างทันท่วงที เห็นได้ชัดว่ามีการเตรียมตัวอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว ชายหน้าเ**่ยวย่นผู้นั้นส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาอย่างเย็นชาพลางกางฝ่ามือปิดกั้นร่างของหวินฉีเอาไว้
หวินฉีทอประกายแววตาเย็นชาขึ้นมา แล้วฟาดฝ่ามือข้างหนึ่งออกไปจนทำให้เว่ยชางตื่นตกใจจนต้องถอยห่างออกไป
“ผัวะ”
ฝ่ามือของทั้งสองปรมาจารย์เข้าปะทะกัน เว่ยชางโอนเอนร่างไปมาด้วยแรงฟาดจากหวินฉี แต่ทว่าก็ยังพอจะต้านพลังฝ่ามือข้างนั้นเอาไว้ได้
ขณะที่สองฝ่ามือได้ประสานงานกัน ปรมาจารย์หวินฉีก็ชักสีหน้าในที เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบของฝ่ามือที่ตอนนี้ได้กลายเป็นสีดำไปแล้ว
“หวินฉี นี่คือฝ่ามือหยินซ่า (ฝ่ามือเย็นชั่วร้าย阴煞掌) รสชาติไม่เลวเลยใช่หรือไม่ หากยังมีข้าอยู่ในที่แห่งนี้ เจ้าก็อย่าได้คิดว่าจะเข้าไปได้เลย เจ้าเด็กน้อยผู้นั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน ฮาฮา” เว่ยชางหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ
ปรมาจารย์หวินฉีพยายามปิดกั้นอาการแตกตื่นให้จมหายลงไป พวกเขาทั้งสองนั้นมีความแค้นต่อกันมาหลายสิบปีแล้ว และไม่คิดว่าหลายปีที่ผ่านมา เว่ยชางจะมีพลังที่ก้าวหน้าไปมากถึงเพียงนี้ แม้ช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ก็ทำให้เขาไม่อาจที่จะทลายผนึกของเว่ยชางไปได้
“เฒ่าเสเพล เจ้าสิที่ต้องตาย”
เสียงเยาะเย้ยดังออกมาจากริมฝีปากของของหลงเฉิน
เมื่อพบว่าหว่างซานกำลังฟาดฝ่ามือเข้ามา หลงเฉินก็ได้สูดลมหายใจเข้าลึกฟอดหนึ่ง ภายในร่างเริ่มไหลเวียนพลังขึ้นมาถึงขีดสุด พลังที่ใช้สำหรับหนุนนำเพลิงปราณก็ไม่หลงเหลือเอาไว้ ประดุจปล่องภูเขาไฟที่มีเพลิงเหลวปะทุออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ฝ่ามือเมฆาเพลิง”
ทั่วทั้งร่างของหลงเฉินถูกสลายเปลวเพลิงหายวับไปจนสิ้น แต่ถูกชักนำไปรวมเอาไว้บนใจกลางของฝ่ามือ เมื่อเปลวเพลิงสีเหลืองเข้มได้ผนวกเข้ากับการก่อรวมพลังในระดับสูงก็ได้กลายเป็นสีแดงเข้มของสายโลหิตขึ้นมาสายหนึ่ง
“ตูม”
ผู้คนทั้งหมดต่างกุมมือไปยังปากที่กำลังอ้าค้างอยู่ ฝ่ามือของหลงเฉินได้ฟาดไปที่กรงเล็บอันแหลมคมของหว่างซานจนพลังกระทบกันจนเกิดการสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งฟ้าดิน เปลวเพลิงบางส่วนลอยระบำไปมาพร้อมกับไอร้อนของพลังที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
แม้แต่หวินฉีกับเว่ยชางยังต้องหยุดให้กับความเคลื่อนไหที่อยู่บนลานประลองในขณะนี้ เฒ่าทั้งสองคนต่างก็มีสีหน้าแตกตื่นไม่จากผู้คนโดยรอบเลย หลังจากที่ควันในอากาศเริ่มสลายลงไป พื้นที่เบื้องหน้าของทุกสายตาก็ได้กลับคืนสู่ภาวะปกติจนเผยให้เป็นวงล้อมกลมโตที่ถูกขยายใหญ่ขึ้น
การปะทะของทั้งสองพลังเมื่อครู่นี้ทำให้สองเงาร่างถอยแยกจากกันไปหลายคืบ พวกเขานอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ตลอดทั่วทั้งเขตลานประลองกลับมาเงียบสงบอีกครั้งหนึ่ง
“ผัวะ”
แล้วก็ได้มีเสียงดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบาจากเงาร่างหนึ่งที่กำลังขยับตัวอย่างช้าๆ ใบหน้าที่ไหลอาบไปด้วยสายโลหิตของหลงเฉินก็ได้โผล่ขึ้นมาจากพื้น ผมเผ้าบนศีรษะยุ่งเหยิง อาภรณ์ก็ฉีดขาดหลุดลุ่ยไม่เหลือชิ้นดี
หลงเฉินพยุงร่างที่คล้ายกับซากศพเดินไปทางหว่างซานอย่างช้าๆ ในขณะที่หว่างซานนอนแน่นิ่ง ดูไร้หนทางหลบหลีกเสียยิ่งกว่าเดิม ทั่วทั้งร่างกายของเขานั้นไหม้เกรียมไม่ต่างจากซากศพจนเผยให้เห็นกระดูกกระเดี้ยวที่อยู่ภายใน
