ระหว่างที่เหย่าหนีเชวียนกำลังเคลื่อนไหวร่างอรชรอยู่บนเวทีนั้น แท่นที่อยู่ตรงกลางเวทีก็ได้ยกตัวสูงขึ้นมาอย่างช้าๆ ประดุจบุบผาที่กำลังเบ่งบานในยามเช้าอย่างไรอย่างนั้น ไม่นานนักก็เผยให้เห็นก้อนศิลาชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางแท่น
สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าสายตาทุกคู่เป็นเพียงกลไกอย่างหนึ่งที่ไม่ได้ดูหมดจดงดงามแต่ถูกสร้างขึ้นจากงาช้างสีขาวซึ่งคงจะลงทุนไปมหาศาลอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นด้านบนของเวทีก็มีเกราะศึกที่เปล่งประกายแสงสีทองขึ้นมาท่ามกลางอากาศ จนหลงเฉินเองก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างขึ้นมาอย่างตื่นตกใจ
เกราะศึกชิ้นนั้นมีน้ำหนักมากกว่าร้อยชั่งขึ้นไป ตัวเกราะทอประกายแสงสีทองอร่ามไปทั่วทุกสารทิศ ด้วยน้ำหนักที่มากถึงเพียงนั้นอย่าว่าแต่หลงเฉินเลย ต่อให้เป็นปรมาจารย์หวินฉีมาเองก็ไม่อาจใช้พลังแห่งจิตวิญญาณสั่งการให้มันลอยขึ้นไปกลางอากาศได้
หลงเฉินใช้พลังแห่งจิตวิญญาณของเขากวาดสำรวจไปยังเกราะศึก แล้วส่ายหัวไปมาอย่างอดสู และสบถขึ้นมากับตัวเองว่าติดกับเข้าแล้ว
ทางด้านล่างของเกราะศึกมีสิ่งที่คอยค้ำกันและยกให้สูงขึ้นอยู่ชิ้นหนึ่ง ด้วยความยาวถึงเพียงนั้นจึงครอบอยู่บนเสาค้ำต้นหนึ่งจนถึงส่วนปลายอย่างพอดิบพอดีคล้ายกับว่ามันลอยอยู่ เมื่อหลงเฉินเห็นเช่นนั้นจึงคลายความตื่นตะลึงลงไปจนเข้าสู่ปกติ
เหย่าหนีเชวียนเองกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงเย้ายวนว่า “เกราะศึกสีทองชั้นดีชิ้นนี้ตีขึ้นมาจากทองน้ำดีผสมกับเหล็กกล้าส่วนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นผลงานชิ้นเอกของช่างที่มีชื่อเสียงจึงมีพลังการป้องกันสูงส่งเป็นอย่างมาก”
“เคร้ง”
จู่จู่ในมือของเหย่าหนีเชวียนก็มีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา นางสะบัดข้อมืออันเรียวเล็กจนปลายกระบี่สะท้อนประกายแสงอันลึกล้ำออกมาแล้วเข้ากระทบไปที่เกราะศึกสีทองชั้นดีอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังกังวานไปทั่วทั้งบริเวณ
หลังจากที่เหย่าหนีเชวียนดึงกระบี่กลับมา เหล่าผู้คนทั้งหลายก็เกิดอาการตกตะลึงขึ้นมาอย่างถึงที่สุด หมู่ตึกฮวาหวินนี้ก็ช่างน่าเกรงขามเสียจริงเชียว แม้แต่ผู้ดำเนินการประมูลยังเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตก่อโลหิตอีกด้วย
ความรวดเร็วปานสายฟ้าฟาดในการออกอาวุธเช่นนั้นช่างเป็นการเคลื่อนไหวอย่างไร้ที่ติอย่างแท้จริง นางผู้นี้จึงมีพลังในขอบเขตก่อโลหิตอย่างไม่ต้องสงสัย
