“องค์ชายเจ็ด”
หลงเฉินคาดไม่ถึงว่าแขกที่มาเยี่ยมเยือนถึงจวนจะเป็นองค์ชายเจ็ดไปได้ ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาพบกันก็คือที่ไท่เซียนกู่อันน่าจดจำเท่าไรนัก หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อันใดกันอีกเลย
แต่เมื่อเห็นหน้าองค์ชายเจ็ดที่เป็นน้องชายแท้ๆ ของฉู่เหยาก็ได้ทำให้หลงเฉินเกิดความละอายใจจากเหตุการณ์ที่เขาได้ลงมือกระทำในครั้งก่อน
“พี่หลง ท่านเรียกข้าว่าฉู่ฟงเถิด” องค์ชายเจ็ดกล่าวออกมาอย่างรีบร้อน วางงท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยมารยาท แทบจะเรียกว่าพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยก็ว่าได้เมื่อเทียบกับตอนที่เจอกันครั้งก่อน
หลงเฉินก็พอจะทราบมาจากคำบอกเล่าของฉู่เหยามาก่อนหน้านี้แล้วว่าเดิมทีฉู่ฟงนั้นไม่ได้เป็นคนเลวร้าย แต่เพียงเพื่อปกป้องตัวเองจากผู้อื่นจึงสร้างอุปนิสัยหยาบกระด้างขึ้นมาเป็นเกราะห่อหุ้มร่างกายเอาไว้
“เรื่องเมื่อครั้งก่อนนั้น ข้าต้องขออภัยด้วย” หลงเฉินกล่าวออกมาพร้อมกับตบไปที่ไหล่ของฉู่ฟงเบาๆ
“พี่หลงกล่าวเกินไปแล้ว” ฉู่ฟงรีบตอบกลับ
หลงเฉินยกกาน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเทใส่แก้วชาสองใบ เขายื่นแก้วใบหนึ่งไปให้ฉู่ฟง แล้วถามออกไปด้วยความสงสัยตั้งแต่แรกว่า “เจ้าหาข้ามาด้วยเรื่องอันใด”
การมาเยือนในครั้งนี้ของฉู่ฟงนั้นดูแปลกตากว่าครั้งไหนๆ เขาไม่ได้สวมด้วยอาภรณ์ประจำขององค์ชาย แต่เป็นเพียงชุดคลุมแขนยาวตัวหนึ่งที่คล้ายคลึงกับชุดที่พวกเหล่าซื่อจื่อทั่วไปนั้นสวมใส่
“พี่หลง……นี่คือ……” ฉู่ฟงกระอักกระอ่วนที่จะกล่าวออกมา
“มีเหตุอันใดก็กล่าวออกมาตรงๆ เถิด” หลงเฉินมองไปที่ฉู่ฟงแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
ฉู่ฟงมองอย่างลังเลไปที่หลงเฉินอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ได้สูดลมหายใจเข้าพร้อมกับกล่าวออกมาว่า “วันนี้ไทเฮาทรงรับสั่งให้เจี่ยเจี่ยของข้าแต่งกับเซี่ยฉางเฟิง ส่วนวันเวลานั้นคือต้นเดือนสิบ”
“ผัวะ”
ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะพอรับรู้ข่าวสารมาอยู่บ้างแล้ว แต่เมื่อได้ยินจากปากของฉู่ฟงอีกครั้งก็อดไม่ได้ที่จะมีโลหิตสูบฉีดขึ้นมาทั่วใบหน้า แก้วชาที่อยู่ในมือถูกบีบจนแตกละเอียด ชาที่กำลังร้อนอยู่ก็ได้หกรดไปที่อาภรณ์
แววตาทั้งสองแผ่รังสีสังหารขึ้นมาอย่างเยือกเย็น บรรยากาศภายในห้องหับคล้ายกับอยู่ท่ามกลางหุบเขาน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น ฉู่ฟงที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็เกิดอาการตัวสั่นเทาขึ้นมาด้วยความหวาดหวั่น
ในเวลานี้หลงเฉินคล้ายกับเป็นพยัคฆ์ร้ายที่ถูกกระตุ้นโทสะขึ้นมา พร้อมที่เข้าตะครุบเหยื่อได้ทุกเวลาด้วยรังสีสังหารที่เข้มข้นจนน่าอึดอัด เรียกได้ว่าเขาในตอนนี้โหดเ**้ยมยิ่งกว่าตอนที่พอเจอกันที่ไท่เซียนกู่นับร้อยเท่า
“นี่เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินพยายามอดกลั้นอารมณ์เอาไว้แล้วถามออกไป
ฉู่ฟงเพียงแต่พยักหน้าไปมาเท่านั้น ภายใต้บรรยากาศอันกดดันที่แผ่ซ่านไปทั่วห้องทำให้เขาแทบจะอาเจียนออกมา
“หาที่ตายนัก!”
