เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 49 หุบเขาโอสถ

“เจ้าทราบหรือไม่ว่าเหตุใดข้ากับเว่ยชางจึงไม่อาจอยู่ร่วมกัน ราวกับเป็นเพลิงและวารีที่ไม่สามารถมาบรรจบพบเจอกันได้?”

หลงเฉินสะดุ้งตัวโยนเมื่อปรมาจารย์หวินฉีเอ่ยถามออกมาเช่นนั้น แม้เขาอยากจะทราบเป็นอย่างมาก แต่คิดว่าเรื่องส่วนตัวเช่นนี้ย่อมไม่ควรที่จะเอ่ยถามออกไป ไม่คิดไม่ฝันว่าปรมาจารย์หวินฉี กลับกล่าวออกมาก่อนราวกับอ่านความคิดของเขาได้อย่างไรอย่างนั้น

ปรมาจารย์หวินฉีได้เล่าเรื่องราวในอดีตให้หลงเฉินได้รับฟัง เขาและเว่ยชางเคยเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักกันมาก่อน อาจารย์ของพวกเขานั้นเคยรับศิษย์เอาไว้ในการดูแลอยู่ทั้งหมดสามคน

นอกจากหวินฉีและเว่ยชางแล้วก็ยังมีศิษย์ที่เป็นสตรีอีกนางหนึ่ง นางผู้นั้นก็คือภรรยาของหวินฉี หญิงสาวผู้ที่ปรากฏตัวอยู่ในภาพวาดที่หลงเฉินเคยเห็นเมื่อก่อนหน้า หญิงสาวที่มีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับเซี่ยปายฉือถึงเก้าส่วน

อาจารย์ของพวกเขาได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญอันสูงส่งผู้หนึ่งในยุคสมัยนั้น เมื่ออาจารย์ผู้นั้นย่างเข้าสู่ช่วงบั้นปลายของชีวิตก็ได้รับพวกเขาทั้งสามเป็นศิษย์เพื่อถ่ายทอดวิชาหลอมโอสถให้

ด้วยเหตุที่ว่าพวกเขาทั้งสามต่างก็มีพรสวรรค์ในการหลอมโอสถอยู่ในระดับสูงโดยเฉพาะหวินฉีที่จัดว่าเป็นอันดับหนึ่ง อีกทั้งยังมีจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นในการร่ำเรียน จึงกลายเป็นที่รักและเอ็นดูของผู้เป็นอาจารย์อย่างยิ่ง

แต่ทว่าในหมู่มนุษย์นั้นย่อมมีความชิงชังริษยา เว่ยชางไม่อาจทนเห็นหวินฉีทำเกินหน้าเกินตาไปได้จนบ่มเพาะความเกลียดชังเอาไว้ภายในจิตใจอย่างรุนแรงและมากขึ้นเรื่อยๆ

เว่ยชางเก็บซ่อนความชิงชังนั้นเอาไว้และไม่เคยแสดงออกมาเลย จนกระทั่งวันหนึ่งที่อาจารย์ของพวกเขาเริ่มอ่อนล้าโรยแรงจนเกือบจะถึงขีดจำกัดจึงได้เรียกหวินฉีเข้าไปพบแล้วส่งมอบแผ่นป้ายแผ่นหนึ่งให้แก่เขา

“เหอะเหอะ ความแค้นระหว่างข้ากับเว่ยชางนั้นเกิดจากแผ่นป้ายแผ่นนี้แหละ”

ปรมาจารย์หวินฉีถอนหายใจออกมา จากนั้นในมือของเขาก็มีแผ่นป้ายแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้น จู่จู่ตลอดทั่วทั้งห้องก็เกิดความร้อนระอุขึ้นมาอย่างแรงกล้าแผ่ปกคลุมไปรอบบรรยากาศ คล้ายกับแผ่นเหล็กที่กำลังถูกหลอมอยู่ในเตาอบ