การใช้วิชาโลหิตพิโรธออกมาได้ทำให้พลังการป้องกันของหว่างซานถูกลดทอนลงไปด้วย ฉะนั้นในการปะทะกันครั้งสุดท้ายนี้ก็เปรียบเสมือนกับการแลกชีวิตเข้าสู้ การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจึงหนักหน่วงมากกว่าของหลงเฉินอย่างไม่ต้องสงสัย
“ข้าเคยบอกไปแล้วว่าข้าจะทำให้เจ้าไม่อาจเห็นแสงตะวันของวันรุ่งขึ้นได้อีก” หลงเฉินยืนอยู่เหนือร่างของหว่างซาน แล้วกล่าวออกมาน้ำเสียงเย็นชา
หว่างซานพยายามที่จะกล่าวบางอย่างออกมา มือข้างหนึ่งกุมไปที่หน้าอก เขาพยายามพยุงตัวเองขึ้นมาอย่างเอาเป็นเอาตายแต่ก็ไม่อาจทำได้
“กล่าวอันใดไม่ออกก็เลยรู้สึกลำบากใจอย่างนั้นหรือ ผลตอบรับก็ช่างมาได้เร็วเสียจริง เจ้าที่ทำให้ผู้คนกล่าวอันใดไม่ออก แต่ขณะนี้กลับเป็นตัวเองเสียนี่” หลงเฉินแสยะยิ้ม
ก่อนหน้านี้หว่างซานได้ใช้ถ้อยคำที่กระตุ้นโทสะของหลงเฉินไปมากมาย ทั้งยังจงใจทำร้ายซือเฟิงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้หลงเฉินไม่อาจยอมแพ้ต่อการกระทำหยาบคายทั้งหมดได้
หว่างซานมองเข้าภายในดวงตาอันว่างเปล่าของหลงเฉิน ความรู้สึกหวาดกลัวถาโถมเข้ามายังจิตใจของเขาจนไม่อาจกล่าวอันใดออกมาได้อีกแล้ว
ถ้าหากเป็นเขาเมื่อหลายปีก่อนหน้าย่อมไม่เคยหวาดกลัวต่อความเป็นความตาย แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ที่ได้รับใช้เซี่ยฉางเฟิง เขาถูกเปิดหูเปิดตากับสิ่งที่อยู่ภายในโลกใบเดิมของเขา จนยังไม่อยากที่จะตายลงในตอนนี้
“คำขอร้องอ้อนวอนก็จงเก็บเอาไว้เถิด คนเฉกเช่นเจ้าไม่สมควรที่จะได้รับความเมตตาใดใด” หลงเฉินส่ายหน้าไปมาแล้วยกเท้าข้างหนึ่งขึ้น
“หลงเฉิน ปล่อยหว่างซานไป ข้ายินยอมจะมอบสิ่งของเพื่อชดใช้ให้เอง” เซี่ยฉางเฟิงไม่อาจทนเห็นลูกน้องที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองต้องมาตายลงเช่นนี้ จึงยอมหน้าด้านหน้าทนเอ่ยปากออกไปเช่นนั้น
“ออ? เจ้ามีสิ่งของใดที่ทำให้ข้ารู้สึกสนใจได้อย่างนั้นหรือ? ”หลงเฉินหันมายิ้มเยาะให้เซี่ยฉางเฟิง
เมื่อเซี่ยฉางเฟิงพบว่าเขานั้นยังมีหนทางก็ดีใจขึ้นมาเสียยกใหญ่ “เจ้าต้องการสิ่งใดก็รีบเอ่ยออกมา ขอเพียงข้ามี ย่อมตอบรับโดยไม่ลังเล”
หลงเฉินพยักหน้าไปมาแล้วยื่นหัวแม่โป้งข้างหนึ่งยื่นให้แล้วกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะน่าสนใจถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสแก่เจ้าสักครั้ง ส่งมอบชีวิตของเจ้ามาแล้วข้าจะปล่อยเขาไป”
เซี่ยฉางเฟิงคล้ายกับถูกตบเข้าไปที่ใบหูจนชาซ่านขึ้นมา ดวงตาทั้งสองจ้องมองไปที่หลงเฉินอย่างเอาเป็นเอาตาย “เจ้าคิดจะล้อเล่นกับข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ล้อเล่นกับเจ้านั้นไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมายก็คือ…เจ้า…ต้อง…ตาย” หลงเฉินเหยียดยิ้มกว้างขึ้นมาที่มุมปาก แล้วกล่าวออกมาทีละคำอย่างช้าๆ
กล่าวจบหลงเฉินก็ได้ยกเท้าเหยียบเข้าไปยังร่างของหว่างซานที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นอย่างรุนแรง จนเกิดรอยแยกแตกร้าวของพื้นไม้จนแหลกละเอียดเป็นผุยผง
ในขณะที่เท้าของหลงเฉินได้กระแทกไปที่กลางอกของหว่างซาน หลงเฉินก็รู้สึกขนลุกชันขึ้นมาในทันที เขาได้ยินเสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดของปรมาจารย์หวินฉีดังเข้ามายังโสตประสาท
“ชิ”
ลูกดอกสายหนึ่งกำลังพุ่งเป้าเข้ามาที่ข้างเอวของเขา .