“ชิ!”
ลูกดอกสายหนึ่งกำลังพุ่งเป้าเข้ามาที่ข้างเอวของหลงเฉิน หากเขารู้สึกตัวช้าไปกว่านี้เพียงแค่เสี้ยวเดียวอาจถูกลูกดอกนั้นปักเข้าไปอย่างแน่นอน
หลงเฉินที่กลิ้งล้มลงไปกับพื้นอยู่หลายตลบค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปยังลูกดอกที่บัดนี้ได้ปักอยู่บนน่องข้างซ้ายของหว่างซานจนจมมิดเข้าสู้กล้ามเนื้อ
จากนั้นเขาก็ได้ปรายตาไปมองที่ใบหน้าของหว่างซานที่อ้าปากตาค้างเหลือกอยู่ ดวงตาทั้งสองข้างไร้ซึ่งวี่แววของประกายแห่งชีวิตคล้ายกับดวงตาของปลาที่ตายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
กลิ่นเหม็นอับอย่างรุนแรงก็ได้โชยพัดออกมาเป็นระลอกจากน่องของหว่างซาน กลิ่นเหม็นนั้นคละคลุ้งอยู่ทั่วทั้งบรรยากาศอย่างรวดเร็ว เป็นครั้งแรกที่หลงเฉินพยายามที่จะปิดกลั้นลมหายใจ แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงอาการวิงเวียนภายในหัวจนรู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมา
“เป็นพิษที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง”
หลงเฉินตื่นตกใจขึ้นมาภายในใจอยู่ไม่น้อย ลูกดอกดอกนั้นอาบชโลมด้วยพิษที่ร้ายแรงและเกินพิกัด เพียงแค่ได้กลิ่นที่โชยพัดออกมาก็ยังเกิดอาการประหลาดขึ้นมาได้ แต่หลงเฉินเองก็ยังไม่อาจจะจำแนกได้ว่านั่นเป็นพิษชนิดใดกันแน่
ด้วยระดับความเข้มข้นของกลิ่นเช่นนี้ อย่างน้อยก็คงต้องมาจากพิษของสัตว์มายาระดับที่สามขึ้นไป ผู้ที่มีระดับน้อยกว่าขอบเขตขั้นก่อโลหิตคงไม่อาจที่จะมีชีวิตรอดจากพิษร้ายนี้ไปได้
“สามหาวนัก!”
เสียงตะโกนอันโกรธเกรี้ยวของปรมาจารย์หวินฉีดังขึ้นอีกครั้ง เขายื่นมือใหญ่ข้างหนึ่งที่มีหอกยาวเล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วพุ่งทะยานเข้าไปทางเว่ยชางอย่างรวดเร็ว
เมื่อเว่ยชางพบว่าหลงเฉินสามารถเอาชีวิตรอดจากกระบวนท่าของเขาได้ ก็อดเกิดอาการแตกตื่นขึ้นมาอยู่ไม่น้อยเลย และอีกฝั่งหนึ่งก็พบหวินฉีกำลังพุ่งโจมตีเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง เขาจึงรีบเก็บหน้าไม้ที่อยู่ในมือเอาไว้ในแหวนมิติ ลูกดอกอาบพิษเมื่อครู่ก็คงจะพุ่งออกมาจากที่นั่นอย่างไม่ต้องสงสัย
“ตูม!”