หลงเฉินจ้องมองไปยังแผ่นป้ายที่วางอยู่กลางฝ่ามือของปรมาจารย์หวินฉี มันมีพื้นผิวที่เกลี้ยงเกลา ตรงกลางมีรอยนูนขึ้นมาเป็นรูปเตาหลอมโอสถ แผ่นป้ายนั้นทอประกายเจิดจ้าราวกับแสนยานุภาพนับหมื่นสายจนทำให้หลงเฉินรู้สึกถึงแรงกดดันอันมหาศาลบางอย่างที่กระจายไปโดยรอบ

ด้านหลังของแผ่นป้ายมีลวดลายของภูเขาที่มีลำธารไหลผ่านอยู่โดยรอบ สายลมแห่งไอเซียนรายล้อมเอาไว้เหมือนกับภาพวาดอย่างหนึ่ง

“นี่คือสิ่งที่อาจารย์รุ่นก่อนได้มอบให้ข้าเอาไว้เป็นที่ระลึก คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะทำให้พวกเราที่เป็นศิษย์พี่น้องต้องมาบาดหมางใจกันอย่างเนิ่นนานถึงเพียงนี้”

ปรมาจารย์หวินฉีลูบไปที่แผ่นป้ายแผ่นนั้นเบาๆ แววตาของเขาช่างยากแท้จะหยั่งถึง ความรู้สึกที่โกรธแค้นผสมผสานกับความโศกเศร้า

หลงเฉินได้แต่นั่งฟังอยู่อย่างเงียบๆ ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามอันใดออกไป หลังจากที่ปรมาจารย์หวินฉีจัดการกับสภาพอารมณ์ของเขาจนสงบนิ่งแล้ว จึงบอกเล่าเรื่องราวของเขาต่อ

ในช่วงเวลาที่อาจารย์ของเขาส่งมอบแผ่นป้ายแผ่นนี้ให้ ก็เป็นความลับที่มีเพียงเขาและอาจารย์เท่านั้นที่รับรู้ แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดเว่ยชางได้ล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของแผ่นป้ายแผ่นนั้น เขาเอาแต่ร้องขอมันจากหวินฉีอยู่เป็นประจำ

หวินฉีปฏิเสธที่จะมอบสิ่งนั้นให้แก่เว่ยชาง แม้ว่าเว่ยชางจะกระทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้เขาใจอ่อน แต่ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่บังเกิดผล อีกทั้งเว่ยชางก็ทราบดีว่าตัวเขานั้นไม่อาจเอื้อมที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของหวินฉีได้ จึงหันไปลงมืออย่างโหดเ**้ยมอำมหิตกับศิษย์น้องหญิงแทน

ปรมาจารย์หวินฉีและศิษย์น้องหญิงนั้นต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันมาตั้งแต่แรกแล้ว จึงทำให้เว่ยชางมุ่งเป้าไปที่นางโดยใช้ชีวิตของนางเข้าแลกกับแผ่นป้ายแผ่นนั้นของหวินฉี

แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้มาก่อนว่าศิษย์น้องหญิงนางนั้นมีสภาพร่างกายที่อ่อนแอตั้งแต่ยังเยาว์วัย ด้วยเหตุนี้กระดูกของนางจึงเกิดความเสียหายอย่างรุนแรง จนกระตุ้นบันดาลโทสะอันดุเดือดของหวินฉีขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

ความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ของเว่ยชางในครั้งนี้ทำให้เขาไม่อาจที่จะอยู่ได้อย่างปลอดภัยอีกต่อไปจึงได้หลบหนีไปไกลแสนไหล ทางด้านหวินฉีเองก็ออกตามล่าจนแทบจะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเพื่อตามไปสังหารเว่ยชาง หวินฉีสาบานต่อตัวเองเอาไว้ว่าจะสับร่างของเว่ยชางเป็นหมื่นชิ้นเพื่อชำระความแค้นให้แก่ศิษย์น้องหญิง

ในตอนนั้นแม้เว่ยชางจะมีทักษะการหลอมโอสถที่เหนือชั้นกว่าหวินฉีอยู่มาก แต่ว่าพลังการต่อสู้นั้นไม่อาจเทียบกับหวินฉีได้เลยแม้แต่ปลายเล็บ

