หลงเฉินทอดสายตามองไปยังทางด้านหน้า ชายผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาแววตาเฉยชาไร้ซึ่งความรู้สึกอันใด กลุ่มผู้คนละแวกนั้นต่างพากันหลั่งไหลเข้ามาล้อมชายผู้นั้นไว้ประดุจดาวล้อมเดือน
ชายหนุ่มผู้นี้มีผิวพรรณเรียบเนียนดั่งหยก รูปร่างสูงใหญ่ อีกทั้งมีใบหน้าที่ห้าวหาญเป็นยิ่งนัก ผู้ที่มานั้นย่อมไม่ใช่ใครอื่น…โจวเย้าหยางบุตรแห่งขุนนางฝ่ายการคลัง ผู้ที่ทำการต่อสู้กับหลงเฉินในครั้งก่อนจนทำให้หลงเฉินเกือบเอาชีวิตรอดกลับมาไม่ได้ ทั้งยังถูกหามลงจากเวทีเพื่อส่งกลับจวน
โจวเย้าหยางเป็นทายาทคนโตของขุนนางฝ่ายการคลัง หากกล่าวถึงตำแหน่งบุตรขุนนางก็ถือได้ว่าเป็นการคงอยู่สูงสุดในหมู่บุตรขุนนาง หรือเรียกว่ามีอำนาจมากที่สุดนั่นเอง
โจวเย้าหยางที่เพิ่งจะเดินเข้ามา กวาดสายตามองผู้คนโดยรอบและมาหยุดลงที่หลงเฉิน จากนั้นใบหน้าก็เผยรอยยิ้มเยาะ เขาเดินตรงเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของหลงเฉินแล้วกล่าวขึ้นว่า
“เรื่องเมื่อครั้งที่แล้วต้องขออภัยเป็นอย่างสูง ที่ทุบตีเจ้าจนแม้แต่มารดาตัวเองก็ยังจำไม่ได้แล้ว”
วาจาที่กล่าวแม้จะเป็นการกล่าวขออภัย แต่สีหน้ากลับไม่ได้สื่อความไปเช่นนั้นเลย น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความไม่แยแส เย้ยหยัน คล้ายกับเป็นราชาเบื้องสูงที่เหลือบตามองต่ำลงมายังหลงเฉินที่อยู่เบื้องล่าง
“ไม่เป็นไร อีกไม่นานข้าก็จะทุบตีเจ้าจนแม้แต่ท่านย่าของตนเองก็คงจำไม่ได้เช่นกัน” หลงเฉินยิ้มตอบพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ในใจกลับร้อนรุ่มดั่งเพลิงที่กำลังปะทุอย่างรุนแรง
เมื่อครั้งตอนที่ตนเองมีสติฟื้นตื่นกลับมาก็มีเพียงแค่มารดากับตาเฒ่าหมอโอสถที่อยู่ด้วย วาจาเช่นนี้คงจะต้องเป็นเจ้าไม้ใกล้ฝั่งโพล่งออกมาแล้ว
วาจาของโจวเย้าหยางเพียงประโยคเดียวก็บ่งบอกได้แล้วว่าชายชราผู้นั้นเป็นคนของพวกเขาเอง และถึงแม้ว่าหลงเฉินจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนน่าตกใจแต่ก็ไม่ได้หนักหนาจนถึงแก่ชีวิต แม้แต่จะได้รับบาดเจ็บที่ท้ายทอย มีโลหิตไหลย้อนกลับแต่ก็ไม่ถือว่าสาหัสแต่อย่างใด
เดิมทีก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้โอสถระดับสูงถึงเพียงนั้นมารักษาอาการบาดเจ็บของเขา แต่คนเหล่านั้นจงใจที่จะหลอกลวงให้มารดาของเขาหลงกล กวาดสินทรัพย์ทั้งหมดที่มารดามีอยู่จนหมดสิ้น
แม้จะไม่ฆ่าตนเอง แต่กลับคิดที่จะช่วงชิงทรัพย์สมบัติของตระกูลอื่นที่กำลังตกอยู่ในช่วงวิกฤติ จนทำให้พวกเขาเหล่านั้นมีสภาพชีวิตที่ย่ำแย่ลงไป นี่แหละความเป็นจริงอันโหดร้ายที่ถูกซ่อนเร้นเอาไว้อยู่
