ในขณะนี้ก็ถึงช่วงกลางวันของวันประมูล แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากฟากฟ้าสะท้อนไปยังหมู่ตึกฮวาหวินที่ยิ่งดูใหญ่โตมโหฬารขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้ว่าแสงแดดจะร้อนแรงสักเพียงใด แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนมากมายลดละจากการเดินทางมาค้นหาสมบัติอันล้ำค่าที่หมู่ตึกฮวาหวินได้เลย
บริเวณด้านหน้าของหมู่ตึกฮวาหวินมีห้องโถงใหญ่ที่กว้างขวางอันเป็นสถานที่จัดงานประมูลในครั้งนี้ เก้าอี้ที่จัดเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบถูกจับจองจากผู้คนที่ได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าร่วมงาน มีทั้งผู้ที่มีฐานะมั่งคั่ง มียศถาบรรดาศักดิ์ที่สูงส่ง และเหล่ายอดฝีมือทั้งหลาย
“ฮ่าฮ่า นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าร่วมงานประมูลของหมู่ตึกฮวาหวินเลยทีเดียว ช่างน่าปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง” เจ้าลิงผอมมองออกไปจากหน้าต่างภายในห้องพิเศษด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ
ซือเฟิง เจ้าอ้วน และพวกพ้องก็มองออกไปจากหน้าต่างบานเดียวกัน พวกเขาสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่อยู่ภายนอกได้อย่างชัดเจน แต่ผู้อื่นกลับไม่อาจที่จะมองเห็นพวกเขาได้
โดยมากแล้วบุคคลที่มีชื่อเสียงของจักรวรรดิจะได้พักอยู่ในห้องพิเศษนี้ก่อน ซือเฟิงและพวกพ้องก็เป็นหนึ่งในห้องพิเศษนั้นเช่นกัน พวกเขาได้นั่งรวมอยู่กับผู้มีชื่อเสียงมากมายจนเกิดความเหิมเกริมขึ้นมาในใจ
“หากวันนี้ไม่ได้ติดตามหลงเฉินมาเปิดหูเปิดตาในสถานที่รโหฐานเช่นนี้ เกรงว่าทั้งชีวิตคงจะไม่มีวาสนาได้เข้ามาเหยียบอย่างแน่นอน” ซือเฟิงกล่าวออกมาพร้อมกับมองไปโดยรอบอย่างตื่นตาตื่นใจ
ในขณะนี้ซือเฟิงได้รับการรักษาและฟื้นฟูร่างกายจนแข็งแกร่งสมบูรณ์เกือบทุกส่วนแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะปฏิเสธการติดตามหลงเฉินมาด้วย
อารมณ์ชั่ววูบในครั้งนั้นก่อเกิดความผิดพลาดอย่างร้ายแรงจนเขานั้นได้ลิ้มลองรสชาติของความเจ็บปวดที่แสนทรมาน แต่เรื่องราวในวันนี้ก็ช่วยให้จิตใจของเขามีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น คิดไม่ถึงว่าจะสามารถทะลวงพลังติดต่อกันจนถึงขอบเขตพลังก่อโลหิตระดับที่สามได้แล้ว ขาดอีกเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้นก็จะเข้าสู่ก่อโลหิตตอนกลาง
บิดาของซือเฟิงนั้นมีพลังที่อยู่ในขั้นก่อโลหิตตอนกลางเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ซือเฟิงจึงกลายเป็นความหวังสูงสุดของตระกูลในตอนนี้เลยก็ว่าได้
ความเป็นจริงแล้วที่ซือเฟิงสามารถทะลวงพลังได้อย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความขยันหมั่นเพียรของเขาเอง อีกส่วนหนึ่งก็จากโอสถของหลงเฉิน