เว่ยชางตวัดข้อมือเพื่อเรียกกระบี่ยาวเล่มหนึ่งออกมาต้านหอกยาวที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่ลดละจนเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมาในปะรำพิธี ก่อเกิดเปลวเพลิงลุกโชนกระจายไปทั่วทั้งจตุรทิศ แผดเผาบริเวณโดยรอบจนผู้คนต่างหนีกันกระเจิดกระเจิง
หลงเฉินที่มีร่างกายทรุดโทรมในตอนนี้ กลับอยู่ในระยะที่ใกล้ที่สุดซึ่งห่างแค่เพียงสิบช่วงตัวก็ได้ถูกพลังปราณของสองปรมาจารย์ซัดกระเด็นออกไปไกลหลายจั่ง
ในขณะที่หลงเฉินกำลังจะล้มกลิ้งลงกับพื้นจากแรงซัดจนกระเด็นออกมาเมื่อครู่ ก็ถูกแส้เส้นหนึ่งที่แฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นหอมหวนโอบรัดร่างของเขาอยู่ กลิ่นหอมที่ลี้ลับนั้นเตะเข้ามาที่จมูกของเขาอย่างรุนแรง
“ฉู่เหยา”
หลงเฉินหันหน้ากลับมายังปลายแส้อีกข้างหนึ่งก็พบใบหน้าอันงดงามของฉู่เหยาที่เขาช่างคุ้นเคยกำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างไม่ละสายตา ฉู่เหยาค่อยๆ ปลดแส้แล้วร่างของเขาก็ได้เอนลงตรงตักของนาง
“หลงเฉิน…ต้องขอโทษด้วย เป็นข้าเองที่ทำร้ายเจ้า”
ฉู่เหยาร่ำร้องออกมาอย่างแผ่วเบา น้ำตาไหลรินอาบไปทั้งสองแก้ม นางทราบอยู่แก่ใจดีว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ของหลงเฉินย่อมต้องเกี่ยวข้องกับนางกว่าครึ่งส่วนทีเดียว
ถ้าหากไม่มีเรื่องของนางมาข้องเกี่ยวแล้วละก็ เป็นไปได้ว่าหลงเฉินคงจะไม่ทำสิ่งที่บ้าบิ่นถึงเพียงนี้ จนเกือบจะต้องทิ้งชีวิตไปอยู่นับครั้งไม่ถ้วน แค่คิดถึงสิ่งนั้นก็ยิ่งเจ็บปวดขึ้นในใจอย่างถึงที่สุด
“กล่าวเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า เจ้าตัวบัดซบเซี่ยฉางเฟิงนั่น ข้าเองก็ไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่แรกแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าเลย” หลงเฉินปลอบโยนหญิงสาวที่กำลังร้องไห้อยู่เบื้องหน้า
แค่คิดที่จะลุกขึ้นนั่งก็แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเพียงพอที่จะพยุงร่างขึ้นมา จึงทำได้แค่เพียงหนุนอยู่บนตักของฉู่เหยา พลันในภวังค์แห่งความคิดก็บังเกิดความฟุ้งซ่านขึ้นมามากมาย
“หลงเฉิน ข้าขอบใจเจ้ามาก” ฉู่เหยาทราบว่าหลงเฉินตั้งใจจะปลอบประโลมจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาคล้ายกับความเขินอายในตอนนี้กำลังแผ่ซ่านไปจนถึงดวงวิญญาณแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“ตูม”
จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมาจนหลงเฉินหลุดออกจากภวังค์แห่งความคิดอันว้าวุ่นของเขา หลงเฉินรีบหันไปมองยังต้นเสียงของแรงระเบิดเมื่อครู่นี้