เมื่อทราบดีว่าตัวเองนั้นไม่อาจที่จะต่อกรกับหวินฉีได้จึงเอาแต่หลบหนีมาโดยตลอดจนอยู่รอดมาได้ถึงสามสิบปี ส่วนหวินฉีเองก็ตามไล่ล่าไปกว่าหมื่นลี้และไม่หยุดที่จะตามข่าวสารของเว่ยชางด้วยเช่นกัน

หลังจากนั้นเว่ยชางที่กำลังหลบหนีอยู่ก็เข้าร่วมกับผู้คนกลุ่มหนึ่ง และยังไม่หาญกล้าพอที่จะเปิดเผยตัว แต่กลับส่งยอดฝีมือหลายคนมาลอบสังหารหวินฉีอยู่นับครั้งไม่ถ้วนจนเกือบที่จะต้องทอดร่างไปแล้วหลายครั้ง

อยู่มาวันหนึ่งหวินฉีก็ได้เรียกสติกลับคืนมาจากความโกรธแค้นทั้งหมด ว่าหากยังปล่อยเรื่องราวให้เป็นเช่นนี้ต่อไปก็ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่เพียงแต่จะไม่ได้แก้แค้นเท่านั้น แต่ยังต้องเสียเวลาในการใช้ชีวิตของตัวเองไปอีกด้วย

หลังจากนั้นเขาก็ได้ใช้วิชาหลอมโอสถอันแกร่งกล้าเข้าร่วมกับชุมนุมผู้หลอมโอสถจนกลายเป็นผู้นำของสภาทำให้เขาปล่อยวางความเคียดแค้นเอาไว้ได้พักหนึ่ง

ผ่านไปหลายปีต่อมาเว่ยชางก็ได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับสถานะผู้นำของสภาชุมนุมผู้หลอมโอสถด้วยเช่นเดียวกัน

แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านไปกว่าสามสิบปีแล้ว แต่ว่าความแค้นที่ฝังอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจก็ยังคงไม่ถูกลดทอนลงไปตามกาลเวลา ผู้นำของสภาทั้งสองยังคงปะทะฝีมือกันอยู่หลายครั้งหลายครา

หลายปีที่เว่ยชางหนีหายไป เขาก็มุ่งมั่นในการฝึกฝนฝ่ามือพิษของพลังหยินอย่างหนักหน่วง ทุกครั้งที่มีการต่อสู้ของพวกเขาก็ยังคงเป็นหวินฉีที่อยู่เหนือกว่าขั้นหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจที่จะจัดการกับ เว่ยชางได้อย่างราบคาบจนปล่อยให้หลบหนีไปได้ทุกครั้ง

“เจ้ากำลังสงสัยอยู่ใช่หรือไม่ว่าแผ่นป้ายแผ่นนี้คือสิ่งใดกัน เหตุใดจึงทำให้พวกข้าต้องมาเข่นฆ่ากันอยู่เช่นนี้?” เมื่อเล่ามาจนถึงตรงนี้ จู่จู่ปรมาจารย์หวินฉีก็เอ่ยถามหลงเฉินขึ้นมาจนตั้งตัวไม่ทัน

หลงเฉินพยักหน้าไปมาอย่างใคร่รู้ว่าเหตุใดสิ่งนั้นถึงทำให้เว่ยชางถึงอยากได้ไปครอบครองจนบ้าคลั่งขึ้นมามากมายถึงเพียงนี้

ใบหน้าของปรมาจารย์หวินฉีปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันขึ้นมาทันที แล้วกล่าวออกไปว่า “ความจริงแล้วเว่ยชางเองก็ไม่ทราบว่าสิ่งนี้คืออะไร เขาคิดว่าท่านอาจารย์คงจะทิ้งเคล็ดวิชาลับเอาไว้ แต่แท้จริงแล้วสิ่งนี้เป็นเพียงแผ่นป้ายธรรมดาเท่านั้น”

“แผ่นป้ายปกติธรรมดาอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินเบิกตากว้าง เพียงแผ่นป้ายธรรมดาแผ่นหนึ่งถึงกับยอมแลกชีวิตของคนรักไปอย่างนั้นหรือ?