จากเหตุการณ์ในเทศกาลโคมไฟที่ซือเฟิงได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้นก็เป็นเพราะหลงเฉินเป็นสาเหตุหลัก ภายในจิตใจของหลงเฉินจึงเกิดความละอายใจอยู่ไม่น้อย จึงเอาโอสถรวมแกนพลังให้แก่ซือเฟิงไปอีกเม็ดหนึ่ง
โอสถเม็ดนั้นช่วยปรับพื้นฐานของการรวมพลังขึ้นมายังเส้นลมปราณ ฤทธิ์ของโอสถมีความแข็งแกร่งอย่างมากจนซือเฟิงสามารถทำลายพันธนาการได้อย่างง่ายดายและก้าวสู่พลังขั้นต่อไปได้รวดเร็ว
“ใช่แล้ว หลงเฉิน เหตุใดหมู่ตึกฮวาหวินจึงได้ให้ความสำคัญต่อเจ้าถึงเพียงนี้ ถึงกับจัดเตรียมห้องพิเศษที่หรูหราให้เลยอย่างนั้นหรือ?” ซือเฟิงเอ่ยถามออกมา
ผู้คนนับหมื่นที่เข้าร่วมงานประมูลต่างก็อยู่ในห้องโถงใหญ่ด้านหน้า ส่วนห้องพิเศษชั้นสองกลับมีผู้คนเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น ซึ่งเป็นแขกผู้มีเกียรติระดับสูงแทบทั้งสิ้น หากกล่าวกันด้วยเหตุและผลแล้วหลงเฉินย่อมไร้ซึ่งคุณสมบัติที่จะได้เข้าพักที่ห้องพิเศษที่หรูหราเช่นนี้
“เจ้าคิดว่าห้องพิเศษนี้ให้เปล่าหรืออย่างไรกัน เมื่องานประมูลได้เริ่มขึ้น ถึงตอนนั้นพวกเราก็คงจะได้กระอักเลือดกันออกมาคำโตเป็นแน่” หลงเฉินกล่าว
“ช่างมันเถิด สิ่งของล้ำค่าที่นำมาประมูลปีละหนึ่งครั้งนี้ต่างก็เป็นของหายากและดีเยี่ยมจนถึงที่สุดกันทั้งนั้น หากนำออกมาขาย พวกข้าก็คงไม่อาจซื้อได้แม้แต่ชิ้นเดียว” เจ้าลิงผอมปาดเหงื่อที่ซึมอยู่บนหน้าผาก
“คิดมากไปแล้ว ด้วยรูปร่างอย่างเจ้าน่ะหรือ ต่อให้พวกเขานำออกมาขายก็คงจะไม่ถึงรอบของเจ้าหรอก อีกทั้งยังไม่รู้ว่าจะชั่งขายหรือว่าแยกขายเป็นชิ้นส่วน อย่างไรเสียเจ้าก็รอดพ้นปลอดภัยอยู่แล้ว” เจ้าอ้วนกล่าว
“ข้าก็ไม่ได้กลัวเสียหน่อย เจ้ากลัวอันใดกัน ขอแค่พวกเราได้ติดตามพี่หลงก็พอแล้ว”
หลงเฉินหัวเราะออกมายกใหญ่แล้วกล่าวว่า “โปรดวางใจเถิด ถ้าไม่มีผู้ใดมาขับไล่พวกเราออกไปก็คงจะเพียงพอแล้ว เอ๊ะ นั่น…”
หลงเฉินเกิดอาการแปลกประหลาดใจขึ้นมาเมื่อเห็นเงาร่างที่คุ้นเคย——เซี่ยฉางเฟิง ทันใดนั้นดวงตาทั้งสองของเขาก็แผ่รังสีสังหารอันเยือกเย็นขึ้นมาเป็นสาย
เจ้าตัวบัดซบผู้นี้ยังไม่กลับจักรวรรดิของตัวเองไปอีกหรือ หลงเฉินจ้องมองไปยังเงาร่างที่เพิ่งจะเข้ามาเยือนพร้อมกับกัดฟันแน่นขึ้นมาด้วยความโกรธแค้น เซี่ยฉางเฟิงที่ปรากฏตัวขึ้นในตอนนี้กลับคืนสู่สภาวะที่เปล่งเป็นประกายดังเช่นเมื่อหลายวันก่อน เขาติดตามมาพร้อมกับองค์ชายใหญ่เซี่ยหยางที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส
ด้านหลังของชายหนุ่มทั้งสองมีหญิงสาวรูปร่างอรชรนางหนึ่งเดินตามมาด้วย นางก็คือเซี่ยปายฉือผู้ที่ประลองโอสถจนพ่ายแพ้ให้แก่หลงเฉินไปนั่นเอง
ถัดไปจากนั้นก็มีองครักษ์อีกนับสิบคนที่ยังดูเป็นวัยฉกรรจ์อยู่ ดูไปแล้วพวกเขาน่าจะอายุสามสิบปีเท่านั้น หลงเฉินดูออกว่าพวกเขาย่อมต้องเป็นยอดฝีมือขอบเขตก่อโลหิตไปแล้วอย่างแน่นอน
