“ผัวะ”
โต๊ะตัวหนึ่งถูกฟาดไปที่กำแพงห้องจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ใบหน้าของเซี่ยฉางเฟิงเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แววตาคู่นั้นช่างแสนจะดุร้าย เขากัดฟันแน่นแล้วกล่าวออกมาว่า
“หลงเฉิน! หลงเฉิน! ถ้าหากไม่ได้สับเจ้าเป็นหมื่นชิ้น อย่าเรียกข้าว่าเซี่ยฉางเฟิง!!”
งานเทศกาลโคมไฟในครั้งนี้ได้ทำให้เขาเสียหน้าไปหลายยก ยิ่งไปกว่านั้นคือการสูญเสียลูกมือคนสำคัญอย่างหว่างซานไปที่แทบจะทำให้เขาอยากจะฆ่าหลงเฉินให้ตายคามือไปเสียเดี๋ยวนั้น
ตามแผนการที่เขาได้ว่างไว้ก่อนหน้านี้ช่างแตกต่างจากความเป็นจริงอยู่หลายขุม ที่น่ากังวลใจที่สุดคือหลงเฉินยังมีชีวิตรอดปลอดภัยซึ่งผิดกันกับหว่างซาน ส่วนเว่ยชางนั้นก็ได้สูญเสียสัตว์เพลิงอันล้ำค่าไปอีก
ความผิดพลาดในครั้งนี้ช่างยิ่งใหญ่เกินจะรับไหว คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นหลงเฉินที่ได้รับชัยชนะ โทสะของเขาที่พุ่งพล่านขึ้นมาอย่างเดือดดาลจึงถูกระบายออกมาด้วยการทำลายข้าวของไปทั่ว
ภายในห้องที่เซี่ยฉางเฟิงพำนักอยู่นั้นก็ยังมีชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งอยู่ที่นั่นด้วย เขาน่าจะอายุราวยี่สิบกว่าปี สวมอาภรณ์คลุมยาวสีขาว แสดงทีท่าราวกับว่ามองไม่เห็นเซี่ยฉางเฟิงที่กำลังระเบิดบันดาลโทสะออกมาอย่างบ้าคลั่ง สนใจเพียงแค่การชงชาสมุนไพรอยู่อย่างสงบ
ท่าทีที่สงบเสงี่ยมเช่นนั้นก็ได้ทำให้เซี่ยฉางเฟิงที่โมโหร้ายอยู่นั้นเริ่มจะสงบลงอย่างช้าๆ เขารีบยกมือคล้ายกับขอขมาแล้วกล่าวออกไปว่า “พี่โล้ว หลงเฉินผู้นั้นช่างน่าชังจนเกินไป ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่โล้วจะสามารถชำระความแค้นในครั้งนี้ให้ข้าได้สำเร็จ”
ชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวผู้มีนามว่าพี่โล้วนั้น ค่อยๆ วางถ้วยชาในมือลง แล้วกล่าวน้ำเสียงราบเรียบออกมา “ฉางเฟิง เจ้าทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก เพียงแค่ขยะชิ้นเดียวกลับทำให้เจ้าสูญเสียความเยือกเย็นไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
อย่างมากที่สุดแล้วชายผู้นั้นก็คงเป็นได้แค่กุ้งฝอยตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้นเจ้าต้องระลึกถึงเป้าหมายในการมายังเฟิงหมิงในครั้งนี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ ด้วยเรื่องเล็กน้อยที่เหมือนกับการเด็ดขนไก่เช่นนี้ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่โต สิ่งนั้นจะคุ้มเสียอย่างนั้นหรือ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
แต่ขณะที่กล่าวมาจนถึงประโยดท้าย ชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวผู้นั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าการกระทำของเซี่ยฉางเฟิงในครั้งนี้ทำให้เขาเกิดอาการคิดไม่ตกอยู่มากทีเดียว