แววตาของเขาสะท้อนภาพของปรมาจารย์หวินฉีที่เกาะกุมหอกยาวที่ห่อหุ้มด้วยเพลิงปราณเอาไว้ เขาทิ่มแทงหอกนั้นออกไปในระยะสามจั่งจนปรากฏเปลวเพลิงไฟสีแดงปะทุขึ้นมาทั่วร่าง ความรุนแรงของเพลิงนั้นได้ลุกโชนไปทั่วทิศอย่างร้อนแรง ฝนฟ้าอากาศโดยรอบแปรปรวนด้วยอานุภาพแห่งพลังที่น่าหวาดกลัว
กระบวนท่าที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านี้จะต้องมีพลังอยู่ในระดับปรมาจารย์หลอมโอสถเท่านั้นจึงจะสามารถใช้ออกมาได้——แปรสภาวะเพลิงปราณ (丹火化形) ปรมาจารย์หลอมโอสถโดยส่วนมากมักไม่ชมชอบการต่อสู้สักเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขานั้นจะอ่อนแอด้านการต่อสู้
ปรมาจารย์หลอมโอสถถือได้ว่ามีพลังการฝึกยุทธ์ที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงสามารถใช้เพลิงปราณได้ เพลิงปราณไม่ได้มีไว้เพียงใช้หลอมโอสถ หากใช้ในการต่อสู้ก็จะมีพลังทำลายล้างในระดับสูงด้วยเช่นกัน
สีหน้าของเว่ยชางดูเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที หลงเฉินสัมผัสได้ว่าเว่ยชางที่อยู่ในระดับปรมาจารย์หลอมโอสถเช่นเดียวกันนั้นมีเพลิงปราณที่แรงกล้ากว่า แต่หากเทียบจากความบริสุทธิ์แล้วถือว่ายังห่างชั้นจากปรมาจารย์หวินเกือบขั้นหนึ่ง
หลงเฉินอยากจะเอ่ยวาจาเย้ยหยันไปที่เว่ยชางอีกหลายคำ แต่ด้วยพลังการต่อสู้ที่อ่อนแอลงจากการใช้กระบวนท่าสุดท้ายก็ทำให้เขาสูญเสียพลังไปจนหมดสิ้น แม้แต่เรี่ยวแรงที่จะใช้สูดลมหายใจก็ยังแทบจะไม่หลงเหลือ
ศาสตราวุธในมือของหวินฉีและเว่ยชางต่างก็มีเพลิงปราณลุกโชนขึ้นมา ทุกครั้งที่ทั้งสองสิ่งเข้าปะทะกันก็จะบังเกิดเสียงดังคล้ายแรงระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงจนพื้นแผ่นดินและผืนฟ้าสั่นสะเทือนไปทั่ว บรรยากาศในตอนนี้ปกคลุมไปด้วยแรงกดดันอันอันมหาศาลที่ทำให้ผู้คนแทบจะหายใจไม่ออก
ชายแก่ทั้งสองต่างก็อยู่ในชนชั้นผู้นำของชุมนุมผู้หลอมโอสถของจักรวรรดิ อยู่ในจุดสูงสุดอันเป็นที่เคารพนับถือของผู้คน หากได้ลงมือต่อกรกันแล้ว อย่าว่าแต่เหล่ารุ่นเยาว์เลย แม้แต่เหล่าขุนนางเองก็ไม่อาจเอื้อมที่จะจดจ้องสายตามองไปโดยตรง
“เว่ยชาง เจ้ามีชีวิตอยู่มาก็หลายปีแต่ยังคงไม่มีความก้าวหน้าเช่นเดิม จงไสหัวไปเสียเถิด——หนามมังกรโลกันตร์!”
หวินฉีตะโกนจนท้องนภาสั่นไหว ในมือถือที่ถือหอกยาวอยู่ก็ได้จ้วงแทงออกไปด้านหน้า พุ่งผ่านสายลมจนเกิดความว่างเปล่าขึ้น พื้นดินที่หอกขยับผ่านก็ได้แตกออกเป็นเสี่ยว เปลวเพลิงเคลื่อนไหวดุจมังกรตัวหนึ่งกำลังแหวกว่ายอากาศที่อยู่เบื้องหน้า
เว่ยชางก็ได้ตะโกนออกมาเสียงดังด้วยเช่นกัน จู่จู่กระบี่ยาวที่อยู่ในมือก็กลายเป็นโล่เหล็กกล้าขนาดใหญ่เข้าปิดบังร่างกายของเขาเอาไว้ ทั้งหอกทั้งโล่ต่างก็ต้านทานพลังกันเอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย
“เพล้ง!!”