หลงเฉินกวาดสายตามองไปที่กลุ่มคนเหล่านั้นจนหยุดลงที่ชายผู้หนึ่ง ภายในจิตใจก็เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของจิตแห่งวิญญาณที่คุ้นเคย
ภวังค์แห่งความคิดของหลงเฉินหวนขึ้นมาอีกครั้ง เขานึกถึงช่วงเวลาที่หลีเฮ่าได้พ่ายแพ้ไปเมื่อนานมาแล้ว และถูกสังหารเพื่อปิดปากลงต่อหน้าเขา นั่นก็คือชายผู้ที่สวมหมวกสานในวันนั้น
ถึงแม้ว่าในเวลานั้นเขาจะสวมหมวกสานเอาไว้จนหลงเฉินไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาได้ อีกทั้งชายผู้นั้นยังหลบหนีไปด้วยความเร็วสูง แค่พริบตาเดียวก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทว่าหลงเฉินเป็นผู้หลอมโอสถที่มีพลังแห่งจิตวิญญาณอันแข็งแกร่ง
เพียงพอที่จะใช้พลังแห่งจิตวิญญาณจับความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ เพราะการเคลื่อนไหวของพลังแห่งจิตวิญญาณของแต่ละผู้คนนั้นแตกต่างกันออกไปโดยทั้งสิ้น การมีประสาทการรับรู้ที่รวดเร็วและฉับพลันราวกับเป็นสัตว์นักล่านี้เป็นความสามารถเฉพาะของผู้หลอมโอสถเลยก็ว่าได้
“คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นคนขององค์ชายใหญ่”
หลงเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย หรือว่าแท้ที่จริงแล้วเบื้องหลังของเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นเขาที่คอยชักใยอยู่? หลงเฉินครุ่นคิดถึงความเป็นเหตุและผล จนบัดนี้องค์ชายใหญ่นำพาพวกของเซี่ยฉางเฟิงเข้ามาถึงห้องพิเศษอีกห้องหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ดูสิ องค์ชายสี่ก็มา” เจ้าลิงผอมกล่าว
หลงเฉินใช้มือข้างหนึ่งเลิกม่านที่หน้าต่างขึ้น จนสายตาได้เห็นเงาร่างขององค์ชายสี่และองค์ชายคนอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน ทว่าที่น่าประหลาดใจก็คือในหมู่องค์ชายกลับไร้วี่แววของฉู่ฟง หลงเฉินจึงคิดไปว่าเขาคงจะหลบเลี่ยงเพื่อฝึกปรืออยู่ก็เป็นได้
องค์ชายสี่และองค์ชายคนอื่นๆ เดินเข้าไปยังห้องพิเศษอีกห้องด้วยเช่นกัน ทว่ากลับเป็นคนละห้องกับองค์ชายใหญ่และเซี่ยฉางเฟิง
“เหอะเหอะ วันนี้พวกเรามีบุญวาสนาได้นั่งเทียบเคียงระดับเดียวกันกับเหล่าองค์ชายแล้ว” เจ้าลิงผอมกล่าวออกมาด้วยความดีใจเสียยกใหญ่ที่ได้อยู่ภายในห้องพิเศษเช่นเดียวกับเหล่าองค์ชาย ย่อมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากแล้วที่ได้เกิดมา
พวกเขาต่างก็ทราบเป็นอย่างดีว่าเหล่าองค์ชายที่สามารถเข้าสู่ห้องพิเศษได้นั้นย่อมต้องมียศถาบรรดาศักดิ์ที่สูงส่ง และเงินทองที่มั่งคั่งเป็นอย่างยิ่ง
ในขณะเดียวกันก็เริ่มมีผู้คนมากหน้าหลายตาเริ่มทยอยเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ทางด้านหน้า หลงเฉินสะดุดสายตาอยู่ที่คนผู้หนึ่งที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าขาวมน ดูไปแล้วน่าจะมีอายุประมาณสี่สิบกว่า แต่รูปลักษณ์ของเขากลับให้ความรู้สึกถึงจิตวิญญาณแห่งวีรชนอยู่ส่วนหนึ่ง