เซี่ยฉางเฟิงได้ฟังวาจาจากชายหนุ่มผู้นั้นก็เกิดอาการแตกตื่นขึ้นมา เขานั้นใช่เพียงอารมณ์แค้นเคืองที่มีต่อหลงเฉินจนลืมเป้าหมายที่แท้จริงไปจนหมดสิ้น จู่จู่หยาดเหงื่อก็หลั่งออกมาด้วยความตื่นตระหนก
“ขอบคุณพี่โล้วที่ชี้แนะข้า ศิษย์น้องได้กระทำความผิดอันใหญ่หลวงยิ่งนัก” เซี่ยฉางเฟิงก็โน้มตัวลงคำนับอย่างรวดเร็วพร้อมกับตะเบ็งเสียงอย่างขึงขัง
ชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวยิ้มขึ้นที่มุมปากเล็กน้อยแล้วตอบกลับไปว่า “การจะทำการใหญ่จำเป็นที่จะต้องอดกลั้นต่อสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปอย่างใจนึก หากว่าเจ้ายิ่งกระวนกระวายก็จะยิ่งทำให้เสียเรื่อง
ยิ่งไปกว่านั้นแผนการของพวกเราก็ได้เตรียมการมานานหลายปี อีกทั้งองค์หญิงสามที่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นของเจ้า ลองคิดดูว่าเจ้าหนูหลงเฉินผู้นั้นต้องลำบากมานานแค่ไหนกว่าจะสามารถกระทำเรื่องเช่นนี้ให้สำเร็จได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะสะใจยิ่งกว่าอย่างนั้นหรือ?”
เซี่ยฉางเฟิงทอแววตาประกายเจิดจ้าขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “พี่โล้วยังคงมองการณ์ไกลไปจนถึงภายภาคหน้ามาโดยตลอด ศิษย์น้องรู้สึกละอายแก่ใจยิ่งนัก”
“เจ้าพะวงจนวุ่นวายใจจนเกินไป ฉู่เหยานั้นมีสิริโฉมที่งดงามประดุจนางฟ้านางสวรรค์ลงมาจุติ ความสวยงามดั่งดอกไม้แรกแย้มเฉกเช่นนั้นก็คงไม่มีชายใดต้านทานเอาไว้ได้
ขนมอังกู๊ของฉู่เหยาย่อมต้องเป็นของเจ้าอย่างแน่นอน ฉางเฟิง…หากเจ้าได้ครอบครองสาวงามนางนั้นแล้ว พอจะให้พี่ชายอย่างข้าได้เชยชมบุปผางามด้วย ได้หรือไม่” ชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวมองไปที่เซี่ยฉางเฟิงแล้วหัวเราะออกมา
*ขนมอังกู๊ 红丸หมายถึงพรหมจรรย์
เซี่ยฉางเฟิงชักสีหน้าเล็กน้อยหลังจากได้ยินวาจาหยาบโลนของศิษย์พี่ แต่ทว่าก็ได้ปั้นหน้ากลับคืนดังเดิมอย่างรวดเร็ว พร้อมกับแสร้งฉีกยิ้มแล้วกล่าวออกไปว่า “แม้ว่าศิษย์น้องจะชมชอบหญิงสาวที่งดงาม แต่หลังจากที่แผนการสำเร็จแล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องมีส่วนของพี่โล้วอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ฉางเฟิง เจ้าคงจะไม่ได้รู้สึกแย่กับข้าขึ้นมาหรอกนะ” ชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวรินน้ำชาแล้วเป่าปากไปที่แก้วชาอยู่หลายครั้งก่อนจะกล่าวออกมา
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน พี่โล้วเป็นศิษย์พี่ร่วมสำนัก ศิษย์น้องอย่างข้ายังต้องให้พี่โล้วคอยชี้แนะอยู่อีกตั้งมากมาย” เซี่ยฉางเฟิงรีบพ่นวาจาออกไปในทันที
ชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวหัวเราะร่าขึ้นมาอย่างพึงพอใจ “เยี่ยมมาก! นี่สิชายชาตรีผู้ยิ่งใหญ่ ยืดหยุ่นได้ทุกเมื่อ ไม่เช่นนั้นจะทำการใหญ่ได้อย่างไรกัน?