“ใช่ เพียงแค่แผ่นป้ายธรรมดาที่ไม่ได้มีประโยชน์อันใดเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนที่อาจารย์ได้มอบมันไว้ให้กับข้า เขาให้ข้ากล่าวคำสัตย์สาบานด้วยชีวิตว่าจะไม่ยกมันให้กับผู้ใด

เดิมทีแล้วข้าก็ไม่ได้ต้องการให้เว่ยชางมาร้องขอด้วยวาจาต่างๆ นานา ตัวข้าเองก็คิดจะมอบให้เขานำไปดูแลแทนอยู่แล้ว แต่ก็สายจนเกินไป นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะลงมืออย่างอำมหิตต่อศิษย์น้องหญิงได้ลงคอ…” หวินฉีก็ได้ทอสีหน้าปรากฏความเกรี้ยวกราดและจิตสังหารขึ้นมา

หลงเฉินจ้องมองไปยังใบหน้าของปรมาจารย์หวินฉีที่ยังหลงเหลือความเสียใจและโทษตัวเองอยู่ เพียงเพื่อรักษาสิ่งที่เป็นเหมือนขยะชิ้นหนึ่งถึงกับนำหายนะมาสู่คนรักของตัวเอง ถ้าหากเปลี่ยนเป็นเขาแทนก็คงจะต้องคลั่งตายไปแล้วอย่างแน่นอน

“แผ่นป้ายแผ่นนี้เป็นเสมือนหลักฐานในการเข้าศึกษา” ปรมาจารย์หวินฉีสูดลมหายใจเข้าฟอดหนึ่ง จนสภาพจิตใจเริ่มกลับคืนสู่ภาวะปกติแล้วกล่าวออกมา

“หลักฐาน?” หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะงงงันขึ้นมา

“ใช่แล้ว ที่นั้นเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งวิถีโอสถ——ป้ายแผ่นนี้เป็นหลักฐานเพื่อผ่านเข้าไปศึกษายังหุบเขาโอสถ อีกทั้งหุบเขาโอสถนี้……ช่างเถิด ข้ายังไม่กล่าวจะดีกว่า มันยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลจนเกินจะเอื้อมไปถึงในตอนนี้

ที่เจ้าควรทราบก็มีแค่การจะก้าวสู่วิถีโอสถนั้นจำเป็นจะต้องมีเป้าหมายอยู่ภายในจิตใจอย่างมั่นคง พวกเราที่อยู่ในเขตรอบนอกเช่นนี้จึงไม่อาจล่วงรู้ถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นมาก่อน

แผ่นป่ายนี้ที่ข้านำติดตัวเอาไว้มานับหลายสิบปี บัดนี้ข้าจะขอมอบมันให้แก่เจ้า” กล่าวจบ หวินฉีก็ได้ส่งแผ่นป้ายให้หลงเฉิน

“ท่านปรมาจารย์ นี่เป็นของแทนใจจากอาจารย์ของท่าน เด็กน้อยอย่างข้าไม่กล้าที่จะรับเอาไว้ได้หรอก” หลงเฉินโบกมือไปมาแล้วกล่าวออกมาอย่างรีบร้อน

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่อาจารย์ของข้าเหลือทิ้งไว้ให้แก่ข้า แต่เป็นสิ่งที่เขาต้องการให้ข้าส่งมอบมันต่อไป แม้ในตอนนี้ข้าจะมอบให้แก่เจ้า แต่เจ้าก็ยังไม่สามารถนำไปใช้ได้” ปรมาจารย์หวินฉีส่งยิ้มให้หลงเฉิน

“หือ?”