หลงเฉินปะทุเพลิงโทสะขึ้นมาอย่างเดือดดาลอีกครั้ง ในเทศกาลโคมไฟเขาก็ได้ตอบรับฉู่เหยาไปแล้วต่อหน้าผู้คนทั้งจักรวรรดิ อย่างไรเสียฉู่เหยาก็ย่อมต้องเป็นผู้หญิงของเขา ผู้ใดบังอาจมาแย่งชิงไปก็ถือว่าไม่สมควรที่จะมีลมหายใจอยู่ต่อไป
หลงเฉินคิดเอาไว้ว่าจะไม่ใช้ความสัมพันธ์ของเขากับปรมาจารย์หวินฉีเพื่อไปสู่ขอฉู่เหยา เพราะเห็นแก่หน้าของไทเฮาที่จะได้มีจุดยืนอยู่บ้าง ไม่คิดเลยว่านางจะกระทำเรื่องให้มันยิ่งยากขึ้นกว่าเดิม
เขาคาดไม่ถึงว่าไทเฮาจะไม่ใส่ใจความรู้สึกของเขาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่เห็นแก่หน้าของปรมาจารย์หวินฉีเสียด้วยซ้ำ ให้ฉู่เหยาตบแต่งกับเซี่ยฉางเฟิงโดยที่ไม่ลังเลอันใดเลย ช่างเป็นการรังแกผู้อื่นจนเกินไปแล้ว
“พี่หลง เจี่ยเจี่ยของข้าต้องทนทุกข์ทรมานมาทั้งชีวิต ต้องสวมหน้ากากเพื่อเข้าหาผู้คนมากมาย ซึ่งข้านั้นก็เข้าใจนางมาโดยตลอด แต่หากจะต้องแต่งกับเซี่ยฉางเฟิงแล้ว ข้านั้นไม่อาจยินยอมได้
พี่หลง ขอร้อง ท่านช่วยเจี่ยเจี่ยของข้าด้วยเถิด” เมื่อกล่าวมาถึงตอนท้าย ฉู่ฟงก็หลั่งน้ำตาออกมา แล้วคุกเข่าลงต่อหน้าหลงเฉิน
“เจ้าทำอะไรกัน รีบลุกขึ้นมาเร็ว”
หลงเฉินพยุงร่างของฉู่ฟงขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ข้าเคยให้คำมั่นสัญญาเอาไว้แล้ว ต่อให้ข้าต้องตายก็จะต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ เจ้าโปรดวางใจเถิด”
เมื่อได้ยินหลงเฉินกล่าวออกมาเช่นนั้น ฉู่ฟงก็คล้ายกับได้ยกภูเขาออกจากอก ไม่คิดว่าคำพูดเช่นนั้นจะทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจได้ถึงเพียงนี้ เพราะชีวิตความเป็นอยู่ภายในวังหลวงนั้นไม่เคยได้สัมผัสกับคำว่าเชื่อใจเลยแม้แต่น้อย
“ในช่วงนี้เจี่ยเจี่ยของเจ้าไม่ได้ออกมาด้านนอกหรือ หรือว่าถูกกักบริเวณไปแล้วกัน?” หลงเฉินถาม
ฉู่ฟงพยักหน้า “ใช่แล้ว ตั้งแต่กลับไปหลังจบเทศกาล เจี่ยเจี่ยก็ได้ถูกกักตัวให้อยู่แค่ในวังหลวง ไทเฮาทรงรับสั่งให้นางอยู่แต่ในห้อง ห้ามออกมาแม้แต่ก้าวเดียว”
หลงเฉินเหม่อมองออกไปด้วยดวงตาที่แสนจะเย็นชา ดูเหมือนว่าไทเฮาคงจะไม่เห็นปรมาจารย์ หวินฉีอยู่ในสายตาของนางเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าสามารถไปขอพบเจี่ยเจี่ยของเจ้าได้หรือไม่?” หลงเฉินถามขึ้นอีกครั้ง
“ก็ย่อมได้ ไทเฮาเพียงแต่ไม่ให้นางพ้นเขตประตูห้องออกมาก็เท่านั้น ที่หน้าห้องก็ไร้วี่แววขององครักษ์ ข้าที่เป็นน้องชายของนาง พวกเขาย่อมไม่กล้าขัดขวางหรอก” ฉู่ฟงตอบกลับไป
“เช่นนั้นก็ดี ยังมีเวลาอยู่อีกหนึ่งเดือน พวกเรายังมีเวลาอยู่เหลือเฟือ หลังจากนี้สามวันจะมีงานประมูลที่หมู่ตึกฮวาหวิน ข้าจะพยายามนำเอาหญ้าสลายดารามาให้ได้ เพื่อจัดการเรื่องยุ่งยากที่ผนึกไว้ภายในร่างของฉู่เหยา เจ้าบอกให้นางรอข้าก่อน อย่าได้คิดกระทำเรื่องที่โง่เขลา” หลงเฉินกำชับฉู่ฟงด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ฉู่ฟงเผยรอยยิ้มกว้างขึ้นบนใบหน้าราวกับซาบซึ้งในพระคุณนับพันนับหมื่นขึ้นมา จนหลงเฉินต้องการเข้าหาอย่างเป็นมิตรด้วย
“ฉู่ฟง มาให้ข้าตรวจจุดตันเถียนของเจ้าหน่อย”
หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะสงสัยพวกเขาเหล่าพี่น้อง เขายื่นมือไปจับอยู่ที่ข้อมือของฉู่ฟงเพื่อตรวจเส้นลมปราณแล้วก็เข้าไปภายในจุดตันเถียนอย่างช้าๆ
ผิดสังเกต!