“หลงเฉิน เจ้าหาที่ตาย ข้าว่าเจ้าคงได้รับบาดเจ็บจนสติเลอะเลือนไปแล้ว อยากถูกพี่เย้าหยางทุบตีปางตายอีกรอบอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว ก็แค่เจ้าคนไร้ประโยชน์ที่ฝึกยุทธ์ไม่ได้ ยังกล้าที่จะกล่าววาจาห้าวหาญเกินตัวเช่นนั้นออกมา ช่างหาที่ตายเสียแล้วจริงๆ”
“โง่เขลานัก เหตุใดจึงมีตัวโง่งมเช่นนี้ได้ เป็นถึงบุตรขุนนางเช่นเดียวกันกับพวกเราช่างถือเป็นความอัปยศของชนชั้นอย่างพวกเราเสียจริง”
โจวเย้าหยางยังไม่ทันจะกล่าววาจาใดออกมาต่อ ผู้คนรอบข้างเขากลับเริ่มที่จะชี้หน้าด่าทอหลงเฉินกันเสียงดังไปเสียก่อนจนน้ำลายพุ่งกระเซ็นออกมาเต็มไปหมด
“หลงเฉิน ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นบุตรขุนนางเช่นเดียวกับข้า แต่ว่าหนึ่งนั้นคือฟ้า อีกหนึ่งนั้นคือธุลี เจ้ามันก็เป็นได้แค่เพียงแมลงน่ารำคาญตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้อยู่ในสายตาของข้าเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นต่อให้ข้ารังแกเจ้า เจ้าก็มีแต่ต้องอดทนเอาไว้ให้ถึงที่สุด ไม่เช่นนั้นก็จะมีชะตากรรมเฉกเช่นครั้งก่อนอีก ถูกทุบตีคล้ายสุนัขปางตายตัวหนึ่ง” โจวเย้าหยางกล่าวพลางชี้นิ้วไปทางจมูกของหลงเฉิน
เพี๊ยะ
หลงเฉินยิ้มกริ่มเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ได้ยื่นมือออกไป ในขณะที่ผู้คนทั้งหมดยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ มือก็ได้กำไปที่นิ้วมือนั้นของโจวเย้าหยางจนแน่น จากนั้นออกแรงบีบขึ้นมาเล็กน้อยจนเกิดเสียงดังขึ้น
โจวเย้าหยางร้องเสียงหลงออกด้วยความเจ็บปวด สัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่ส่งผ่านไปทั่วทั้งร่างกายของเขา กระจายไปยังจุดเชื่อมนิ้วทั้งสิบที่ได้ถูกหลงเฉินบีบไว้แน่นจนไม่อาจที่จะขยับเคลื่อนไหวตนเองได้เลย
เขานั้นเป็นถึงยอดฝีมือขั้นก่อรวมระดับเจ็ด ขอเพียงอย่าไปมีปัญหากับพวกขอบเขตก่อโลหิต เขาในตอนนี้ก็ถือว่ามีความแข็งแกร่งเหนือคนธรรมดา
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นช่างรวดเร็วเหลือเกิน เขาแทบไม่มีเวลาที่จะไหลเวียนพลังขึ้นมาปัดป้องเพื่อระงับความเจ็บปวด บัดนี้จึงแทบไม่ได้ต่างอะไรไปจากคนธรรมดาทั่วไป
หลงเฉินจับจ้องไปที่ใบหน้าอันแสนเจ็บปวดจนเกือบจะบิดเบี้ยวของโจวเย้าหยาง แล้วถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “สูงส่งนัก? ดูแคลนอย่างนั้นหรือ? เจ้ากำลังกล่าวถึงตัวเจ้าเองอยู่หรืออย่างไรกัน?”