ทว่าวีรชนเช่นเขากลับสัมผัสได้ถึงพลังธาตุหยินคล้ายกับเป็นสตรีเพศ พลังธาตุหยินที่กำลังแผ่ซ่านออกมาจากร่างของชายผู้นั้นทำให้หลงเฉินรู้สึกหนาวยะเยือกจนจับจิตจับใจขึ้นมาอย่างมาก
เมื่อชายผู้นั้นเยื้องย่างเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ก็ทำให้บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนไป จากเดิมทีที่ผู้คนต่างก็สนทนากันด้วยสนุกสนานครื้นเครงก็ได้ถูกกดดันจากบรรยากาศจนต้องหลับตาปิดปากลงในทันที
“คนผู้นั้นก็คือหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งจักรวรรดิเฟิงหมิง ยิงฮวา (英招)” ซือเฟิงเองก็จ้องมองไปที่ชายวัยฉกรรจ์ผู้นั้นด้วยเช่นกัน น้ำเสียงของเขาสั่นเครือเล็กน้อยคล้ายกับยากที่จะเอ่ยนามของคนผู้นั้นได้อย่างเต็มปาก
ขุนนางยิงเจายิงฮวา ขุนนางหวูยี่หวูฮวา และขุนนางเจิ้งหยวนหลงเทียนเซียว ต่างก็ถูกยกย่องให้เป็นสุดยอดฝีมือระดับแนวหน้าของเฟิงหมิงที่น่าเคารพยำเกรงต่อผู้คนทั่วทั้งจักรวรรดิ
จู่จู่ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามายังโสตประสาทของหลงเฉิน พลันก็ได้หันหน้ากลับไปมองชายฉกรรจ์ที่มีพลังธาตุหยินที่เป็นยอดฝีมือระดับเดียวกันกับบิดาของตน
คำพูดของฉู่เหยาผุดขึ้นมาในทันทีทันใด ยิงฮวาผู้นี้ก็คือคนที่รับผิดชอบด้านการสอนวิทยายุทธ์ให้แก่เหล่าองค์ชายและองค์หญิง จะใช่เขาหรือไม่ที่เป็นผู้ลงมือต่อร่างกายของนางและฉู่ฟง
ในขณะที่สายตาของหลงเฉินจ้องเขม็งไปที่ยิงฮวา ชายผู้นั้นก็ได้เงยหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาหรี่ดวงตาลงแล้วจ้องมองมายังทิศทางที่หลงเฉินยืนอยู่ ราวกับดวงตาคมคู่นั้นจะมองทะลุเข้ามายังบานหน้าต่างได้อย่างไรอย่างนั้น
ภายในจิตใจของหลงเฉินเกิดความแตกตื่นขึ้นมาเล็กน้อย นี่เขามีประสาทการรับรู้ที่เฉียบคมถึงเพียงนั้นเลยหรือ ไม่แปลกใจเลยที่ถูกเรียกขานว่าหนึ่งในสามของสุดยอดฝีมือระดับแนวหน้าของจักรวรรดิเฟิงหมิง ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่วิถีโอสถแต่ว่าประสาทการรับรู้ที่เฉียบคมเช่นนี้ช่างเป็นที่น่าตกใจอย่างยิ่งยวด
หลังจากที่ยิงฮวาเงยหน้ามองเข้ามายังห้องพิเศษ ราวกับว่ามีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นในทันที ผู้คนมากมายเริ่มทยอยกันเข้ามายังห้องพิเศษอีกด้านหนึ่ง
เหล่าผู้คนเดินติดตามกันเข้ามาอยู่หลายกลุ่ม ซือเฟิงคอยแนะนำชื่อเสียงเรียงนามผู้คนเหล่านั้นให้กับพวกพ้องของเขาอย่างแผ่วเบา ในกลุ่มนั้นมีตั้งแต่พ่อค้าขายชุดเกราะ จนไปถึงผู้เชี่ยวชาญที่ทรงอิทธิพลจากอีกหลายแห่ง
หลงเฉินพยักหน้าไปมา หมู่ตึกฮวาหวินแห่งนี้คล้ายกับเป็นพ่อค้าคนกลางอีกทีหนึ่ง การนำสิ่งของอันมีค่าและเป็นที่ต้องการออกมาทำการประมูลด้วยราคาสูง ย่อมต้องมีกลุ่มลูกค้าผู้ที่มั่งคั่งและสูงส่งจึงจะถูกต้องแล้ว