หลงเฉินพบว่าที่จุดตันเถียนของฉู่ฟงนั้นไม่ได้ถูกปิดผนึกเหมือนกับฉู่เหยา แต่ว่ารากปราณบนจุดตันเถียนกลับมีวัตถุประหลาดเกาะอยู่ สิ่งนั้นคล้ายกับเป็นเนื้องอกชิ้นเล็กจิ๋วที่แทบจะมองไม่เห็น
“เจ้าอดทนเอาไว้สักครู่นะ”
“ฮูว”
หลงเฉินกระตุ้นไปที่เส้นลมปราณจนฉู่ฟงเกิดความเจ็บปวดขึ้นมาที่ท้องน้อย หลังจากนั้นก็ได้มีโลหิตก้อนเล็กๆ กระเด็นออกมา ที่ฝ่ามือของหลงเฉินปรากฏเป็นเส้นขนนกขนาดเท่าเข็มเล่มหนึ่งขึ้น
“ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเข็มขนแห่งความมืด (หมิงยวู่เจิน冥羽针) ช่างอำมหิตยิ่งนัก”
หลงเฉินจ้องมองไปยังสิ่งนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย เข็มขนแห่งความมืดนี้มีไว้เพื่อขจัดพิษธาตุหยาง ภายในนั้นได้อัดแน่นไปด้วยพิษธาตุหยิน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นพิษต่อเนื้อเยื่ออยู่ดี
หากนำเข็มขนแห่งความมืดเล่มหนึ่งไปใส่ไว้ในจุดตันเถียนของคนธรรมดาสามัญเป็นเวลานานก็จะทำให้พิษธาตุหยินไปกัดกร่อนรากปราณจนไม่อาจที่จะใช้ฝึกยุทธ์ได้
หลงเฉินตรวจสอบไปที่จุดตันเถียนของฉู่ฟงอีกครั้ง ก็พบว่าการกัดกร่อนของพิษธาตุหยินนั้นมีมาอย่างยาวนานแล้วจนรากปราณของเขาถูกลดทอนไปอยู่ในระดับต่ำ หากไม่ได้ถูกปล่อยเอาไว้นานถึงเพียงนี้ ด้วยพรสวรรค์ของเขาย่อมไม่แตกต่างไปจากฉู่เหยาอย่างแน่นอน
“ฉู่ฟง ข้าช่วยจัดการเข็มพิษเล่มนี้ออกไปให้แล้ว หลังจากนี้เป็นต้นไปให้เจ้าหมั่นเพียรพยายามในการฝึกยุทธ์ แต่จงจำเอาไว้ว่าเรื่องนี้ต้องปิดเป็นความลับ และข้าจะให้โอสถปรับพลังแก่เจ้า จงใช้หนึ่งเม็ดในทุกเจ็ดวัน อย่าให้ผู้อื่นพบเห็นได้เชียวล่ะ” หลงเฉินกล่าวเสร็จก็ยื่นขวดหยกให้ฉู่ฟง