วางใจเถิด ขอเพียงจัดการเรื่องราวทั้งหมดตามแผนการได้สำเร็จ ตำแหน่งศิษย์สายนอกผู้หนึ่ง ย่อมไม่หลุดมือเจ้าไปอย่างแน่นอน”
“ขอบคุณพี่โล้ว” เซี่ยฉางเฟิงบังเกิดความรู้สึกยินดีขึ้นมายกใหญ่ ความไม่สบายใจเมื่อครู่นี้ก็ได้สลายหายไปในบรรยากาศทันที
ชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวพยักหน้าไปมาแล้วกล่าวว่า “แต่เจ้าต้องระมัดระวังเอาไว้ให้ดี อย่าได้เดินหมากจนเกิดเสียงกระทบกัน ไม่เช่นนั้นแม้แต่ประโยชน์ที่จะไม่ได้รับคืนกลับมาแล้ว ยังอาจมีโทษจากเบื้องบนอีกด้วย เกรงว่าเจ้ากับข้าคงไม่สามารถรอดพ้นไปได้ทั้งคู่”
“พี่โล้วโปรดวางใจ ศิษย์น้องได้เตรียมการจนสำเร็จกว่ายี่สิบส่วนแล้ว ย่อมไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาอย่างแน่นอน” เซี่ยฉางเฟิงตบฝ่ามือข้างหนึ่งเข้าไปที่หน้าอกเพื่อเป็นการยืนยันในคำพูด
“อือ เช่นนั้นก็ดี สถานะของข้าไม่อาจที่จะถูกเปิดเผยได้ ฉะนั้นพึงระวังเอาไว้ให้ดี เพราะว่าข้านั้นไม่อาจที่จะลงมือได้
เจ้าคงจะต้องเร่งมือหน่อย จะได้มีแผนการที่แน่นอนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จงจำเอาไว้ว่าการดำเนินแผนการยิ่งน้อยก็จะยิ่งดี และทางที่ดีที่สุดก็คืออย่าได้ทำให้อาวุธของทหารต้องแปดเปื้อนคราบโลหิต” ชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวกำชับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ขณะนี้แผนการหลายส่วนก็ดำเนินไปจวนจะจบสิ้นแล้ว จักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงต่างก็อยู่มีกำมือของพวกเราแล้วกว่าครึ่ง แต่ทว่ายังมีปัญหาที่ยากจะผ่านพ้นไปได้อยู่ข้อหนึ่ง
นั่นก็คือขุนนางเจิ้งหยวนหลงเทียนเซียวที่ไม่ยอมเข้าร่วมกับจักรวรรดิมาตั้งแต่แรกแล้ว ชายผู้นั้นไม่ติดกับจากทั้งไม้แข็งและไม้อ่อน เรียกได้ว่าหัวรั้นจนผู้คนต่างก็ปวดเศียรเวียนเกล้าไปด้วยกันทั้งหมด อีกทั้งกองกำลังทหารแห่งเฟิงหมิงก็ใต้อาณัติของเขากว่าหนึ่งในสาม ถ้าหากไม่จัดการหลงเทียนเซียวผู้นั้นเสีย เกรงว่าจะเกิดผลกระทบต่อพวกเราอย่างมากมายเป็นแน่” เซี่ยฉางเฟิงกล่าว
“หลงเทียนเซียว? หลงเฉิน? พวกเขามีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน?” ชายหนุ่มชุดขาวถาม
“บิดาและบุตร”
“เจ้าโง่!! เขาเป็นบุตรของขุนนางเจิ้งหยวน นั่นก็ถือเป็นไพ่ตายใบหนึ่งแล้ว การจะควบคุมไพ่ตายใบนี้ของขุนนางเจิ้งหยวน เจ้ายังคิดจะสังหารเขาอยู่อีกอย่างนั้นหรือ?” ชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวตะโกนออกมาด้วยความเหลืออด
เซี่ยฉางเฟิงได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ เขาทราบอยู่แก่ใจแล้วว่าหลงเฉินเป็นไพ่ตายใบหนึ่ง แต่เพราะเขาไม่อาจที่จะทนเห็นฉู่เหยานั้นเอาแต่ชายตามองไปยังหลงเฉินได้
“เจ้าเกือบจะทำให้เกิดเรื่องที่เลวร้ายเสียยิ่งกว่าเดิมไปแล้ว ในตอนนี้เจ้าไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกับหลงเฉิน แต่จงไปเสาะหาเบื้องลึกเบื้องหลังของหลงเฉินและตระกูลหลงกลับมาให้ข้า” ชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวมอบหมายหน้าที่ใหม่