“ยินดีต้อนรับสหายเก่าและใหม่ทุกท่านเข้าสู่งานประมูลที่จัดขึ้นปีละครั้งที่หมู่ตึกฮวาหวินแห่งนี้ ต่อไปพบกับเสี่ยวหนีจื่อที่จะรับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการประมูล และบัดนี้ก็ถึงช่วงเวลาที่ทุกท่านรอคอยแล้ว เริ่มต้นการประมูลได้”
จากนั้นก็ได้มีเสียงเครื่องเป่าเสียงหนึ่งดังขึ้นมาประดุจนกยวนยางกำลังออกหากิน เสียงนั้นดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้อง ทันใดนั้นด้านบนเวทีที่ถูกปิดด้วยม่านก็ได้ถูกเลิกขึ้นไปจนเผยให้เห็นร่างของหญิงสาวนางหนึ่งที่สวมอาภรณ์แสนงดงามกำลังดึงดูดสายตาของผู้คนให้จ้องมองไปเป็นหนึ่งเดียว
หญิงสาวที่ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีช่างงดงามหมดจดจนผู้คนที่เข้าร่วมงานต่างตกตะลึงในใบหน้าที่คมคายเช่นนั้น นางคงจะมีอายุยี่สิบห้ายี่สิบหกปีได้ ขนคิ้วดุจใบหลิว ดวงตาดุจหยาดน้ำค้าง ใบหน้าผ่องใสดุจหยก แววตาที่สาดสองมานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่หา เพียงแค่ได้ปรายตามาเท่านั้นก็ทำให้ดวงวิญญาณของผู้คนหลุดลอยไปแห่งหนใดแล้วก็ไม่อาจทราบได้
อาภรณ์คลุมยาวที่นางกำลังสวมใส่อย่างรัดกุมอยู่นั้นได้ยกกระชับเพื่อเน้นช่วงหน้าอกให้ชูชันขึ้นมาคล้ายกับเนินภูเขาหิมะอันสูงชันดึงดูดสายตาของผู้คนให้ตกอยู่ในมนต์สะกด
ร่างอรชรอ้อนแอ้นของนางได้ยืนเฉิดฉายอยู่กลางเวทีที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากทุกมุมห้อง ผู้คนที่อยู่ด้านล่างลุกขึ้นยืนกันอย่างพร้อมเพรียงแล้วก็นั่งลงอย่างรวดเร็ว สายตาทุกคู่เงยขึ้นมองมายังห้องพิเศษชั้นบนด้วยความอิจฉาริษยาอยู่ไม่น้อย
เจ้าอ้วน เจ้าลิงผอม และพวกพ้องทอประกายแววตาเจิดจ้าขึ้นมา แม้แต่ซือเฟิงเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะอ้าปากตาค้างมองไปที่หญิงสาวนางนั้น ผู้คนบางส่วนเกาะอยู่ที่บานหน้าต่างอย่างเอาเป็นเอาตาย หลงเฉินที่เห็นอย่างนั้นก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าพวกเขาจะทำให้กระจกแตกแล้วร่วงหล่นลงไป
หลงเฉินเองก็ยอมรับอยู่ส่วนหนึ่งว่าหญิงสาวนางนี้ช่างงดงามเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่อาจเทียบได้กับม่งฉี แต่กลับสูสีกับฉู่เหยาเป็นอย่างมาก
ดูไปแล้วหญิงสาวผู้นี้มีคงจะถูกเอาอกเอาใจมาตั้งแต่ยังเยาว์ รู้จักการแต่งแต้มสีสันบนใบหน้า ทรัพย์สินที่ประดับอยู่บนเรือนร่างถูกเผยให้เห็นอย่างไม่มีซ่อนเร้น ด้วยพลังการทำลายเช่นนี้ช่างน่าหวาดกลัวจนเกินไปแล้ว เดิมทีที่นางมีความงามอยู่เพียงหกส่วน ตอนนี้กลับยิ่งเปล่งเป็นประกายขึ้นมาจนถึงสิบสองส่วน
“ผัวะ”
หลงเฉินตบไปที่ไหล่ของเจ้าอ้วนแล้วด่าทอออกมา “พวกเจ้าออกหน้าออกตากันจนเกินไปแล้ว”
ซือเฟิงและพวกพ้องจึงมีปฏิกิริยากลับคืนมาในทันทีแล้วรีบถอยกลับมาทางด้านหลัง จากนั้นพวกเขาก็แสร้งทำตัวเป็นเหมือนปกติ เจ้าอ้วนทำสีหน้าราบเรียบราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนแล้วกล่าวว่า “พี่หลง ไม่เป็นไรหรอก หน้าต่างบานนี้คงจะทนทานเป็นอย่างยิ่ง ไม่แตกอย่างง่ายดายเป็นแน่”