“ทุกท่านโปรดดู เสี่ยวหนีจื่อได้ใช้กระบี่เล่มนี้ปะทะบนเกราะศึกสีทองด้วยพลังทั้งหมดที่มี ทว่าบนตัวเกราะกลับไม่เกิดริ้วรอยแต่อย่างใด ความสามารถในการต้านทานแรงที่สูงส่งเช่นนี้ช่างน่าตื่นตกใจเสียจริงเชียว” เหย่าหนีเชวียนส่งเสียงเย้ายวนอีกครั้งเพื่อดึงดูดชายหนุ่มทั้งหลาย
ในกลุ่มผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ได้ยิน “การต้านทานแรงที่สูงส่ง” ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความเร้าร้อนขึ้นมาภายในจิตใจ แล้วจ้องมองไปที่กระบี่ที่กระทบกับเกราะศึกสีทองเมื่อครู่นี้จนเกิดคลื่นการเคลื่อนไหวบางอย่างขึ้นมาคล้ายกับได้กระชากดวงวิญญาณของพวกเขาให้หลุดลอยไป
“เกราะศึกสีทองชั้นดีนี้เป็นสิ่งของชิ้นแรกเพื่อเปิดงานประมูลในครั้งนี้ ขอเริ่มต้นการประมูลอยู่ที่สิบหมื่นตำลึงทอง ราคาที่เพิ่มขึ้นในแต่ละครั้งจะต้องไม่ต่ำไปกว่าหนึ่งหมื่นตำลึง ฉะนั้นการประมูลในปีนี้จึง——เริ่มขึ้นได้”
เหย่าหนีเชวียนยิ้มโปรยเสน่ห์ขึ้นมาเล็กน้อย ในมือตอนนี้ได้ถือค้อนไม้เล็กๆ อยู่อันหนึ่ง จากนั้นนางก็บิดเอวบางไปทางซ้ายทีทางขวาที ทันใดนั้นก็บังเกิดเสียงตะโกนแข่งกันอย่างดุเดือด
“สิบห้าหมื่น”
“สิบแปดหมื่น”
“ยี่สิบหมื่น”
ผู้เข้าร่วมประมูลเริ่มเสนอราคาขึ้นมามากมายจนนับไม่ถ้วน โดยการยกป้ายแล้วขานราคาที่พวกเขาต้องการขึ้นมาอย่างกับการแข่งขันตอบปัญหาอย่างไรอย่างนั้น ทว่าเหล่าผู้ร่วมงานประมูลกลับรักษาความสุขุมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี พวกเขาขานเรียกออกไปแค่ทีละไม่กี่หมื่นเท่านั้น
การเรียกราคายังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ซือเฟิงเองก็อดใจเอาไว้ไม่อยู่จนต้องขานราคาออกไปถึงสองครั้ง แล้วไม่นานนักก็ถูกทับถมไปโดยพ่อค้าผู้อื่น
หลงเฉินส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา นี่มันเป็นพ่อค้าหน้าเลือดในคราบพ่อค้าผู้ดีเท่านั้น นามของเหย่าหนีเชวียนนางนี้ก็ช่าง…“เยาหนี่เชียน” โดยแท้จริง ความสามารถในการรีดเงินจากพวกเขานั้นช่างง่ายดาย ราคาของเกราะศึกสีทองชั้นดีชิ้นนี้พุ่งกระฉูดขึ้นไปจนถึงหลักร้อยหมื่นไปแล้ว
ด้วยการดึงราคาของเหย่าหนีเชวียนนี้กระตุ้นไปตามเสียงเรียกของผู้คนมากมายที่ดำเนินไปอย่างไม่อาจหยุดลงได้ เหล่าพ่อค้าทั้งหมดเกิดความสนใจขึ้นมาทุกครั้งที่มีเสียงแหลมเล็กตะโกนออกมาว่า “จะจบเพียงเท่านี้แล้วหรือ”
การเอื้อนเอ่ยวาจาอยู่บนเวทีเป็นบางครั้งบางคราว ทว่าสายตาคู่งามกลับกวาดมองไปตามเสียงเรียกขานของพ่อค้าแต่ละคน ยิ่งราคาพุ่งสูงขึ้น ดวงตาคู่งามของนางก็ยิ่งทอประกายเจิดจ้าขึ้นมา แล้วหยุดมองที่คนผู้นั้นอยู่นานหน่อย
“ซือเฟิงปล่อยไปเถิด ของชิ้นนั้นไม่ควรค่าแก่การครอบครองไว้อย่างคุ้มค่าแน่นอน อย่าได้ถูกคนชั้นต่ำพวกนี้หลอกเลย” หลงเฉินกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแส
เกราะศึกสีทองชั้นดีนั้นแม้ว่าจะมีลักษณะที่น่าซื้อหาน่าครอบครอง อีกทั้งยังมีการป้องกันอันแข็งแกร่งจากแรงภายนอก แต่หากทหารสองกองร้อยที่อยู่ท่ามกลางกองทัพนับหมื่นจะต้องมาสวมใส่เกราะที่หนักกว่าร้อยชั่งเข้าสู้ศึก นอกจากจะเป็นตัวโง่งมชั้นดีแล้ว ยังไม่ต่างไปจากการหาที่ตายอย่างเห็นได้ชัด
หรือต่อให้อยู่ในห้วงเวลาที่สองกองทัพกำลังประจัญบานกันอย่างซึ่งหน้า หากสวมเกราะศึกที่ทอประกายแสงแวววับเช่นนี้ไว้บนเรือนร่างคงจะต้องตกเป็นเป้าสังหารที่โดดเด่นอย่างแน่นอน นี่ก็เป็นการหาที่ตายด้วยเช่นเดียวกัน
ยุทโธปกรณ์ชิ้นนี้คงจะมีไว้เพียงเพื่อดูเล่นหรือตั้งวางไว้ประดับบารมีก็เท่านั้น ไม่อาจหาประโยชน์ใช้สอยอันใดได้จากสิ่งนี้เลย ถ้าหากเป็นสิ่งของล้ำค่าอย่างแท้จริงทางหมู่ตึกฮวาหวินที่ไม่ใช่ตัวโง่งม คงจะไม่นำออกมาประมูลเป็นชิ้นแรกอย่างแน่นอน
โดยทั่วไปแล้ววัตถุที่จะใช้เปิดประมูลเป็นชิ้นแรกนั้นจะคัดเลือกได้ยากที่สุด ประการแรกก็คือต้องเป็นสิ่งที่ดึงดูดสายตาของผู้คน ประการที่สองคือมันควรมีค่ามากจนเกินไป ไม่เช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นตัดรอนความน่าสนใจในวัตถุชิ้นต่อไปได้
และนี่คือสิ่งที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งที่หมู่ตึกฮวาหวินได้คัดสรรมาเป็นอย่างดี เกราะศึกสีทองชั้นดีที่ไม่ได้มีราคาค่างวดที่สูงจนเกินไป แต่อาศัยมันเพื่อเชื่อมสัมพันธ์และสร้างแรงดึงดูดของผู้คน
เมื่อซือเฟิงได้ยินหลงเฉินกล่าวออกมาเช่นนี้ก็ได้สลายความคิดที่จะแย่งชิงเกราะศึกสีทองชั้นดีมาไว้ในครอบครอง เดิมทีแล้วเขานั้นคิดเอาไว้ว่าน่าจะมีราคาอยู่ที่สิบหมื่นหรืออย่างน้อยก็สามสิบหมื่นก็พอที่จะซื้อมาได้แล้ว แต่ว่าเขากลับคิดไม่ถึงว่าของเช่นนั้นจะกลายเป็นที่หมายปองอย่างมากมายถึงเพียงนี้
ผ่านพ้นไปเพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ ราคาของเกราะศึกสีทองชั้นดีก็พุ่งขึ้นไปจนถึงแปดสิบหมื่นแล้ว แต่ผู้คนทั้งหลายก็ยังไม่หยุดยั้งที่จะเสนอราคาขึ้นมาจนทำให้ซือเฟิงไม่อาจขานเรียกต่อไปได้
“ให้ตายเถิด เจ้าเด็กน้อยกลุ่มนี้ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า นึกว่ากำลังซื้อผักปลาอยู่ตามตลาดอย่างไรอย่างนั้น เหตุใดพวกเขาถึงได้มีเงินทองมากมายถึงเพียงนั้นกัน?” เจ้าลิงผอมกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างฝืดเคือง แล้วกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก
“ถูกดึงดูดจนเข้าร่วมงานประมูลได้คงจะเป็นผู้ที่มั่งมีอยู่แล้วไม่น้อย สิ่งของชิ้นแรกยังบ้าดีเดือดได้ถึงเพียงนี้ ข้าแทบไม่อยากคิดถึงสภาพการแย่งชิงสิ่งของชิ้นต่อไปเลยว่าจะดุเดือดถึงเพียงไหน?” เจ้าอ้วนแสดงสีหน้าคล้ายกับกำลังเจอภูตผีปีศาจอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ถึงแม้ว่าพวกเขาต่างก็เป็นซื่อจื่อ มีสถานะเป็นผู้สืบทอดของขุนนางแต่ละตระกูล ทว่าการเสนอราคาขึ้นมาหลายหมื่นตำลึงทองในครั้งเดียวนั้นไม่ต่างจากการกัดลิ้นของตัวเองจนตายไป