“ขอรับ”
เซี่ยฉางเฟิงพยักหน้าไปมาอย่างว่าง่ายแล้วก็เดินออกจากห้องนั้นไป เมื่อร่างเงานั้นหายลับไปจากลานสายตาแล้วชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวก็ได้สบถออกมาสองพยางค์ว่า
“เศษสวะ”
……
หลงเฉินเดินทางมายังชุมนุมผู้หลอมโอสถอีกครั้ง เดิมทีแล้วเหล่าผู้หลอมโอสถต่างก็ไม่เป็นมิตรกับเขามากนัก แต่บัดนี้กลับแสดงกิริยาท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยความนอบน้อมและมีมารยาทขึ้นมาจนน่าขนหัวลุก
การประลองหลอมโอสถของหลงเฉินเมื่อวันวานได้กลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งจักรวรรดิ ยิ่งอีกฝ่ายนั้นอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบกว่าทั้งฝีมือและวัตถุดิบ แต่กลับได้รับชัยชนะอย่างเหนือชั้นจนทำให้ผู้คนทั้งหลายต่างตกตะลึงกับความสามารถเช่นนั้น
หลงเฉินที่มีอายุยังไม่ครบสิบหกปีบริบูรณ์ แต่กลับก้าวหน้าจนอยู่ในระดับชนชั้นศิษย์หลอมโอสถ (丹徒)ได้ ผู้คนที่พบเห็นเขาเดินผ่านต่างก็เข้าหาไม่หยุดหย่อน แม้ไม่คิดที่จะกล่าวทักทายแต่ก็ไม่แสดงกิริยาหรือภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อหน้าหลงเฉินเลยสักคน
กับการเปลี่ยนแปลงของผู้คนอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้หลงเฉินวางตัวไม่ถูกด้วยเช่นกัน เขาไม่ทราบว่าสมควรจะทำตัวเช่นไรจึงจะเหมาะสมกับคนเหล่านั้น จากนั้นเขาก็สอบถามจนทราบว่าปรมาจารย์หวินฉียังพักรักษาตัวอยู่ภายในห้องส่วนตัวอยู่ หลงเฉินจึงมุ่งตรงไปยังห้องพักนั้นทันที
“เข้ามาเถิด”
หลงเฉินยืนอยู่ที่หน้าประตู ยังไม่ทันที่เคาะออกไปกลับมีเสียงที่โรยแรงของปรมาจารย์หวินฉีได้เรียกขึ้นมาจากด้านในเสียก่อน
เมื่อหลงเฉินเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง เขาก็พบว่าปรมาจารย์หวินฉีกำลังนั่งสมาธิ ที่เบื้องหน้านั้นมีถ้วยใบหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ ภายในถ้วยมีน้ำสีทมิฬที่ส่งกลิ่นเหม็นลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งบรรยากาศห้องจนหลงเฉินแทบจะป้องปิดจมูกเอาไว้ไม่ทัน
“ฝ่ามือของเว่ยชางนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังหยิน อีกทั้งยังมีพลังทำลายล้างที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่ทว่าก็กระทบเพียงซีกขวาเท่านั้นจึงไม่ส่งผลเสียอันใดมากมาย” หวินฉีจ้องมองไปยังน้ำสีทมิฬที่อยู่เบื้องหน้าของเขา ใบหน้าเ**่ยวย่นนั้นดูไม่กังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งตรงกันข้ามกับหลงเฉินในตอนนี้
“ท่านปรมาจารย์ มือของท่านเป็นอะไรไป?” หลงเฉินถามออกไปด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลอย่างถึงที่สุด
เมื่อครั้งก่อนในเทศกาลโคมไฟ ขณะที่หวินฉีได้ใช้ฝ่ามือเข้าปะทะกับเว่ยชางอยู่นั้นก็ได้ถูกอีกฝ่ายถ่ายทอดพลังหยินเข้ามาทำให้เขาได้รับพิษของพลังหยินจากฝ่ามือของเว่ยชางไปด้วย
“ผ่านพ้นไปหนึ่งคืนจนในที่สุดก็สามารถบีบคั้นมันออกมาได้จนหมดสิ้นแล้ว” หวินฉีหัวเราะออกมาเบาๆ
“ใช้เวลาถึงหนึ่งคืนอย่างนั้นหรือ?”
หลงเฉินแปลกประหลาดใจขึ้นมา ปรมาจารย์หวินฉีที่มีทั้งพลังอันแสนลึกล้ำ ทั้งเพลิงปราณที่เฟื่องฟูมหาศาลถึงเพียงนี้ ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งคืนจึงจะสามารถสลายมันไปได้
“เจ้าไม่ต้องตกใจไป ฝ่ามือของเว่ยชางนั้นเต็มไปด้วยพิษของพลังหยินย่อมมีผลกับเพลิงปราณนั้นด้วยเช่นกัน หากไม่สามารถควบคุมเอาไว้ได้อย่างเหมาะสม
ถึงแม้ว่าข้าจะใช้เวลาทั้งคืนเพื่อกำจัดพิษ แต่ทว่าเว่ยชางคงจะต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนเพื่อที่จะสลายสภาวะของพิษ และบัดนี้ร่างซีกขวาของข้าก็ไม่ได้มีสิ่งเจือปนอันใดแล้ว” ปรมาจารย์หวินฉีอธิบายออกมา
หลงเฉินเข้าใจขึ้นมาในทันที เว่ยชางเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถ แต่กลับมีเพลิงปราณอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นเขาจึงได้ฝึกฝ่ามือพลังหยินขึ้นเพื่อใช้เป็นทักษะยุทธ์ไว้ควบคุมปรมาจารย์หลอมโอสถคนอื่นๆ แทน
การอยู่ในสถานะปรมาจารย์หลอมโอสถ แต่กลับไม่ฝึกพลังเพลิงปราณให้ถึงแก่นแท้ แต่กลับหันเหความสนใจให้กับการฝึกฝนฝ่ามือพิษแทน จึงไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเขาจึงถูกปรมาจารย์หวินฉีเหยียดหยามดูแคลนถึงเพียงนั้น
“ว่าแต่อาการบาดเจ็บของเจ้าดีขึ้นแล้วอย่างนั้นหรือ?” ปรมาจารย์หวินฉีกล่าวออกมาด้วยความสงสัยเมื่อเห็นร่างกายของหลงเฉินเสมือนกับไม่เคยผ่านศึกใดมาก่อน
“เหอะเหอะ เด็กหนุ่มอย่างข้ามีเนื้อหนังที่หยาบกระด้างยิ่งนัก พักผ่อนเพียงแค่คืนเดียวก็หายแล้ว” หลงเฉินหัวเราะร่าแล้วตอบกลับไป
ปรมาจารย์หวินฉีมองไปที่หลงเฉินอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เดิมทีข้าได้แต่หวังว่าเจ้าจะมีจิตใจมุ่งเน้นสู่เส้นทางแห่งโอสถ เพราะด้วยพรสวรรค์และพลังแห่งจิตวิญญาณของเจ้าย่อมสามารถที่จะก้าวเดินบนเส้นทางแห่งโอสถได้ยาวไกลยิ่งกว่าข้าอย่างแน่นอน
จนกระทั่งการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน ได้ทำให้ความคิดของข้านั้นวุ่นวายไปหมดทั้งสิ้น ข้าก็ได้ค้นพบพรสวรรค์ในการต่อสู้และเส้นทางวิทยายุทธ์ของเจ้าที่พบเจอได้ไม่มากนัก เจ้าช่างเป็นคนที่ทำให้ข้ารู้สึกสับสนขึ้นมายิ่งนัก”