ในยามที่หลงเฉินเบื่อหน่ายจากการทำสิ่งอื่นใด เขามักจะหลอมโอสถตำพวกอื่นขึ้นมา โอสถที่ให้ฉู่ฟงไปนั้นมีฤทธิ์ช่วยปรับพลังและฟื้นฟูรากปราณได้อีกด้วย
แต่ด้วยรากปราณของฉู่ฟงนั้นได้ถูกกัดกร่อนไปจนไม่เหลือชิ้นดี เกรงว่าขอบเขตก่อโลหิตจะเป็นจุดสิ้นสุดของเขาแล้ว ด้วยเรื่องเช่นนี้ค่อนข้างจะสะเทือนต่อจิตใจ หลงเฉินจึงเลือกที่จะไม่บอกเล่าออกไปในตอนนี้
อีกหนึ่งเรื่องที่น่าหวาดหวั่นก็คือกลุ่มคนที่คิดร้ายต่อเหล่าราชวงศ์หรือผู้ร้ายในคราบของชนชั้นราชวงศ์อันเป็นสิ่งที่ต้องระแวดระวังเอาไว้ให้มากขึ้นกว่าเดิม
“ข้าสามารถฝึกยุทธ์ได้แล้วอย่างนั้นหรือ?” ฉู่ฟงเบิกดวงตากว้างอย่างแทบจะไม่เชื่อถ้อยคำของหลงเฉิน ตั้งแต่กำเนิดเกิดมาเขานั้นเป็นเหมือนกับเศษขยะมาโดยตลอด
หลงเฉินเข้าใจฉู่ฟงเป็นอย่างดี เพราะว่าเขาเองก็เคยขึ้นชื่อว่าเป็นขยะที่ไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน
“อืม แต่ต้องระวังหูตาที่คอยจ้องมองอยู่ด้วยล่ะ” หลงเฉินเตือนสติขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะทราบว่าทั้งสองพี่น้องได้ระมัดระวังอยู่แล้วพอตัว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวตักเตือนให้มากขึ้นจะได้ไม่หลงลืมไป
หลงเฉินเดินไปส่งฉู่ฟงที่มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พลันก็เกิดภวังค์แห่งความคิดขึ้นมาระลอกหนึ่ง การพบพานกับฉู่เหยาและฉู่ฟงทำให้เขานึกถึงขอบเขตของตัวเองขึ้นมาในทันใด
ความน่าอเนจอนาถของเขานั้นช่างมากมายเสียยิ่งกว่า ทั้งรากปราณ กระดูกปราณ โลหิตปราณต่างก็ได้ถูกช่วงชิงไปจนหมด ถึงแม้ว่าการลงมือจะต่างกัน แต่ว่าเป้าหมายกลับออกมาในลักษณะเฉกเช่นเดียวกันอย่างนั้นหรือ?