แรงระเบิดเกิดแสงเจิดจ้าขึ้นบนท้องฟ้า กลุ่มหมอกควันปกคลุมอย่างหนาแน่นทั่วทั้งบรรยากาศคล้ายกับถูกเผาไหม้ไปแล้วส่วนหนึ่งจนผู้คนมากมายต้องใช้มือป้องปิดไปที่จมูก
“หวินฉี เจ้ารอข้าก่อนเถิด”
ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งออกมาจากท่ามกลางเปลวเพลิงที่ลุกโชนไปเมื่อครู่ เงาร่างนั้นของเว่ยชางกำลังเดินโซซัดโซเซอยู่ก่อนที่จะทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่ง จากนั้นร่างของเขาก็ได้หายลับไปจากขอบฟ้ายามวิกาล
ราวกับคาดคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าผลลัพธ์จะต้องเป็นเช่นนี้ ปรมาจารย์หวินฉีจ้องมองไปยังร่างของเว่ยชางที่เพิ่งจะหายลับไปด้วยสายตาที่เย็นชา จากนั้นก็ได้หันหลังกลับไปนั่งยังเก้าอี้ตัวเดิมของตัวเอง
ตลอดทั่วทั้งสนามตกอยู่ในความเงียบงันราวกับป่าช้าในยามค่ำคืน ผู้คนบางส่วนมองไปยังฉู่เหยาที่กำลังประคองหลงเฉินขึ้นมาจากพื้น แล้วก็หันกลับไปมองยังใบหน้าที่ชาด้านของเซี่ยฉางเฟิงอีกครั้ง เป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดใจจนไม่ทราบว่าจะกล่าววาจาออกมาอย่างไรดี
สีหน้าของไทเฮาก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ออกนอกลู่นอกทางไปมากจนนางไม่อาจควบคุมได้ ทั้งที่นางนั้นคือผู้ปกครองของจักรวรรดิเฟิงหมิง แต่ก็ยังไม่อาจที่จะล่วงล้ำเข้าไปได้จัดการได้เลยแม้แต่น้อย
“หลงเฉินชนะ งานเทศกาลในปีนี้ก็ถือว่าจบสิ้นลงเสียที”
ไทเฮาประกาศผลลัพธ์ออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย เมื่อสิ้นเสียงนั้นผู้คนโดยรอบก็กลับคืนสู่ความคึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวทั่วทั้งเขตลานประลองก็มุ่งหน้าหลั่งไหลเข้าไปหาหลงเฉินประดุจสายธารที่เชี่ยวกราด
หลงเฉินเกิดอาการแตกตื่นขึ้นมาไม่น้อย เมื่อเห็นหญิงสาวนางหนึ่งยื่นดอกไม้จำลองชุดหนึ่งมาวางไว้บนศีรษะของหลงเฉิน
ขณะนี้หลงเฉินยังไม่ทันจะตั้งตัวอย่างมีสติ อีกทั้งกำลังคิดจะกล่าวบางอย่างออกไป ก็ได้มีหญิงสาวอีกเจ็ดแปดนางเดินเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง พวกนางไม่สนว่าหลงเฉินจะยินยอมหรือไม่แล้วนำดอกไม้จำลองที่ประดิษฐ์ขึ้นมาด้วยตัวเองคล้องไปที่คอของหลงเฉินอย่างรวดเร็ว
ฉู่เหยาส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาในขณะที่ยืนมองอยู่ทางด้านข้าง ดวงตาคู่งามเต็มเปี่ยมไปด้วยความขบขันกับร่างกายที่แข็งทื่อของหลงเฉินในตอนนี้
“นี่……”
บนร่างหลงเฉินเต็มไปด้วยดอกไม้จำลองที่คล้องสานกันไปทั่ว เรียกได้ว่ามากมายจนแทบจะไม่หลงเหลือพื้นที่ที่จะมองเห็นร่างกายของเขาได้เลย ขณะที่เขากำลังจะกล่าวบางอย่างต่อเหล่าหญิงสาวเหล่านั้น ทันใดนั้นท่ามกลางผืนฟ้าก็ได้มืดมิดลง ท้องฟ้าในสายตาของเขาได้เต็มไปด้วยพวงดอกไม้ที่ทับถมเข้ามาอย่างท่วมท้น
เมื่อมีหญิงสาวคนอื่นพบเห็นผู้คนมากมายรอบกายหลงเฉิน จนพวกนางเหล่านั้นไม่อาจที่จะเข้าไปหาได้ก็ได้แต่กรอกตาไปมาอย่างร้อนรนและไม่สบอารมณ์ พลันก็ได้นำดอกไม้วางเอาไว้บนมือของหลงเฉิน