ย้อนกลับไปในช่วงที่หลงเฉินได้เดิมพันกับหลีเฮ่า ก็มีเจ้าอ้วนที่ถือว่ามั่งคั่งที่สุดในพวกพ้องทั้งหลาย ใช้เงินที่เก็บหอมรอมริบมาตั้งแต่เล็กจนโตก็มีเพียงแค่แปดหมื่นตำลึงทองเท่านั้น
“หนึ่งร้อยกับอีกห้าหมื่น”
“หนึ่งร้อยแปดหมื่น”
“หนึ่งร้อยสิบหมื่น”
หลังจากที่การประมูลดำเนินไปจนถึงหลักร้อยหมื่นแล้วก็ยังมีผู้คนกว่าสิบคนยังไม่หยุดแย่งกันเสนอราคา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกแรงดึงดูดของเกราะศึกสีทองชั้นดีชิ้นนั้นเข้าครอบงำไปถึงจิตวิญญาณแล้ว ดวงตาแต่ละคู่มีสีแดงก่ำและปูดโปนคล้ายกับจะทะลุออกมาจากเบ้าตาอย่างไรอย่างนั้น
“หนึ่งร้อยห้าสิบหมื่น”
ทันใดนั้นเองเสียงของเซี่ยฉางเฟิงก็ได้ดังขึ้นมาจากห้องพิเศษจนทำให้ผู้คนทั่วทั้งงานอยู่ในภาวะเงียบสงัดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ไม่คาดฝันมาก่อนเลยว่าองค์ชายต้าเซี่ยจะมีสายตาที่คมกล้าเช่นนี้ เพียงแค่มองดูปราดเดียวก็ทราบแล้วว่าเกราะศึกสีทองชั้นดีนี้มีความล้ำค่าเป็นอย่างยิ่งจึงให้ราคาถึงหนึ่งร้อยห้าสิบหมื่นแล้ว ยังมีผู้ใดต้องการเสนอราคาที่สูงกว่าหรือไม่?” เหย่าหนีเชวียนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงปลุกเร้าอารมณ์ให้ฮึกเหิม
“หนึ่งร้อยห้าสิบหมื่นกับอีกหนึ่งหมื่น” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเสนอราคาเพิ่ม
“หนึ่งร้อยแปดสิบหมื่น”
เสียงของเซี่ยฉางเฟิงกล่าวขึ้นมาอย่างราบเรียบจนทำให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกว่าเขากำลังพูดล้อเล่นอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ชายวัยกลางคนผู้นั้นมีสีหน้าปั้นยากขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วส่ายหน้าไปมา เห็นได้ชัดว่าหนึ่งร้อยแปดสิบหมื่นนั้นเป็นราคาที่มากเกินกว่าที่เขานั้นจะยอมรับได้แล้ว
“หนึ่งร้อยแปดสิบหมื่นครั้งที่หนึ่ง”
“หนึ่งร้อยแปดสิบหมื่นครั้งที่สอง”
“หนึ่งร้อยแปดสิบหมื่น——ครั้งที่สาม ยอดเยี่ยม ยินดีกับองค์ชายต้าเซี่ยด้วย เกราะศึกสีทองชั้นดีนี้ได้ตกเป็นของนายท่านแล้ว ในที่สุดก็ได้ผู้ชนะสำหรับการประมูลของชิ้นแรกไปแล้ว”
คำพูดของเหย่าหนีเชวียนช่างไหลลื่นชวนให้จิตใจของผู้คนทั้งหลายเกิดความหลงใหลตามไปด้วยทั้งหมด หลงเฉินได้แต่ส่ายหน้าไปมา นางช่างเป็นหนึ่งในผู้ค้าขายที่หน้าเลือดอย่างแท้จริง
“ฮาฮา นี่เป็นแค่เศษเงินตราเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ทราบว่าด้วยนามแห่งตระกูลเซี่ยจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเชื้อเชิญแม่นางไปทานอาหารเย็นด้วยได้หรือไม่กัน?” จู่จู่เซี่ยฉางเฟิงก็เดินออกมาจากห้องพิเศษแล้วมองไปที่เหย่าหนีเชวียนด้วยรอยยิ้มกว้าง