บิดาของเขาเป็นถึงยอดฝีมือระดับแนวหน้าของจักรวรรดิเฟิงหมิง เป็นเพราะว่าบิดาจึงทำให้เขานั้นกลายเป็นบุคคลพิกลพิการไป ดีเสียกว่ากลายไปเป็นเภทภัยในภายภาคหน้าอย่างนั้นสินะ?
มีครั้งหนึ่งที่เขาได้สนทนากับฉู่เหยา นางเอ่ยนามหนึ่งขึ้นมา——ยิงฮวา
จักรวรรดิเฟิงหมิงมียอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่อยู่สามคน แบ่งเป็นยิงฮวา หวูฮวา และขุนนางเจิ้งหยวน พวกเขาถูกเรียกขานว่าเสาหลักทั้งสามแห่งเฟิงหมิง
ขุนนางเจิ้งหยวนมีหน้าที่คอยเฝ้าระวังเผ่าป่าเถื่อนที่นอกเขตแนวชายแดน หวูฮวาเป็นกองทหารรักษาการณ์ที่ชายแดนใต้ มีเพียงยิงฮวาที่ยังอยู่ภายในจักรวรรดิ
หากเป็นไปตามที่ฉู่เหยากล่าวมานั้นการฝึกยุทธ์ของเหล่าองค์ชายองค์หญิงต่างก็ได้รับการฝึกสอนจากหวูฮวา ด้วยเหตุนี้หลงเฉินจึงรับรู้ได้ว่ายิงฮวาผู้นั้นย่อมต้องเป็นผู้ก่อปัญหาใหญ่เหล่านี้อย่างแน่นอน
แม้แต่หลงเฉินที่เป็นคนนอกและได้ประมือกับฉู่เหยาเพียงครั้งเดียวยังรู้สึกได้ว่าบนร่างกายของนางนั้นไม่ปกติ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงสถานะยอดฝีมือระดับแนวหน้าแห่งเฟิงหมิงอย่างยิงฮวา มีหรือที่จะมองไม่ออกกัน?
ในเมื่อยิงฮวาคงทราบอยู่แก่ใจก็ไม่จำเป็นจะต้องกล่าวไปถึงเรื่องอื่นเลย นี่เป็นแผนการที่เขาได้วางเอาไว้หรือไม่ หรืออาจจะเป็นการลงมือของเขาเอง?
ถ้าหากยิงฮวาเป็นผู้ที่ลงมือเอง เช่นนั้นร่างกายของหลงเฉินนั้นจะเป็นฝีมือของเขาได้หรือไม่? ที่เขากระทำเช่นนี้มีเป้าหมายอันใดกันแน่? คิดที่จะทำให้พวกเขาพิการขึ้นมาจริงๆ อย่างนั้นหรือ? หรือว่าเขาจะมุ่งไปยังเป้าหมายที่ใหญ่กว่านี้กัน?