เมื่อมีคนนำก็ย่อมมีคนตาม หญิงสาวนางอื่นจึงไม่ลังเลอีกต่อไปแทรกมุทะลุเข้ามาจากทางด้านหลัง เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นเองก็ได้มีดอกไม้จำลองนับร้อยทับถมร่างของหลงเฉินเอาไว้
ชายหนุ่มในจักรวรรดิเฟิงหมิงที่มีวิทยายุทธ์แกร่งกล้าย่อมน่าหลงใหล การบอกรักของหญิงสาวมีการแสดงออกที่ตรงไปตรงมา ด้วยเหตุนี้หลงเฉินก็พอจะทราบดีว่าฉู่เหยานั้นก็แสดงออกถึงความรักที่มีต่อเขามาโดยตลอด แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาอาจจะต้องมีผลกระทบต่อหลงเฉินอย่างแน่นอน
วีรบุรุษที่เข้มแข็ง มีน้ำใจ และหนักแน่น เพื่อคนที่รักและเหล่าพี่น้อง เผชิญหน้าอย่างหาญกล้ากับยอดฝีมือระดับพลังขั้นก่อโลหิต ชายหนุ่มผู้ดูถูกความเป็นตาย นั่นถือเป็นจิตวิญญาณเช่นไรกัน? สิ่งที่หลงเฉินแสดงออกมาได้ปรากฏต่อสายตานับหมื่นนับพันคู่จึงทำให้หญิงสาวมากมายเกิดความเข้าใจถึงความมีเกียรติของชายหนุ่มในความข้อนี้
หลงเฉินพยายามดีดตัวออกมาจากดงดอกไม้จำลองเหล่านั้นอย่างลำบาก เหล่าหญิงสาวรอบข้างก็ได้สลายหายไป แม้แต่ฉู่เหยาก็ไม่อยู่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน มีเพียงเจ้าอ้วนและพวกพ้องที่กำลังเดินเข้ามา เลยช่วยพยุงร่างของเขาขึ้นมาจากกองดอกไม้ที่ทับถมอยู่
“พี่หลง ท่านช่างเหนือความคาดหมายของข้าไปมากแล้ว” เจ้าอ้วนมีใบหน้าที่ตื่นตะลึง
ส่วนพวกพ้องคนอื่นก็ไม่ต่างกันมากเช่นกัน การกระทำของหลงเฉินในวันนี้คงจะกลายเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจต่อผู้คนมาหมายเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าเขานั้นมีระดับพลังยุทธ์ดุจเทพแห่งการต่อสู้ลงมาจุติ จนทำให้พวกพ้องของเขาเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาในจิตใจอย่างหาที่สุดไม่ได้
หลงเฉินก็ได้หัวเราะขึ้นมาน้อยๆ เขาหันหน้ามองออกไปโดยรอบก็พบว่าไทเฮา ขุนนางบริวารมากมาย เหล่าองค์ชาย และปรมาจารย์หวินฉีต่างไม่ได้อยู่ในปะรำพิธีแล้ว แม้แต่ฉู่เหยาก็เช่นกัน
“พี่หลง ช่วงที่ท่านได้ถูกรุมล้อมเมื่อครู่ องค์หญิงสามก็ถูกไทเฮาเรียกกลับไปแล้ว ข้าว่าสีหน้าของไทเฮาดูปั้นยากขึ้นมาไม่เบาเลย เกรงว่าในวันนี้องค์หญิงสามคงจะเจอเรื่องราวที่ยากจะผ่านพ้นไปได้” เจ้าลิงผอมเกิดความรู้สึกเป็นห่วง แล้วกล่าวขึ้นมา
ถ้าหากเป็นช่วงเวลาปกติแล้วพวกเขาย่อมไม่เคยที่จะถกเรื่องเกี่ยวกับทางราชวงศ์ขึ้นมาอย่างแน่นอน แต่ด้วยการกระทำของหลงเฉินก็ได้กระตุ้นจิตใจของพวกเขาให้ห้าวหาญไปด้วย
การมาเยือนเฟิงหมิงในครั้งนี้ขององค์ชายแห่งต้าเซี่ย มีเป้าหมายคือการสู่ขอองค์หญิงสาม ถึงแม้ข่าวลือเรื่องนี้จะยังไม่ถูกป่าวประกาศออกไป แต่ก็แว่วมาว่าไทเฮาได้ตอบรับคำขอไปเรียบร้อยแล้ว
และในวันนี้ที่องค์หญิงสามได้แสดงอาการอย่างรักใคร่ต่อหลงเฉินออกไปอย่างเปิดเผย เรื่องเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อไทเฮาและเซี่ยฉางเฟิง ไม่แปลกใจเลยที่ไทเฮาจะมีสีหน้าที่ปั้นยากขึ้นมาได้