“เหอะเหอะ ท่านปรมาจารย์โปรดวางใจได้ เจ้าหนูอย่างข้าจะไม่ปล่อยทั้งสองสิ่งนี้ไปอย่างแน่นอน” หลงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง
ด้วยเคล็ดกายานวดาราของหลงเฉินนั้นมีความสัมพันธ์กับวิชาหลอมโอสถ ถ้าหากเขาไม่มีวิชาหลอมโอสถ จุดดารากักวายุเพียงอย่างเดียวนั้นไม่อาจที่จะก่อรวมพลังขึ้นมาเพื่อการฝึกยุทธ์ได้
และหลังจากดาราดวงที่สอง ที่สาม และทั้งหมดต่างก็จำเป็นที่จะต้องใช้โอสถเพื่อก่อรวมพลัง อีกทั้งยังก่อรวมพลังจากจุดดารากักวายุได้ง่ายกว่าจึงจำเป็นที่จะต้องหลอมโอสถขึ้นมาจำนวนนับไม่ถ้วน
ในความทรงจำของเขา ดวงดาราทุกดวงที่รวมเข้าด้วยกันต่างก็ทอแสงประกายสว่างไสวกว่าดวงดาราดวงนี้เป็นอย่างมากจนไม่อาจนับได้อย่างถี่ถ้วนว่ามีทั้งหมดเท่าใด
ถึงแม้ว่าจะพยายามคิดคำนวณอย่างเต็มที่ แต่เขาก็เชื่อว่าการก่อรวมจุดดารากักวายุของตนจะต้องผลาญโอสถจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยเม็ดอย่างแน่นอน
แม้จะถูกผลาญโอสถเป็นจำนวนมาก แต่ผลตอบแทนอาจคุ้มค่าเสียยิ่งกว่า หากไม่สำเร็จแม้แต่รากปราณก็คงจะสูญเปล่าไปด้วย ถึงแม้จะคิดได้เช่นนี้ก็เหมือนกับการเพ้อฝันในเวลากลางวันเท่านั้น ฉะนั้นอย่าได้ไปกล่าวถึงการเลื่อนระดับการต่อสู้ด้วยเลย
“การฝึกโอสถและวิทยายุทธ์ควบคู่กันนั้นไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ แต่ทว่าโดยพื้นฐานแล้วจำเป็นจะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง การแบ่งใจเป็นสองย่อมทำให้เกิดการสูญเสียพลังไปมากกว่าครึ่ง ตามประวัติศาสตร์ของผู้ฝึกโอสถและวิทยายุทธ์ควบคู่กันนั้นมักจะผ่านพ้นช่วงเวลาที่มีไปอย่างไร้ประโยชน์ ยังไม่เคยมีผู้ใดกระทำได้สำเร็จโดยไม่สูญเสียสิ่งใดไปเลย ข้าไม่อยากให้เจ้าเกิดความเสียใจในตอนสุดท้าย” ปรมาจารย์หวินฉีส่ายหน้าไปมา
คำพูดของปรมาจารย์หวินฉีนั้นถูกต้องทั้งหมด ต่อให้มีพรสวรรค์ที่มากกว่านี้หลายเท่าตัว แต่หากไม่มีขุมพลังเต็มส่วนที่จะใช้การควบคุมก็จะเสมือนคงอยู่อย่างสามัญไปตลอด
โอสถและวิทยายุทธ์ที่ควบคู่กันจะทำให้แบ่งกำลังในการฝึกฝนออกเป็นสองส่วน มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเลยที่บอกต่อถึงความยากลำบากและความเจ็บปวดให้กับคนรุ่นหลังว่าหนทางสายนี้ไม่ใช่หนทางที่ดี