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันนี้ต่างทำให้ผู้คนทั้งหมดพากันตกใจ โจวเย้าหยางในเวลานี้ได้รับความเจ็บปวดเกินกว่าจะกล่าววาจาใดออกมาได้ คนอื่นๆ จึงเริ่มแสดงปฏิกิริยาโต้กลับคืนมา และพุ่งเข้าไปหาหลงเฉิน
“ไสหัวไป รีบปล่อยพี่เย้าหยาง”
“ผู้ใดกล้าเข้ามาใกล้ ข้าจะฟาดมันให้ตายเอง”
คนข้างกายของโจวเย้าหยางถูกยั้งการเคลื่อนไหวด้วยวาจาอันแหลมคมของหลงเฉิน ขณะที่หลงเฉินกำลังจะเคลื่อนไหว ทันใดนั้นข้างกายของเขาก็ปรากฏเงาอันสูงใหญ่กำลังมุ่งตรงเข้ามาทางผู้คนกลุ่มนั้นแล้วสบถขึ้นมาอย่างเดือดดานประดุจสายฟ้าคำรนที่ดังเสียดแก้วหูของทุกผู้คนแทบจะระเบิดออกมา
หลงเฉินหรี่ตาลงเพื่อให้เห็นชัดเจนว่าเข้าเป็นใคร พลันมุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันขึ้น ผู้ที่มาเยือนตอนนี้ใช่ใครอื่น แท้จริงแล้วก็คือซือเฟิงนั่นเอง
เดิมทีบุตรขุนนางหลายคนกำลังจะพุ่งจู่โจมมาที่หลงเฉิน แต่เป็นเพราะการปรากฏตัวขึ้นของซือเฟิง เพียงครู่เดียวทุกคนก็หยุดนิ่งอยู่กับที่
ซือเฟิงเป็นคนโอหังถือดี ไม่ชมชอบการรุมแบบหมาหมู่ ในหมู่บุตรขุนนางทั้งหมดเขาถือได้ว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด อีกทั้งยังมีร่างกายที่สูงใหญ่ เพียงแค่ได้พบเจอก็ทำให้ผู้อื่นรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาได้แล้ว
ช่วงเวลานั้นทุกคนก็ได้ตกอยู่ในความเงียบสงัด ทั่วทั้งภายในหอศึกษาอักษรมีเพียงเสียงร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวดของโจวเย้าหยาง
“พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่หรือ?”
จู่ๆ เสียงเกรี้ยวกราดเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ ชายชราผู้หนึ่งกำลังเดินตรงดิ่งมายังเหล่าฝูงชน กลุ่มคนต่างเปลี่ยนสีหน้าเป็นหวาดกลัวขึ้นมาพร้อมกัน และมองไปทางด้านชายชราผู้นั้น
ชายชราผู้นั้นเป็นอาจารย์ผู้สอนอยู่ภายในตึกศึกษาอักษร เป็นนักปราชญ์ผู้หนึ่ง กล่าวกันว่าเป็นผู้ชำระเหล่าขุนนางกังฉินมีนิสัยสำรวมและมีความเที่ยงธรรม
“ทะเลาะวิวาทกันภายในของตึกศึกษาอักษร ตามกฎระเบียบแล้วจะถูกกักบริเวณเป็นเวลาหนึ่งเดือน พวกเจ้าอยากจะลองดูอย่างนั้นหรือ?” ชายชราผู้นั้นกล่าวเสียงเรียบ
หลงเฉินกรอกตาอยู่รอบหนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ ปล่อยมือออกจากนิ้วมือที่ผิดรูปไปแล้วของโจวเย้า
หยาง จากนั้นก็หันไปยิ้มแล้วกล่าวต่อชายชราผู้นั้นว่า “อาจารย์ ท่านเข้าใจผิดแล้ว เมื่อครู่พวกเราไม่ได้ทะเลาะวิวาทกันแต่อย่างใด เพียงแค่วัดพลังกันเท่านั้นเอง”