แต่หลงเฉินนั้นมีป้ายคาดเอวของปรมาจารย์หวินฉี แต่ว่าปรมาจารย์หวินฉีนั้นเป็นผู้นำของชุมนุมผู้หลอมโอสถจึงย่อมไม่อาจสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในราชวงศ์ได้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ที่เจ้าลิงผอมและพวกพ้องจะเป็นห่วงก็เป็นเรื่องที่ปกติแล้ว พอได้ยินมาจนถึงตรงนี้หลงเฉินที่เพิ่งจะยินดีปรีดากับชัยชนะ กลับมีใบหน้าสลดลงในชั่วพริบตาเดียว
ทว่าหลงเฉินกลับไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย เกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้ย่อมมีรับและเสียบางอย่างไป อีกทั้งการสารภาพรักต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ ต่อให้เขาตายไปก็ใช่ว่าจะสามารถรับผิดชอบนางได้
เหล่าผู้คนต่างก็ได้เดินจากบริเวณนั้นไปจนหมดสิ้นแล้ว คงเหลือแต่เพียงเหล่าทหารส่วนหนึ่งที่กำลังเก็บกวาดเศษความพังพินาศของงานอยู่ ส่วนศพของหว่างซานนั้นก็ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปก่อนหน้านี้แล้ว
“ไปเถิด กลับกันก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที ซือเฟิง…อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” หลงเฉินกล่าวถามออกไปเมื่อถูกเจ้าลิงผอมพยุงร่างเอาไว้
“ข้าไม่เป็นไร หลงเฉิน ข้า……” ซือเฟิงเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขาที่ใจร้อน หลงเฉินก็คงจะไม่ต้องขึ้นไปประลองจนเกือบต้องทิ้งชีวิตไป
“สหายกันไม่จำเป็นที่จะต้องกล่าววาจาไร้ประโยชน์อันใดออกมาหรอก เจ้าก็ดูแลอาการบาดเจ็บให้ดี แล้วหมั่นฝึกฝนให้พลังเพิ่มพูนแล้วค่อยกลับมาล้างแค้นเถิด” หลงเฉินโบกมือไปมาแล้วกล่าว
“ล้างแค้น? หว่างซานได้ตายไปแล้วไม่ใช่หรือ?” เจ้าอ้วนถามออกมาด้วยความสงสัย
หลงเฉินแสยะยิ้มขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร พวกพ้องต่างก็อดที่จะประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ ที่หลงเฉินกำลังคิดอยู่นั้นก็คือ… ?
“เอาละ พวกเจ้าไปส่งข้าและซือเฟิงก่อน พวกข้าจำเป็นที่จะต้องเข้ารักษาอาการบาดเจ็บอีก หากว่าไปตามความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้ข้ารู้สึกได้ว่ากระดูกของข้านั้นใกล้จะแตกเป็นเสี่ยงแล้ว” หลงเฉินหัวเราะร่าขึ้นมาอย่างสดใส
พวกเขารีบเข้าไปพยุงที่ร่างของหลงเฉินเอาไว้ หลงเฉินได้ใช้พลังออกไปมากจนเกินไป ตลอดทั้งร่างกายก็เลยแทบจะไม่หลงเหลือพลังปราณเอาไว้เลย
เมื่อพวกเขาทั้งหมดได้เดินจากออกไปไกลห่าง ก็ได้มีเงาร่างของผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังแล้วจ้องมองออกไปด้วยสายตาที่เย็นเยียบจากมุมหนึ่ง เงาร่างนั้นกล่าวพึมพำกับตันเองว่า
“ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง หลงเฉินเติบโตไปจนถึงระดับนี้ได้ แท้ที่จริงแล้วเขานั้นเก็บซ่อนความลับเช่นนี้มาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ?”
คนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่นไกล เขาก็คือองค์ชายสี่นั่นเอง พลังทั้งหมดของหลงเฉินที่ได้ปะทุออกมาอย่างมากมายมหาศาลในวันนี้ช่างอยู่เหนือความคาดหมายของผู้คนทั้งหมดรวมกับไปถึงเขาด้วย
“ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงคงจะลึกล้ำมากเกินไปแล้ว” องค์ชายสี่รู้สึกแปลกใจขึ้นมาเต็มประดา
“นายท่าน ต้องการที่จะจับตาดูต่อไปหรือจัดการทิ้งดีขอรับ?” ด้านหลังขององค์ชายสี่มีเงาของชายผู้หนึ่งส่งเสียงขึ้นมารบกวน
“อย่าได้รีบร้อนไป แม้ว่าวันนี้เขาจะทำให้ข้าแปลกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย แต่จุดอ่อนของเขาก็เปิดเผยออกมาแล้วเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งสักเพียงใดก็ย่อมต้องมีจุดอ่อน
แม้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะผิดแผกไปจากที่ได้คาดการณ์ไว้ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีไปเสียหมด เขายังสามารถใช้เป็นประโยชน์ได้ อาจทำให้พวกเราได้รับผลพวงอันไม่คาดฝันไปด้วยก็เป็นได้” องค์ชายสี่แสยะยิ้มขึ้นมาด้วยความได้ใจ
ในวันนี้หลงเฉินนั้นไม่ได้กลับไปที่จวน เพียงแต่ฝากให้เจ้าลิงผอมส่งข่าวกลับไปว่าเขานั้นได้ติดตามปรมาจารย์หวินฉีไปยังชุมนุมผู้หลอมโอสถเพื่อร่ำเรียนวิชาหลอมโอสถอยู่พักหนึ่ง
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ถือว่าหนักหนาสาหัสจนเกินไป หลงเฉินจึงไม่คิดที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับมารดาด้วยสภาพที่ไม่ต่างจากศพเดินได้เช่นนี้ หากว่ามารดาได้เห็นเข้าคงจะต้องเป็นลมล้มทับไปอย่างไม่ต้องสงสัย
หลงเฉินเดินทางไปยังจวนของซือเฟิง ซือเฟิงมีกระดูกแตกหักอยู่หลายส่วน อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บไปจนถึงภายใน แต่ด้วยโอสถของหลงเฉินก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอันใดจนรักษาไม่ได้
กระดูกที่แตกหักไปนั้นอาจจะต้องพักรักษาตัวอยู่หลายวันแล้วก็จะดีขึ้นเอง ถึงแม้ว่าซือเฟิงจะพ่ายแพ้ แต่ทว่าก็ได้ไม่ส่งผลเสียแต่อย่างใดต่อเส้นทางในการเติมโตของเขา หากจะเป็นยอดฝีมือ อย่างไรเสียก็ต้องผ่านพ้นความยากลำบากอยู่แล้ว
บิดาของซือเฟิงได้จัดเตรียมห้องหับที่เงียบสงบให้แก่หลงเฉินหลังหนึ่ง เมื่อซือเฟิงได้กลับไปที่จวนใหญ่แล้ว บัดนี้พลังปราณของหลงเฉินก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาแล้วส่วนหนึ่ง
หลงเฉินลูบไปที่แหวนมิติอย่างช้าๆ แล้วนำเอาขวดหยกขวดหนึ่งออกมา ภายในนั้นมีความเคลื่อนไหวของเปลวเพลิงที่มีไอร้อนขึ้นมาอยู่สายหนึ่ง
หึหึ ช่างล้ำค่า ข้าไม่อาจอดใจรอจนถึงฟ้าสางเลย! . .