หลงเฉินในตอนนี้โดดเด่นทั้งเส้นทางแห่งโอสถและเส้นทางวิทยายุทธ์ ด้วยพรสวรรค์ที่ได้แสดงออกมาให้เหล่าผู้คนมากมายได้ประจักษ์แก่สายตาจนเกิดความตื่นตระหนกกันไปทั้งหมด แม้แต่ผู้ที่เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอย่างหวินฉีก็ยังไม่อาจที่จะเอ่ยปากให้หลงเฉินวางมือจากเส้นทางวิทยายุทธ์ได้
หากคิดจะเลือกเดินในวิถีโอสถย่อมต้องใช้ลมปราณทั้งหมดไหลเวียนจนกลายเป็นเปลวเพลิง ก็คล้ายกับการไหลเวียนพลังของทักษะยุทธ์เพื่อใช้ออกมากระบวนท่าหนึ่ง
ถึงแม้ว่าจะมีพลังทำลายที่แกร่งกล้า แต่ลักษณะเช่นนั้นก็เปรียบเสมือนเป็นธาตุหนึ่งที่อาจส่งผลกระทบกับทักษะยุทธ์ที่เกี่ยวกับน้ำได้ โดยส่วนมากแล้วมีแต่ต้องเลือกไปเพียงทางเดียวเท่านั้น
แต่ว่าด้วยฐานะอย่างปรมาจารย์หลอมโอสถที่อยู่สูงส่งเหนือกว่าผู้ใดในจักรวรรดิย่อมไม่มีผู้คนหาญกล้ามาขอท้าประลองด้วยเป็นแน่ นั่นก็เพราะว่าจะมีผู้ใดกันที่อยากจะมีเรื่องบาดหมางกับปรมาจารย์หลอมโอสถผู้หนึ่ง?
ปรมาจารย์หลอมโอสถมีพลังในการต่อสู้ที่น่ากลัวอยู่ด้วยกันทั้งนั้น แต่เกือบทุกคนต่างก็ต้องมีผู้คนคอยหนุนหลังอยู่ ด้วยเหตุนี้ในสำนักหนึ่งปรมาจารย์หลอมโอสถจะต้องมีความสัมพันธ์อันดีต่อเหล่าผู้ที่อยู่ในวิถีโอสถด้วยจึงจะสามารถหาโอสถที่ตนเองต้องการในมือของพวกเขาได้
หรืออาจจะกล่าวได้ว่าหากออกจากวิถีโอสถไป มีหรือที่จะต้องมาเสียดายกับสถานะอย่างศิษย์หลอมโอสถผู้หนึ่ง เพราะยังมีขุมกำลังอีกนับไม่ถ้วนต้องการจะแย่งชิงตัวไป
ดังนั้นปรมาจารย์หวินฉีจึงได้กล่าวออกมาอย่างว้าวุ่นใจ แต่หลงเฉินกลับไม่ได้คิดตามเช่นนั้น เขาเองก็ทราบดีถึงกฎเกณฑ์ข้อนั้นอยู่แล้วก่อนที่จะเข้าสู่หนทางสายนี้
“ที่ข้ามาในวันนี้นั้นตั้งใจที่จะมากราบขอบคุณท่านปรมาจารย์ที่ได้ช่วยเหลือข้าเอาไว้” หลงเฉินซาบซึ้งที่ปรมาจารย์หวินฉีให้การสนับสนุนและหยิบยืมวัตถุดิบ
“เหอะเหอะ เรื่องนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อวานนี้เจ้าเองที่เป็นคนช่วยข้าระบายอารมณ์ไปได้ไม่น้อย ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้าจึงจะถูก”
ปรมาจารย์หวินฉีหัวเราะออกมา จากนั้นก็ยื่นเบาะสานใบหนึ่งให้แก่หลงเฉินเอาไว้รองนั่ง แล้วก็กล่าวต่อว่า “เจ้าทราบหรือไม่ว่าเหตุใดข้ากับเว่ยชางจึงไม่อาจอยู่ร่วมกัน ราวกับเป็นเพลิงและวารีที่ไม่สามารถมาบรรจบกันได้?” . . .