“ข้าไม่ได้เป็นห่วงหน้าต่างบานนั้น ที่ข้าเป็นห่วงก็คือหากพวกเจ้ายังเอาแต่จ้องมองต่อไป น้ำมันคงจะชโลมไปถึงปลายเท้าอย่างแน่แท้” หลงเฉินชี้ไปที่แอ่งน้ำลายขนาดใหญ่บนพื้น
พวกพ้องอดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา ต่างก็เร่งรีบกลับเข้าไปนั่งยังตำแหน่งของตัวเองอย่างพร้อมเพรียง
หญิงสาวผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าย่อมต้องการที่จะแสดงความดึงดูดแก่ผู้ที่มอง จึงไม่เกิดความน่าแปลก อีกทั้งยังมิได้มีความเขินอายแม้แต่น้อย ในทางกลับกันกลับกล่าวออกมาอย่างโอ้อ่าผ่าเผย
“เสี่ยวหนีจื่อ (ผู้น้อยฝ่ายหญิง 小女子) นามว่าเหย่าหนีเชวียน ข้านั้นช่างด้อยความสามารถยิ่งนักที่จะรับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการประมูลในครั้งนี้ อย่างไรเสียก็ขอฝากเนื้อฝากตัวกับพวกท่านทั้งหลายด้วย”
เมื่อเหย่าหนีเชวียนกล่าวจบก็ได้ส่ายบั้นเอวบางไปมาครั้งหนึ่งจนยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งห้องพิเศษทางด้านบนและผู้คนที่อยู่ด้านล่างไปจนหมดสิ้น
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเกิดความปั่นป่วนขึ้นมาอย่างมาก ที่น่าเสียดายก็คือเหย่าหนีเชวียนได้เปลี่ยนท่าทีที่มีมารยาทกลับมาอย่างรวดเร็ว ไม่รีรอให้ผู้คนมากมายที่กำลังลุกฮือกันขึ้นมาได้ตื่นเต้นต่อไปอีกสักครู่หนึ่ง
หลงเฉินแสยะยิ้มขึ้นมา ช่างน่านับถือความสามารถของหมู่ตึกฮวาหวินเสียจริง ตั้งแต่ฟู่กุ้ยไปจนถึงเชียนฟู่ แล้วนี่ยังมีผู้ดำเนินการประมูลนางนี้อีก ในสายตาของแต่ละคนช่างราวกับเห็นเม็ดเงินอยู่อย่างเต็มเปี่ยม หญิงสาวนางนี้กลับยิ่งตรงไปตรงมาเสียยิ่งกว่า ไม่นึกเลยว่าจะมีนามว่า “เย่าหนีเชียน (要你钱)” ไปได้
*คำพ้องเสียง要你钱 ที่แปลว่า ต้องการเงินของเจ้า
แต่หลงเฉินก็ไม่อาจปฏิเสธในความสามารถของเหย่าหนีเชวียนที่มีวิธีในการกุมหัวใจของชายหนุ่มทั้งหลายเอาไว้ได้ กึ่งเผยกึ่งไม่เผยคล้ายจะปฏิเสธแต่กลับยังเชิญชวน ช่างมีเสน่ห์ที่น่าค้นหาจนเกิดความปรารถนาให้แก่บรรดาชายหนุ่มไปทั้งหมดทั้งสิ้น
งานประมูลในครั้งนี้ยังไม่ทันที่จะเริ่มก็ทำให้ชายหนุ่มส่วนหนึ่งเริ่มสูดหายใจอย่างหนักหน่วงด้วยความตื่นเต้นขึ้นมายกใหญ่
ที่หลงเฉินเคยบังเกิดความสงสัยในวาจาของฟู่กุ้ยเมื่อครั้งที่พบเจอกันว่าเหตุใดเขาถึงต้องเชื่อมั่นว่าสิ่งของที่ได้อยู่ในมือของหมู่ตึกฮวาหวินแล้วย่อมสามารถยกราคาให้สูงขึ้นไปจนเทียมทัดขอบฟ้าได้ เมื่อมาเห็นผู้ดำเนินการประมูลเป็นหญิงสาวนางนี้แล้วหลงเฉินจึงคลายข้อสงสัยไปโดยปริยาย
สายตาคู่งามมองไปทั่วทั้งงานประมูลที่แทบจะเป็นไปตามจังหวะของตัวเองแล้ว เหย่าหนีเชวียนจึงเงยใบหน้าที่แสนงดงามขึ้นแล้วยิ้มกว้างออกมา มืออันขาวผ่องข้างหนึ่งได้ผายออกไปด้านข้างช้าๆ สู่ใจกลางของแท่นที่มีก้อนศิลาชิ้นเล็กชิ้นน้อยตั้งตระหง่านอยู่ . . .