“เป็นพระกรุณาธิคุณที่องค์ชายต้าเซี่ยให้ความสำคัญ เสี่ยวหนีจื่อช่างรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก ทว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาอันสมควรที่จะมากล่าวถึงเรื่องส่วนตัวเช่นนี้” เหย่าหนีเชวียนหัวเราะร่าขึ้นมา อีกทั้งกล่าวคำพูดที่มีความนัยอันล้ำลึกออกมา
“ข้าเสียมารยาทไปแล้ว เชิญแม่นางดำเนินการต่อเถิด” เซี่ยฉางเฟิงแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อนขึ้นมา พลันสะบัดอาภรณ์แล้วหันกายกลับเข้าไปยังห้องพิเศษ
หลงเฉินมองตามแผ่นหลังของเซี่ยฉางเฟิงไป พลันก็ได้แสยะยิ้มขึ้นที่มุมปาก ด้วยความฉลาดที่มีเพียงน้อยนิดของเจ้ายังจะหาญกล้ามาต่อปากต่อคำกับแม่นางเหย่าหนีเชวียนผู้มากประสบการณ์ถึงเพียงนั้นช่างไม่เจียมตัวเอาเสียเลย นางไม่รีดไถจักรวรรดิของเจ้าไปจนสิ้นเนื้อประดาตัวก็ถือว่าเป็นบุญวาสนาที่ต้นตระกูลของเจ้าได้สั่งสมมาแล้ว
ในระหว่างที่หลงเฉินกำลังครุ่นคิดอยู่ วัตถุชิ้นที่สองก็ถูกนำขึ้นไปบนเวที ของสิ่งนั้นเป็นเพียงโฉลดที่ดินฉบับหนึ่งที่ไม่ได้ทำให้หลงเฉินรู้สึกตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อโฉลดที่ดินฉบับนั้นถูกแผ่ออกต่อหน้าสาธารณชนทั้งหลายกลับกลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจขึ้นมาเป็นอย่างมาก
การประมูลโฉนดที่ดินฉบับนั้นเป็นไปอย่างดุเดือดเช่นเดียวกับเกราะศึกสีทองในรอบแรก จนท้ายที่สุดก็ได้ตกเป็นของพ่อค้าที่แสนร่ำรวยผู้หนึ่งด้วยราคาแปดสิบหมื่น เมื่อชายผู้นั้นได้รับโฉลดที่ดินไปครอบครองก็เกิดความยินดีขึ้นมาเสียยกใหญ่ราวกับว่าจะได้ผลกำไรจากมันอยู่ไม่น้อย
จากนั้นการประมูลสิ่งของชิ้นที่สามก็ได้เริ่มต้นขึ้นมาในทันที ถึงแม้ว่าสิ่งของชิ้นนั้นจะมีความสดใหม่เป็นอย่างยิ่ง ทว่าก็ไม่ได้ทำให้หลงเฉินเกิดความสนใจอีกเช่นเคย
การประมูลได้ดำเนินผ่านไปจนถึงรอบที่หก ทันใดนั้นหลงเฉินก็เกิดความตื่นเต้นขึ้นมาเป็นครั้งแรก ช่างเหนือความคาดหมายเสียจริงสำหรับสิ่งมีชีวิตตัวนี้ที่ถูกนำมาประมูล
กรงใหญ่ใบหนึ่งถูกเปิดออกให้เห็นทั่วทั้งจตุรทิศ ภายในกรงนั้นมีเสือตัวเล็กตัวหนึ่งที่มีความยาวช่วงตัวเพียงห้าเซียะเท่านั้น ทั่วกายของมันถูกปกคลุมด้วยขนอันปุกปุยดูสะอาดสะอ้าน เห็นได้ชัดว่าคงจะเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาได้ไม่นาน ดวงตาทั้งสองก็คล้ายกับจะลืมตาดูโลกได้ไม่กี่วันมานี้เอง ช่างน่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่ง