“ถึงแม้ว่าแผ่นป้ายแผ่นนี้จะเป็นหลักฐานเพื่อผ่านเข้าสู่ประตูอีกด้านหนึ่ง แต่หากไม่มีพลังฝีมือที่มากพอ แม้แต่หุบเขาเองเจ้าก็ไม่อาจที่จะหาพบ คงไม่ต้องคาดหวังที่จะไปถึงประตูได้” ปรมาจารย์หวินฉียิ้มออกมาอย่างขมขื่นแล้วกล่าวต่ออีกว่า

“ที่ข้าได้บอกเล่าไปเมื่อครู่นี้ถึงหุบเขาโอสถ ที่แห่งนั้นเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้ที่มีจิตมุ่งมั่นในวิถีโอสถ สถานที่เช่นนั้นจะสามารถผ่านเข้าออกอย่างง่ายดายได้อย่างไรกัน

แม้เจ้าจะได้ครอบครองแผ่นป้ายแผ่นนี้แล้ว แต่ก็ยังต้องพลังฝีมือจนมากพอตามความต้องการจนสามารถที่จะใช้มันได้”

“ต้องการพลังฝีมืออันใดกัน?” หลงเฉินเอ่ยถามออกไป

“ก่อนอายุยี่สิบปีจะต้องสำเร็จขั้นราชันโอสถจึงจะสามารถใช้แผ่นป้ายนี้เข้าไปรายงานตัวได้”ปรมาจารย์หวินฉีกล่าวพลางถอนหายใจออกมาเสียงดัง

หลงเฉินได้ยินก็เอาแต่ปากอ้าตาค้างขึ้นมา ราชันโอสถ? ก่อนอายุยี่สิบปีอย่างนั้นหรือ? นี่กำลังพูดถึงนิทานอยู่หรือไร?

บุคคลเฉกเช่นปรมาจารย์หวินฉีที่มีพลังฝึกยุทธ์เกือบร้อยปี แต่ยังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ผู้หลอมโอสถ นี่กลับจะให้สำเร็จสู่ระดับราชันโอสถก่อนจะอายุยี่สิบปีหรือ? นี่เป็นเรื่องที่ล้อเล่นกันแรงเกินไปแล้ว

ไม่แปลกใจเลยที่ปรมาจารย์หวินฉีได้บังเกิดความรู้สึกอัดอั้นขึ้นภายในใจกับสิ่งของเช่นนี้เพียงชิ้นเดียวที่ทำให้ต้องสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักยิ่งไป หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นก็คงจะคลั่งไปนานแล้ว

หลงเฉินเข้าใจได้ทันทีว่าหลังจากที่ศิษย์น้องหญิงได้ตายลง ปรมาจารย์หวินฉีก็ได้แต่เก็บงำความลับของแผ่นป้ายนี้เอาไว้เพื่อใช้ล้างแค้นเว่ยชางมาโดยตลอด

ทำให้เว่ยชางคิดว่าสิ่งที่หวินฉีครอบครองอยู่นั้นเป็น “สมบัติล้ำค่าอย่างถึงที่สุด” เพื่อทำให้เว่ยชางรู้สึกกระวนกระวายใจจนไม่อาจข่มตาหลับได้ แผ่นป้ายแผ่นนี้มีไว้เพื่อใช้ไว้ต่อกรกับจิตใจของ เว่ยชางอย่างแท้จริง

การปรากฏตัวของเซี่ยปายฉือก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีเป้าหมายที่สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ แต่เมื่อหลงเฉินปรากฏตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่น และปรมาจารย์หวินฉีเองก็ยังมีท่าทีที่ดีต่อหลงเฉิน จนทำให้พวกเขารู้สึกถึงภัยที่กำลังจะเข้ามากล้ำกลายในแผนการที่ได้วางเอาไว้

ด้วยเหตุนี้พวกเขาเหล่านั้นจึงต้องการจัดการหลงเฉินเพื่อให้ปรมาจารย์หวินฉีนั้นไร้ซึ่งผู้สืบทอดต่อไป ในเมื่อเว่ยชางไม่อาจจะครอบครอง “สมบัติล้ำค่า” ชิ้นนั้นได้ เช่นนั้นก็ปล่อยให้ตายไปพร้อมกับปรมาจารย์หวินฉีเลยเสียยังจะดีกว่า

เมื่อหลงเฉินปะติดปะต่อเรื่องราวมาจนถึงตรงนี้ก็อดรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาไม่น้อยเลย นี่มันเป็นเรื่องที่สวรรค์สร้างขึ้นมาเพื่อกลั่นแกล้งผู้คนอย่างนั้นหรือ?

“ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์ แต่ช่างน่าเสียดายที่ชาติกำเนิดของเจ้านั้นอยู่ในสถานที่ที่ไกลห่างจากความเจริญ อีกทั้งยังไม่มีการหนุนหลังจากสำนักใหญ่แห่งใด หากเจ้านำแผ่นป้ายแผ่นนี้ไปใช้ก็จะพอสร้างโอกาสอันริบหรี่ขึ้นมาได้บ้าง

ขอเพียงคว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้ได้ อาจารย์ของข้าได้สั่งเสียให้ข้าส่งมอบมันให้แก่ผู้ที่มีพรสวรรค์ต่อไป

ท่านอาจารย์ผู้ชราภาพของข้าก็มาจากสถานที่แห่งนั้น เขาเคยเข้าไปยังหุบเขาโอสถมาก่อน แผ่นป้ายแผ่นนี้จึงเป็นเสมือนเกียรติยศของพวกเขา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้มีความหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีโอกาสพบกับผู้มีพรสวรรค์ที่นำป้ายแผ่นนี้กลับไปยังหุบเขาโอสถอีกครั้ง

เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของท่านอาจารย์ ข้าก็ได้ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจออกไปไม่น้อย จนในขณะนี้ข้าอยากจะส่งมอบให้แก่เจ้า ดีกว่าทิ้งเอาไว้ในห่อผ้าต่อไป” ปรมาจารย์หวินฉีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงขังขัง

จากทั้งหมดที่ได้รับฟังมาก็สรุปได้ว่าแผ่นป้ายแผ่นนี้สามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของคนผู้หนึ่งได้เลย แต่ทว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นกลับแลกมาด้วยโศกนาฏกรรม

ความเกลียดชังที่ถูกฝังลึกอยู่ในจิตใจมานานหลายปี เขาเองก็ไม่ทราบว่าสมควรจะไปขุดหาผู้จุดชนวนขึ้นมาอยู่หรือไม่ จะเป็นท่านอาจารย์? หรือเว่ยชาง? ตัวของเขาเอง? หรือจะเป็นสวรรค์?

ชะตาชีวิตของผู้คนช่างคล้ายกับสิ่งที่ไหลเวียนอยู่บนฝ่ามือ เมื่อสวรรค์ต้องการที่จะเล่นตลกกับเขา แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาเช่นนี้กลับไม่อาจทำให้ผู้ใดรู้สึกตลกร่วมไปได้

หลงเฉินยื่นมือไปรับแผ่นป้ายมาจากปรมาจารย์หวินฉี การจะสำเร็จเป็นราชันโอสถในวัยเพียงยี่สิบปีช่างสิ้นหวังยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกหล้า แต่ว่าก็ไม่ได้หมายความจะไร้ซึ่งความหวังหากหลงเฉินผู้นี้จะลองเพียรพยายาม

“ขอบคุณท่านปรมาจารย์” หลงเฉินกล่าวพร้อมกับโค้งคำนับลง

“ถ้าหากจะกล่าวขอบคุณ คนผู้นั้นสมควรที่จะเป็นข้าถึงจะถูกต้อง เมื่อได้ส่งมอบแผ่นป้ายแผ่นนี้ไปแล้วก็เหมือนกับว่าข้านั้นได้เสร็จสิ้นภารกิจที่ท่านอาจารย์ได้มอบหมายให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว บัดนี้ข้าย่อมสามารถวางมือจากเรื่องราวอื่นได้แล้ว” ปรมาจารย์หวินฉียิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวออกมา

หลงเฉินแตกตื่นขึ้น “ท่านปรมาจารย์……ท่าน……”