ภวังค์แห่งความคิดอันว้าวุ่นของหลงเฉินได้ถาโถมเข้ามาอย่างมากมาย คิดไปคิดมาก็มีแต่จะทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้า เรื่องราวเหล่านี้ช่างยากที่จะกำจัดออกไปได้อย่างง่ายดายเสียเหลือเกิน
“ช่างเถิด ค่อยหาเหยื่อล่อให้จิ้งจอกออกมาทีหลัง อย่างไรเสียพวกมันก็ต้องโผล่หางออกมาอยู่ดี ข้ายังมีเรื่องที่จำเป็นจะต้องทำอยู่ ในช่วงที่เหล่าจิ้งจอกแยกเคี้ยวออกมานั้น ขอเพียงให้ข้ากลายเป็นผู้ล่าเสียก่อนเถิด ไม่เช่นนั้นคงยากที่จะจัดการได้”
หลงเฉินหยุดความคิดทุกอย่างลง แล้วเดินกลับไปที่ห้องหับของตัวเองเพื่อเก็บตัวในทันที เขาเริ่มการไหลเวียนพลังขึ้น แต่ก็ต้องสะดุ้งจนตัวโยนจนเกือบจะชนไปถึงเพดาน
“นี่มันบ้าเกินไปแล้ว!”
หลงเฉินมองไปยังภายในจุดตันเถียน เส้นลมปราณทั้งสิบสายเติบโตขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง การขยายใหญ่โตของมันช่างน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว เส้นเหล่านั้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึงสามเชียะเลยทีเดียว
เมื่อนำมาเทียบกันกับก่อนหน้านี้แล้วช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว หลงเฉินหยุดยั้งอารมณ์ตื่นเต้นให้เบาบางลง แล้วค่อยๆ ไหลเวียนพลังลมปราณไปมาช้าๆ พลังปราณฟ้าดินทะลักเข้าสู่จุดดารากักวายุด้วยความรวดเร็วที่มากกว่าเดิมนับร้อยเท่า
หลงเฉินไม่รู้ว่าจะตื่นเต้นหรือตื่นกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงแค่ฝึกฝนไปได้ไม่นานก็ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ไม่ถูกต้องขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
ในขณะนี้พลังลมปราณทั้งสิบสายนั้นมีขนาดใหญ่ประดุจเขื่อนกักน้ำ อีกทั้งยังดูดซับพลังปราณฟ้าดินเข้ามาอย่างมหาศาลจนเต็มทั้งสิบสาย และเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเส้นบางๆ ขึ้นมาจนนับไม่ถ้วน
การเบิกเส้นลมปราณทั้งสิบสายขึ้นมาพร้อมกันก็เหมือนกับการเปิดรูดูดซับพลังปราณฟ้าดินอันมหาศาลเข้ามาด้วย
“ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนสถานที่แล้ว”
ค่ำคืนนั้นหลงเฉินได้ซ่อนเร้นพลังสภาวะบนร่างของตัวเองเอาไว้ แล้วค่อยๆ ออกไปจากกำแพงเมืองอย่างไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวไร้ซึ่งซุ่มเสียง เขาใช้ท่าร่างไล่วายุเพื่ออำพรางตัวประดุจหมอกควันจางๆ จนเดินทางไปถึงหุบเขาเมฆาคล้อย
หุบเขาเมฆาคล้อยช่างเงียบสงัดไปทุกสารทิศ แต่ทิวทัศน์ต่างๆ ก็ยังคงเหมือนเดิม มีเพียงเงาร่างของคนที่คุ้นเคยเท่านั้นที่ต่างออกไป ความคิดถึงบางอย่างก็ทำให้หลงเฉินเกิดความเจ็บปวดแปลบขึ้นมาในหัวใจ
ครั้งแรกที่ได้มายังสถานที่แห่งนี้ก็คือครั้งที่เขาได้ติดตามม่งฉีมา เมื่อนึกถึงใบหน้าอันงดงามของนางและประกายแววตาที่เหมือนกับหยาดน้ำค้างในรุ่งเช้า ภายในจิตใจของเขาก็เกิดความสับสนขึ้นมาอย่างร้อนรน
ส่วนครั้งที่สองก็ถูกฉู่เหยาใช้แหจับกุมแล้วถูกปล่อยลงที่นี่ เดิมทีที่เป็นฉากแห่งความแค้นเคือง แต่ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นภาพที่น่าจดจำขึ้นมาจนลึกถึงก้นบึ้งของหัวใจ
ขณะนี้ม่งฉีได้ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ แต่ใบหน้าที่งดงามดั่งนางฟ้านางสวรรค์ก็ยังคงติดตราตรึงใจของหลงเฉินอย่างไม่เสื่อมคลาย ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าตอนนี้นางจะเป็นอยู่เช่นไรบ้าง หรือนางจะลืมเลือนเขาไปแล้วกันนะ
และที่แห่งนี้ยังทำให้เขาเกือบตายไปเพราะศิษย์พี่ผู้โง่งมผู้นั้น จนหลงเฉินบังเกิดอาการไม่สบอารมณ์ขึ้นมาระลอกหนึ่ง ม่งฉีที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด ส่วนฉู่เหยาก็ถูกกักบริเวณเอาไว้ ตอนนี้จึงหลงเหลือเพียงเงาร่างของเขา ช่างน่าขมขื่นอะไรถึงเพียงนี้
หากคิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยความสุขอันเต็มเปี่ยมก็จำเป็นจะต้องมีพลังฝีมือเพื่อช่วยแก้ไขปัญหามากมายที่ถาโถมเข้ามา ด้วยพลังฝีมือของเขาในตอนนี้ก็ทำได้เพียงสูดลมหายใจเข้าฟอดหนึ่งเท่านั้น
หลงเฉินนั่งสมาธิอยู่บนศิลาก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง จากนั้นเขาก็ไหลเวียนพลังลมปราณขึ้นมานานหนึ่งก้านธูปมอดไหม้ แต่พลังปราณฟ้าดินกลับไม่ได้เพิ่มพูนมากขึ้นตามไปด้วย ทั้งที่พลังปราณฟ้าดินในหุบเขาแห่งนี้มากกว่าที่จวนของเขากว่าเท่าตัวเสียด้วยซ้ำไป
หลังจากผ่านพ้นไปแล้วสองวัน ภายในร่างกายของหลงเฉินก็ได้เกิดเสียงระเบิดขึ้นมาตูมหนึ่ง เขาลืมตาขึ้นมาช้าๆ บนใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความแปลกประหลาดใจจนถึงที่สุด
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าการก่อรวมพลังปราณขึ้นมาอีกนั้น จะทำให้พลังปราณเพิ่มพูนขึ้นมาเป็นสิบเอ็ดสายแล้ว เขาจึงได้แต่พ่นลมหายใจออกมาอย่างรุนแรง
เคล็ดกายานวดารา นี่เจ้าต้องการให้ข้าอยู่ในขอบเขตขั้นก่อรวมไปอีกนานเพียงใดกัน
หลงเฉินมองไปยังลมปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ ก็อดที่จะกล่าวด้วยเหมือนคำพูดเดิมไปไม่ได้: ทั้งเจ็บปวดและยินดีไปพร้อมกัน
ขณะที่หลงเฉินเดินไปตามรายทางที่จะมุ่งตรงกลับไปยังจวนนั้น เขาก็เอาแต่ครุ่นคิดอะไรบางอย่างจึงหันเหเส้นทางไปยังทางด้านชุมนุมผู้หลอมโอสถแทน เขากว้านซื้อสมุนไพรกลับมาอยู่หลายชุด
หลงเฉินเรียงสมุนไพรรายล้อมไปรอบห้อง พลันก็มีความคิดหนึ่งดังแว่วขึ้นมาในโสตประสาท: คงจะถึงเวลาทดลองเพลิงปราณใหม่กันแล้ว . . . .