“สัตว์มายาระดับสอง เสือโคร่งทอง ที่เมื่อเติบใหญ่แล้วเส้นขนของมันจะมีสีทองอร่ามและงดงามยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
และเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเสือโคร่งทองเป็นถึงสัตว์มายาระดับสองที่สามารถฝึกฝนให้เชื่องขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ต่อให้เป็นผู้ที่ไม่มีพลังยุทธ์ก็ยังสามารถขึ้นขี่มันได้เช่นเดียวกัน
ทั้งชีวิตของเสือโคร่งทองจะผสมพันธุ์กันเพียงห้าครั้งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากจนถึงมากที่สุด ขอให้ทุกท่านไขว่คว้าโอกาสในครั้งนี้ให้ได้
ทารกเสือโคร่งทองตัวนี้จะเริ่มต้นราคาอยู่ที่ห้าสิบหมื่นตำลึงทอง การประมูล——เริ่มได้”
เมื่อสิ้นเสียงของเหย่าหนีเชวียน ทั่วทั้งงานประมูลก็เข้าสู่สภาวะแย่งชิงที่ดุเดือดขึ้นมาอีกครั้ง การเสนอราคาถูกทักท้วงขึ้นมาอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าห้ารอบที่ผ่านมา
“หกสิบหมื่น”
“แปดสิบหมื่น”
“หนึ่งร้อยสิบหมื่น”
ทารกสัตว์มายาระดับสอง หากได้ถูกชุบเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ขึ้นมาก็เหมือนกับเป็นยอดฝีมือขอบเขตก่อโลหิตผู้หนึ่ง อีกทั้งพลังการต่อสู้ก็น่าหวาดกลัวยิ่งกว่ายอดฝีมือขอบเขตก่อโลหิตเสียอีก การประมูลในรอบนี้ย่อมไม่มีผู้ใดที่ไม่หวั่นไหวกับสัตว์มายาตัวนี้ได้
“มารดาเถิด อยากได้สักตัวจริงเชียว เจ้าตัวนี้คงจะต้องมีราคาที่สูงที่สุดอย่างแน่นอน” ซือเฟิงสบถออกมาอย่างอดไม่ได้
อย่าว่าแต่ซือเฟิงเลย แม้แต่หลงเฉินเองก็ยังเกิดอาการหวั่นไหวอยู่ไม่น้อย ก่อนหน้านี้เขาเคยได้พบกับสัตว์มายาของม่งฉีก็เกิดความอิจฉาตาร้อนขึ้นมาเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ฝึกสัตว์ แต่ว่าก็พอจะเลี้ยงดูให้เชื่องขึ้นมาได้ เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้สัตว์มายาในการต่อสู้และเป็นพาหนะได้ด้วย
ภายในพริบตาเดียวราคาของเสือโคร่งทองก็ได้พุ่งทะยานไปถึงหนึ่งร้อยห้าสิบหมื่น หลงเฉินจึงหักห้ามใจเอาไว้ไม่อยู่แล้วตะโกนออกไปว่า
“สามร้อยหมื่น”
หลงเฉินตะโดนออกไปด้วยการพลิกราคาขึ้นมาเป็นเท่าตัวจนทำให้ผู้คนทั่วทั้งห้องโถงเบิกตากว้างขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่มีผู้ใดคิดที่จะเสนอราคาต่อจนเกิดความเงียบงันขึ้นมาราวกับป่าช้า
หลงเฉินดีใจขึ้นมาเสียยกใหญ่ ถ้าหากไม่มีผู้ใดกล่าวอันใดออกมา เกรงว่าสามร้อยหมื่นที่ตนยังพอจะทานรับได้คงจะนำพาเสือโคร่งทองให้มาอยู่ในครอบครองได้อย่างแน่นอน
“สามร้อยกับอีกหนึ่งหมื่น”
ในขณะที่หลงเฉินกำลังเกิดความลิงโลดขึ้นมาในใจ ก็ได้มีน้ำเสียงเล็กแหลมของหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้นมา น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้นที่แสนจะคุ้นหูเป็นอย่างยิ่ง . . .