ราวกับว่ามองเห็นความคิดของหลงเฉินอย่างทะลุปุโปร่ง ปรมาจารย์หวินฉีเลยตอบกลับไปว่า “วางใจเถิด ไม่ได้มีความคิดที่เลวร้ายอย่างที่เจ้าคิดไป ที่ข้ากล่าวถึงนั้นเกี่ยวกับเรื่องที่จะต้องตกอยู่ในระดับเดียวกันกับเว่ยชาง ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่าข้านั้นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปอย่างนั้นหรือ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลงเฉินก็เบาใจขึ้นมาเป็นอย่างมาก ถ้าการที่เขารับแผ่นป้ายแผ่นนี้ต่อจากปรมาจารย์หวินฉี แล้วทำให้ปรมาจารย์วางมือจากเรื่องของเว่ยชางเพื่อแลกกันแล้วนั้น เขาเองก็คงไม่สบายใจอย่างแน่นอน

เจ้าเฒ่าตัณหากลับผู้นั้นมาย่ำยีศักดิ์ศรีของบุคคลเฉกเช่นปรมาจารย์หวินฉีผู้นี้ให้ตกอยู่ในห้วงความรู้สึกที่เลวร้ายมานานหลายปีก็เหมือนกับเอาดอกไม้ไปปักไว้ในอาจมอย่างไรอย่างนั้น

“เด็กเอ๋ย ที่ข้าสามารถสั่งสอนเจ้าได้นั้นอาจไม่มากมาย แต่ทว่าเจ้าได้ทำให้ข้าไปพบพานกับความหวังและผู้สืบทอดแผ่นป้ายนี้เอาไว้ ขอเพียงเจ้าเชื่อมั่นและขยันหมั่นเพียรให้มากยิ่งขึ้น” ปรมาจารย์หวินฉีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ถ้าหากหลงเฉินสามารถเข้าไปยังหุบเขาโอสถและเข้าสู่เส้นทางแห่งวิถีโอสถได้ ก็ย่อมได้รับความสำเร็จจนก้าวสู่การเป็นเซียน นี่ยังมีเรื่องอันใดที่สามารถทำให้ผู้คนคาดหวังไปได้มากกว่านี้อีกอย่างนั้นหรือ?

“ท่านปรมาจารย์โปรดวางใจ ศิษย์จะต้องขยันหมั่นเพียรต่อไปอย่างแน่นอน”

ที่ปรมาจารย์หวินฉีไม่ได้รับหลงเฉินเอาไว้เป็นศิษย์เมื่อก่อนหน้านี้ เพราะเกรงว่าจะทำให้หลงเฉินได้รับผลกระทบจากความอาฆาตพยาบาทของเว่ยชางไปด้วย

ขณะนี้ความสัมพันธ์ของหลงเฉินและเว่ยชางมีแค่เพียงฟ้าดินเท่านั้นที่จะล่วงรู้ แม้ว่าหลงเฉินจะเป็นเพียงศิษย์แค่ในนามที่ผู้คนต่างคิดไปเอง แต่เขาก็ทำให้ชายชราผู้นี้รู้สึกภาคภูมิใจอย่างถึงที่สุด

ก่อนที่หลงเฉินจะขอกลับไป ปรมาจารย์หวินฉีก็ได้เตือนสติให้เขาระมัดระวังเอาไว้อยู่ทุกฝีก้าว เกรงว่าอีกฝ่ายนั้นจะลอบทำร้ายจากด้านหลังได้ทุกเมื่อ หลงเฉินได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่พยักหน้าอย่างว่าง่าย

เขาเดินออกมาจากชุมนุมผู้หลอมโอสถแล้วมุ่งหน้ากลับจวน ขณะนี้สภาวะร่างกายของเขาถูกฟื้นฟูขึ้นมาจนเกือบสมบูรณ์แล้วจึงถึงเวลาที่จะกลับจวนไปได้อย่างปลอดภัย

ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนถึงประตูใหญ่ของจวน หลงเฉินเบิกตากว้างขึ้นมาอย่างตื่นตกใจ

“นี่มันเรื่องอันใดกัน?” . . . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset