“ครืน”
เตาหลอมโอสถปะทุไอร้อนระอุขึ้นมาเป็นสาย ก่อนที่จะค่อยๆ สงบลงจนเข้าสู่สภาวะปกติ มือข้างหนึ่งเปิดฝาเตาออกอย่างช้าๆ ภายในเตาบังเกิดประกายแสงลอดผ่านออกมาจนห้องหับสว่างไสวไปทั่วทั้งหมด
หลงเฉินชะโงกหน้ามองลงไปในเตาหลอม โอสถเม็ดกลมเม็ดหนึ่งกำลังเกลือกกลิ้งไปมา พลันดวงตาของเขาก็เบิกกว้าขึ้นอย่างแตกตื่น——โอสถระดับสูง ในที่สุดก็สามารถหลอมโอสถระดับสูงขึ้นมาได้แล้ว
โอสถระดับล่างจะใช้กลิ่นหอมของโอสถเป็นตัวบ่งบอก ส่วนโอสถระดับกลางดูได้จากร่องรอยของเม็ดโอสถ และโอสถระดับสูงนั้นจะดูที่ประกายของแสงสว่างที่เกิดจากตัวของโอสถเอง
นอกจากปรมาจารย์หวินฉีแล้วทั่วทั้งจักรวรรดิเฟิงหมิงก็ไม่มีผู้ใดสามารถหลอมโอสถระดับสูงขึ้นมาได้ แต่ในตอนนี้หลงเฉินได้กลายเป็นคนที่สองไปแล้ว
“แม้ว่าประกายแสงนี้จะสว่างไสวแต่ก็อาจมาจากเพลิงปราณ อีกทั้งพลังฝีมือที่ยังไม่สมบูรณ์แบบจึงทำให้เกิดจุดด่างพร้อยอยู่มากพอควร แต่ได้ถึงระดับนี้ก็เพียงพอใจแล้ว”
หลงเฉินมองไปยังโอสถระดับสูงที่อยู่บนฝ่ามือด้วยความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้นมาอย่างเปี่ยมล้น โอสถเม็ดนี้มีนามว่าโอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูก
โอสถที่หลอมจนขึ้นมาสำเร็จนี้เกิดจากภาพแห่งความทรงจำของจักรพรรดิโอสถที่อยู่ในจิตสำนึกของหลงเฉิน ถึงแม้ว่าจะเป็นโอสถระดับสูงเพียงเม็ดเดียวแต่ว่าด้วยยุคสมัยนี้ไม่ว่าจักรวรรดิใดก็ยกย่องให้วิชาการหลอมโอสถเป็นศิลปะขั้นสูงที่สุด
ด้วยเหตุนี้โอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกระดับสูงที่อยู่ในมือของหลงเฉินจึงถือว่ายอดเยี่ยมที่สุดแล้ว หลงเฉินจัดเก็บโอสถเอาไว้เป็นอย่างดีแล้วเริ่มหลอมโอสถใหม่ตลอดทั้งคืน ถึงแม้ว่าเขาจะเหนื่อยล้าอยู่เต็มประดาก็ตาม
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนเป็นช่วงที่ท้องนภากำลังจะส่องสว่างในอีกหนึ่งชั่วยาม หลงเฉินก็ได้เอนกายพร้อมกับปิดเปลือกตาลงเพื่อพักสมาธิจนค่อยๆ กลับคืนมาอย่างช้าๆ
หลังจากที่เขาได้ดูดซับสัตว์เพลิงไปเมื่อก่อนหน้านี้ก็ทำให้ระดับความแข็งแกร่งของเพลิงปราณเพิ่มสูงขึ้นมากว่าเดิมนับสิบเท่า ฉะนั้นการจะควบคุมสัตว์เพลิงได้นั้นย่อมผลาญพลังแห่งจิตวิญญาณไปเป็นอย่างมากเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นหลงเฉินที่มีเพลิงปราณที่ก่อเกิดขึ้นมาใหม่ และยังไม่ได้ปรับให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมจึงยิ่งสูญเสียพลังแห่งจิตวิญญาณมากขึ้น เขาจึงจำเป็นจะต้องพักฟื้นพลังอีกสักพักใหญ่
เมื่อแสงแรกจากดวงอาทิตย์ได้สอดส่องเข้ามาตามช่องประตูและหน้าต่าง หลงเฉินรู้สึกตัวและลืมตาตื่นขึ้นมาจากนิทรา
เมื่อได้ทานอาหารเช้าจนอิ่มหนำสำราญแล้ว หลงเฉินก็ได้นำโอสถไปลงทะเบียนไว้ที่หมู่ตึกฮวาหวิน ในที่สุดก็ถึงวันที่งานประมูลที่จัดขึ้นปีละหนึ่งครั้งกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
งานประมูลของหมู่ตึกฮวาหวินจะเริ่มขึ้นในตอนกลางวัน ซึ่งจะดำเนินการประมูลไปต่อเนื่องสามวันเต็มๆ ฉะนั้นในเวลานี้จึงไร้ซึ่งวี่แววของผู้คนที่จะเข้าร่วมงาน มีเพียงหลงเฉินเท่านั้นที่มาเป็นคนแรก
หมู่ตึกฮวาหวินตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเฟิงหมิง สถานที่แห่งนี้อยู่ในพื้นที่ที่เป็นใจกลางของจักรวรรดิเลยก็ว่าได้ ตัวตึกมีความสูงเกือบร้อยช่วงตัวและถูกปลูกสร้างให้มีรูปลักษณ์ที่สวยงามดูภูมิฐาน
หลงเฉินเดินเข้ามาถึงห้องโถงใหญ่ภายในหมู่ตึกฮวาหวิน ทันใดนั้นเขาก็ได้พบกับหญิงสาวรูปร่างดีทั้งสี่คนกำลังส่งยิ้มกว้างมาให้ และกล่าวทักทายต่อหลงเฉินว่า
“ยินดีต้อนรับนายท่าน เรียนถาม……อา”
หญิงสาวเหล่านั้นคงจะเคยชินกับการต้อนรับดีอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นว่าร่างเงาที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าของพวกนางนั้นเป็นหลงเฉินผู้แข็งแกร่ง ใบหน้าทั้งสี่กลับเกิดอาการปากอ้าตาเบิกกว้างขึ้นมาในทันที
หลงเฉินทอสีหน้าโง่งมขึ้นมาแล้วก้มมองไปยังอาภรณ์ของตัวเอง เขาก็เพิ่งจะผลัดเปลี่ยนไปแล้วก่อนออกมาจากจวน ก็ไม่ควรจะไม่มีปัญหาอันใดจึงจะถูกไม่ใช่หรือ
“ยามเช้าตรู่เช่นนี้กลับซุบซิบกันวุ่นวาย นี่พวกเจ้าทำสิ่งใดกันอยู่ หลายวันก่อนข้าก็ได้สั่งสอนเรื่อฃกิริยามารยาทให้พวกเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรืออย่างไรกัน เหตุใดถึงยังทำตัวเช่นนี้กันได้……อา หลงเฉินซื่อจื่อ?”
ชายหนุ่มที่มีใบหน้าสะอาดหมดจดผู้หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นมาจากเบื้องหลังของหญิงสาวเหล่านั้น เขาสวมอาภรณ์ที่มิดชิดและดูแปลกตา เขาเดินตรงมายังกลุ่มของหญิงสาวแล้วกล่าวตักเตือนถึงกิริยาท่าทางที่ควรสงบเสงี่ยม แต่ทว่าเมื่อสายตาของเขาประสานเข้ากับสายตาของหลงเฉินก็อดร้องเสียงหลงออกมาด้วยความตกใจเป็นไม่ได้
“ฟู่กุ้ย ไม่เจอกันนานเลย” หลงเฉินยิ้มกว้างแล้วกล่าวทักทายออกไป
ชายหนุ่มผู้นั้นคือคนที่มาเชื้อเชิญให้หลงเฉินเข้าร่วมงานประมูลนั่นเอง แม้ว่าเวลาจะผ่านไปยาวนานแล้ว แต่หลงเฉินก็ยังจดจำชื่อเสียงเรียงนามของเขาได้ก็เป็นเพราะว่านามนั้นมีความพิเศษเป็นอย่างยิ่ง
นามฟู่กุ้ยนั้นมักจะถูกนำไปตั้งให้สัตว์เลี้ยงเท่านั้น นี่ก็ถือได้ว่าเขานั้นประสบผลสำเร็จแล้เมื่อผู้คนสามารถจดจำนามของเขาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน จึงใช้ที่พิสูจน์ได้แล้วว่าเขานั้นเฉิดฉายในอาชีพนี้ได้แล้ว
เมื่อฟู่กุ้ยเห็นหลงเฉินจึงเกิดความปิติยินดีขึ้นมาเสียยกใหญ่ ในหนึ่งปีเขาสามารถเชื้อเชิญแขกภายนอกได้เพียงสามคนเท่านั้น และแต่ละคนต่างก็ได้ถูกเชิญไปจนหมดแล้ว
จากสามคนนั้นก็มีนักท่องยุทธภพที่มีพลังฝีมืออันร้ายกาจ อีกหนึ่งนั้นก็เป็นพ่อค้าที่มีฐานะมั่งคั่งผู้หนึ่งแต่หลังจากผ่านการตรวจสอบแล้วก็พบว่าไม่มีสิ่งของใดสามารถจูงใจให้พวกเขาเข้าร่วมงานประมูล
แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้แล้ว เหล่าแขกมากมายต่างก็ถูกผู้ดูแลในระดับสูงกว่าทำการเชื้อเชิญไปจนหมดสิ้นแล้ว ต่อให้เขาพยายามจะไขว่คว้าเอาไว้เพียงใดก็ยังยากที่จะกระทำได้
ฟู่กุ้ยจึงให้ความสนใจต่อหลงเฉินแต่เพียงผู้เดียวมาโดยตลอด หลังจากที่หลงเฉินได้รับการเชื้อเชิญจากเขาก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาแต่อย่างใดจนทำให้เขาเกือบจะต้องหนักใจขึ้นมาอีกครั้ง
ยิ่งเข้าใกล้วันงานที่จะเริ่มต้นในวันนี้แล้ว ในใจของฟู่กุ้ยก็ยิ่งสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อยๆ เดิมทีเขาคิดว่าในปีนี้อาจจะพอมีความหวังขึ้นมาได้บ้าง แต่เอาเข้าจริงก็คงจะต้องรอชี้เป็นตายในปีหน้าอย่างนั้นกระมัง แต่เมื่อร่างเงาของหลงเฉินได้ปรากฏอยู่ที่เบื้องหน้าของเขา ความหวังที่ที่ได้ถูกฝังไปก็คล้ายกับได้เกิดขึ้นมาใหม่อย่างไรอย่างนั้น จนไม่อาจจะปกปิดความลิงโลดภายในจิตใจเอาไว้ได้เลย
“หลงเฉินซื่อจื่อ หลงเฉินซื่อจื่อ ในที่สุดท่านก็มาจนได้ ข้าคิดว่าท่านหลงลืมเรื่องนี้ไปแล้วเสียอีก” ฟู่กุ้ยยิ้มกว้างด้วยความดีใจจนถึงที่สุด
“เหอะเหอะ ต้องขออภัยด้วย ช่วงนี้มีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นมากมาย แต่ครั้งนี้ข้าได้นำของบางอย่างมาด้วย ช่วยเรียกผู้ประเมินของพวกเจ้าออกมาที จะได้เจรจาเรื่องการประมูลในครั้งเดียว นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาแล้วคงจะต้องรีบหน่อย” หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าวต่อฟู่กุ้ย
“ได้ได้ หลงเฉินซื่อจื่อ เชิญตามข้ามา” เมื่อทราบว่าหลงเฉินได้นำสิ่งของมาประมูลด้วย ฟู่กุ้ยก็ยิ่งดีใจขึ้นมามากกว่าเดิม เขารีบเชื้อเชิญให้หลงเฉินตามขึ้นไปยังชั้นบนทันที
หญิงสาวสี่นางเมื่อครู่ยังคงยืนเหม่อมองไปยังเงาร่างของหลงเฉินที่กำลังหายลับไปจากลานสายตาของพวกนาง
“สวรรค์ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะได้พบมากับบุคคลที่เขาเล่าลือถึงความน่าเกรงขาม”
“เขาเป็นถึงรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิเชียวนะ ที่ได้ต้อนรับอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นจนแทบตายแล้ว”
ในระหว่างที่หญิงสาวเหล่านั้นกำลังกระซิบกระซาบอยู่ที่ชั้นล่างนั้น หลงเฉินก็เดินตามฟู่กุ้ยจนมาถึงห้องพิเศษชั้นสองที่ดูหรูหราแห่งหนึ่ง
เมื่อพวกเขาก้าวเข้าสู่ห้องพิเศษ ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวสวมชุดโบราณเดินตรงเข้ามาหาแล้วโค้งคำนับลงตรงหน้าของหลงเฉิน หลังจากนั้นนางก็รินน้ำเพื่อชำระล้างใบชาด้วยน้ำแรก นางคงจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการชงชาผู้หนึ่งอย่างแน่นอน
“หลงเฉินซื่อจื่อ เชิญดื่มน้ำชาก่อนเถิด ข้าจะรีบไปตามผู้ประเมินมาให้ ไม่ทราบว่าท่าจะใช้นามแฝงว่า……” ฟู่กุ้ยเอ่ยถามขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เพราะในการประเมินสิ่งของแต่ละชิ้นจะถูกประเมินจากผู้ประเมินคนละคนกัน
“ตันเย่า (โอสถ丹药)” หลงเฉินยิ้มน้อยๆ แล้วตอบกลับไป
ฟู่กุ้ยทอแววตาเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด กล่าวอย่างรีบร้อนว่า “โปรดรอสักครู่ ข้าจะรีบไปแล้วรับกลับมา”
“ท่านซื่อจื่อโปรดรับน้ำชาเอาไว้ด้วย”
หญิงสาวผู้เชี่ยวชาญในการชงชาใช้สองมือพยุงไปที่แก้วชาแล้วเดินเข้ามาอย่างช้าๆ แม้แก้วชาจะยังมาไม่ถึง แต่กลิ่นอันหอมหวนของชากลับโชยพัดมาก่อนอย่างรุนแรง
“เป็นชาที่ดียิ่งนัก”
หลงเฉินจิบน้ำชาแก้วนั้นอย่างช้าๆ ความอบอุ่นบางอย่างตลบอบอวลไปทั่วทั้งปาก ผสมผสานกับกลิ่นอันหอมหวานของชาทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าคล้ายกับได้ขึ้นสวรรค์
“ชาว่าดีแล้วแต่ผู้ชงนั้นดียิ่งกว่า” หลงเฉินมองไปยังหญิงสาวผู้เชี่ยวชาญในการชงชาแล้วยิ้มให้นาง
หญิงสาวนางนั้นมีใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาคู่งามเบือนหนีจากการสบสายตากับหลงเฉิน เป็นที่น่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง หลงเฉินที่เกิดความชื่นชมต่อนางอยู่แล้วส่วนหนึ่ง แต่เพียงครู่เดียวที่นางแสดงความเขินอายขึ้นมาเช่นนั้นก็ทำให้เขาแทบจะลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างไปเลย
หญิงสาวผู้นั้นถือว่ามีฝีมือในการชงชาที่ยอดเยี่ยมโดยเฉพาะความร้อนของน้ำที่เหมาะสม จึงทำให้หลงเฉินนับถือขึ้นมาจับใจ การชงชาให้กลมกล่อมนั้นมีน้อยคนนักที่จะกระทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้
แต่ทว่าอารมณ์ของเขานั้นกลับคงอยู่ไม่นานนัก จนทำลายความคาดหวังของคนบางคนไปได้ หลงเฉินคืนความรู้สึกกลับมาในทันที แล้วก็ไม่ได้ดื่มชาแก้วนั้นเข้าไปอีก จากนั้นก็เริ่มปิดเปลือกตาลงเพื่อซึมซับรสชาติที่แท้จริงของชา
ทันใดนั้นหญิงสาวผู้เชี่ยวชาญในการชงชาก็เกิดอาการกระอักกระอ่วนขึ้นมาในทันใด นางคาดไม่ถึงว่าการทดสอบที่ตัวเองใช้มานับหมื่นวิชาจากหลายสำนักจะทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้ไปได้
บรรยากาศที่กระอักกระอ่วนเช่นนั้นได้ยุติลงอย่างรวดเร็วเมื่อฟู่กุ้ยกลับเข้ามายังห้องพิเศษแห่งนี้ ในเวลาเดียวกันข้างกายเขาก็มีร่างของชายชราอายุประมาณหกสิบปียืนอยู่ด้วย
เมื่อพวกเขาทั้งสองคนมาถึง หญิงสาวผู้เชี่ยวชาญในการชงชานางนั้นก็ได้ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ชายชราผู้นั้นยื่นมือที่กุมอยู่ที่บริเวณหน้าอกออกจึงเผยให้เห็นถึงสัญลักษณ์ของสภาผู้หลอมโอสถขึ้นมา
“หลงเฉินซื่อจื่อ ข้าขอแนะนำตัวก่อน ข้าน้อยมีนามว่าเชียนฟู่ (钱福มั่งมีเงินทอง) เป็นศิษย์โอสถเช่นเดียวกัน คงต้องขอคำชี้แนะจากท่านแล้ว”
หลงเฉินแสดงแววตาไร้ซึ่งอารมณ์อันใด แต่เมื่อชายชราผู้นั้นได้แนะนำตัวว่าเป็นคนของทางสภาหลอมโอสถ เขาจึงตอบกลับไปอย่างมีมารยาท
“ท่านก็เกรงใจมากเกินไปแล้ว ประสบการณ์การหลอมโอสถของท่านนั้นอาวุโสกว่าข้าอยู่แล้ว”
หลังจากที่เกรงอกเกรงใจกันไปมาอยู่พักใหญ่ หลงเฉินก็ได้กล่าวแยกขุนเขาออกจากกันว่า “ครั้งนี้ข้านำโอสถมาหลายเม็ดเพื่อเข้าร่วมการประมูล เชิญท่านตรวจสอบดูก่อน”
หลงเฉินกล่าวจบก็ได้ยื่นขวดหยกใบหนึ่งให้แก่เชียนฟู่ ชายชรายื่นมืออันสั่นเทาทั้งสองข้างไปรับขวดหยกเอาไว้อย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็สวมถุงมือทั้งสองข้าง นำถาดหยกถาดหนึ่งวางบนโต๊ะ แล้วก็เทเม็ดโอสถที่อยู่ภายในขวดหยกออกมา
“นี่คือ……”
เชียนฟู่จ้องมองไปยังโอสถเม็ดนั้น เขาพบโอสถระดับกลางขั้นที่สองเม็ดหนึ่ง แล้วก็พลิกดูอย่างถี่ถ้วนว่าโอสถเม็ดนั้นไม่ได้มีความผิดปกติอันใด แต่ก็ไม่อาจปดปิดสายตาที่โง่งมเอาไว้ได้เพราะเขาไม่รู้จักมักคุ้นว่าโอสถเม็ดนี้เป็นโอสถที่ใช้เพื่อการใด
เชียนฟู่มีพรสวรรค์อย่างจำกัดแต่ก็ยังได้อยู่ในระดับผู้หลอมโอสถ ในชีวิตนี้จึงได้เคยพบพานกับโอสถมามากมายจนนับไม่ถ้วน ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่คงจะไม่ได้เป็นผู้ประเมินระดับสูงของหมู่ตึกฮวาหวินได้แน่นอน
ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เป็นโอสถระดับสองอยู่ดี แต่โอสถเม็ดนี้กลับทำให้เขาต้องชั่งใจอยู่เกือบครึ่งวันแล้ว แล้วก็ตัดสินใจนำเอาเครื่องมือตรวจสอบขนาดเล็กออกมา
บัดนี้ใบหน้าของเชียนฟู่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน เขาไม่อาจทราบได้ว่านี่คือโอสถอันใด แล้วเช่นนี้เขายังจะมีหน้ามาเป็นผู้ประเมินได้อีกอย่างนั้นหรือ
หลงเฉินจ้องมองไปบังใบหน้าเ**่ยวย่นของชายชราก็พอที่จะคาดเดาความลำบากของเขาขึ้นมาได้ โอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกเม็ดนี้มาจากจักรพรรดิโอสถจึงย่อมเป็นโอสถที่น้อยคนนักจะรู้จัก
หลงเฉินใช้สมุนไพรไปทั้งสิ้นสองร้อยสิบเจ็ดชนิดเพื่อหลอมรวมโอสถเม็ดนี้ขึ้นมา ถึงแม้ว่าสมุนไพรเหล่านั้นจะไม่ใช่วัตถุดิบที่ล้ำค่ามากนักก็ตาม ด้วยการรวมสมุนไพรที่แตกต่างกันกว่าสองร้อยชนิดจนก่อเกิดคุณสมบัตินานาประการ
โดยปกติแล้วการหลอมโอสถจะใช้สมุนไพรสามถึงห้าชนิด บางครั้งก็หลายสิบชนิด หลอมจนเป็นผุยผงด้วยวิธีการในแต่ละครั้งที่อาจจะไม่เหมือนกัน จากนั้นจึงค่อยนำมาหลอมเป็นโอสถ
ในขณะที่หลงเฉินได้หลอมโอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกเม็ดนี้ขึ้นมา เขาก็สัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์อันลึกล้ำของวิถีโอสถ สมุนไพรที่ต่างกันแต่กลับถูกหลอมรวมเอาไว้ด้วยกันก็ย่อมเกิดผลลัพธ์ที่ยากจะคาดเดาได้ ช่างเป็นฝีมือที่น่าประหลาดใจเมื่อเทียบกับผู้หลอมโอสถธรรมดาสามัญทั่วไป
“แค่กแค่ก ข้าน้อยดูไม่ผิดไปเสียแล้ว นี่เป็นโอสถรักษาอาการบาดเจ็บชนิดหนึ่ง อีกทั้งผลลัพธ์ยังแข็งแกร่งจนน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง”
แม้จะพิจารณาอยู่นานแต่เชียนฟู่กลับไม่อาจเอ่ยนามของโอสถเม็ดนี้ได้ แต่ก็ยังดีที่สามารถบ่งบอกถึงประโยชน์และผลลัพธ์ของมันออกมาได้ เขาที่เป็นถึงผู้ประเมินระดับสูงย่อมไม่ทำงานอย่างชุ่ยๆ แน่นอน
เชียนฟู่ทอสีหน้าแดงก่ำขึ้นมาที่เขาไม่อาจระบุนามของโอสถได้อย่างชัดเจน เขาจึงไม่อาจนำออกไปประมูลได้ นี่ไม่ใช่การหลอกลวงผู้คนอย่างนั้นหรือ? เรื่องเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของหมู่ตึกฮวาหวินได้
เชียนฟู่มีหน้าที่รับผิดชอบในการประเมินโอสถประจำหมู่ตึกฮวาหวิน เขาทำงานในที่แห่งนี้มากว่าสามสิบปีแล้ว ผ่านการตรวจสอบตำรามานับไม่ถ้วนทั้งโอสถระดับต่ำกว่าระดับที่สามจนสามารถหลับตาท่องออกมาได้เลย แต่ในวันนี้กลับเป็นการเปิดหูเปิดตาเข้าไปยังตำราเล่มใหม่เสียแล้วจริงๆ
“ซื่อจื่อ ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ชื่อของมันข้าก็ยังเรียกได้ถูก อีกทั้งยังไม่ทราบถึงคุณสมบัติอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงไม่กล้าพอที่จะรับโอสถเม็ดนี้เอาไว้ได้” เชียนฟู่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจขึ้นมาอีกระลอก
เมื่อเชียนฟู่กล่าวจบ หลงเฉินก็ไม่ได้แสดงทีท่าอันใดออกมา บนใบหน้าของฟู่กุ้ยเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ ถ้าหากสิ่งของของหลงเฉินไม่อาจนำไปประมูลได้ เช่นนั้นส่วนแบ่งกำไรของเขาก็เท่ากับสูญเปล่าไปแล้ว ตอนนี้เขามีหลงเฉินเป็นร่มไม้ที่คอยบดบังแสงแดดแผดเผาจนเขาต้องไหม้ตายไปด้วยอย่างนั้นหรือ
“โอสถเม็ดนี้มีนามว่าโอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูก เป็นโอสถประหลาดที่มีไว้เพื่อรักษาบาดแผลภายนอก” หลงเฉินยิ้มน้อยๆ แล้ววกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งอีกครั้ง ต่อให้ท่านบอกชื่อของมันออกมา พวกเราก็คงไม่อาจที่จะรับเอาไว้ได้” เชียนฟู่โค้งตัวลงพร้อมกับกล่าวขอโทษขอโพยเสียยกใหญ่ เรื่องที่ช่วยไม่ได้เช่นนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของหมู่ตึกฮวาหวิน เขาจึงไม่อาจปล่อยให้เกิดความสุ่มเสี่ยงเช่นนั้นได้
อย่างไรเสียก็ไม่อาจยินยอมรับฟังจากผู้อื่นได้ หากว่าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย สิ่งที่เชียนฟู่กระทำมาทั้งชีวิตก็จะต้องถูกทำลายไปด้วย
“ไม่เป็นไร หากเจ้าไม่อาจบอกถึงคุณสมบัติของโอสถได้ ข้าจะเป็นคนยืนยันให้แก่เจ้าเอง” หลงเฉินกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ยืนยัน?” เชียนฟู่และฟู่กุ้ขมวดคิ้วขึ้นมาพร้อมกัน
“เสียมารยาทแล้ว”
ทันใดนั้นกลางฝ่ามือของหลงเฉินก็มีมีดยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา ในขณะที่ชายทั้งสองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากำลังแตกตื่นอยู่นั้น
“ฉับ”
สายโลหิตสีแดงพุ่งกระฉูดออกมา . .