“อ๋อ? วัดพลังอย่างนั้นหรือ? วัดพลังอะไรกัน?” ชายชราจ้องมองไปที่หลงเฉินอย่างคาดคั้น เมื่อเห็นชัดว่าไม่อาจที่จะจัดการเรื่องนี้ได้โดยง่าย
“พวกเรากำลังทำการทดสอบว่า ความแข็งแกร่งของนิ้วมือข้างหนึ่งภายใต้การรุมโจมตีจากนิ้วมือทั้งห้าจะทนไปได้นานเพียงใด
เมื่อได้ทำการทดสอบแล้ว พวกเราจึงได้ข้อสรุปมาข้อหนึ่ง พลังของกลุ่มก้อนย่อมไม่อาจที่จะต้านทานเอาไว้ได้
ต่อให้นิ้วมือข้างหนึ่งจะแข็งแกร่งกว่าแต่ก็ยังโดดเดี่ยวและมีกำลังที่จำกัด จำเป็นที่จะต้องมีสหายคอยสนับสนุนจึงจะสามารถเพิ่มพูนพลังความสามารถออกมาอย่างไม่หยุดยั้งได้
ในการทดสอบครั้งนี้ข้ากับโจวเย้าหยางต่างก็ได้รับทราบและเข้าใจพลังของอีกฝ่าย อันมีส่วนช่วยเหลือในการฝึกยุทธ์ของพวกเราในวันข้างหน้าได้เป็นอย่างมาก เป็นประโยชน์อย่างยิ่งยวด พี่โจว ท่านว่าใช่หรือไม่?” หลงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ลึกซึ้งแล้วมองไปทางโจวเย้าหยาง
โจวเย้าหยางแค้นจนเกือบจะสลบไป เขาพลาดท่าให้หลงเฉิน บัดนี้ทำได้เพียงแค่กล้ำกลืนฝืนทนความรู้สึกโกรธแค้นนี้ไว้ ไม่เช่นนั้นแล้วหากไม่คล้อยตามหลงเฉิน เขากับหลงเฉินก็จะกลายเป็นผู้ที่ได้ละเมิดกฎของสำนัก ต่อให้เป็นบุตรขุนนางก็ย่อมไม่อาจที่จะฝ่าฝืนกฎของหอศึกษาอักษรได้
“ใช่แล้ว”
โจวเย้าหยางพยายามปรับน้ำเสียงของตนเองให้ราบเรียบ แต่ว่าหลังจากที่ได้รับความเจ็บปวด มันทำให้เสียงของเขาแหบพร่าอย่างเห็นได้ชัดคล้ายกับกลืนบอระเพ็ดเข้าไป
ชายชราผู้นั้นมองไปทางหลงเฉิน ใบหน้าแสดงออกถึงความขำขันขึ้นมาเล็กน้อย พยักหน้าแล้วกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นที่เจ้ากล่าวมา ข้าก็ไม่อาจลงโทษพวกเจ้าได้แล้ว แต่จำเอาไว้ว่าจากนี้ไปห้ามก่อความวุ่นวายภายในที่แห่งนี้อีก”
ทุกคนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็อดคิดพร้อมกันขึ้นมาไม่ได้ว่าหลงเฉินนั้นโชคดียิ่งนัก ชายชราเองก็ดูออกว่าหลงเฉินนั้นกล่าววาจาเหลวไหล แต่ก็ยังคงยอมปล่อยพวกเขา
“เจ้ารอข้าก่อนเถิด”
โจวเย้าหยางกัดฟันพูดลอดออกมาด้วยระดับเสียงที่มีแต่เพียงสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน
หลงเฉินได้ลงมือกระทำสิ่งที่ร้ายกาจจนเกินไปแล้ว ไม่เพียงแต่บีบนิ้วมือของเขาเท่านั้น ยังใช้พลังฝีมืออะไรบางอย่างที่ทำให้เส้นเอ็นภายในนิ้วมือของเขาเกิดอาการช้ำด้านได้ถึงเพียงนี้ ไม่เช่นนั้นโจวเย้าหยางก็คงจะไม่เกิดความเจ็บปวดรวดร้าวได้ถึงเพียงนั้น ทั้งยังไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะต่อต้านการกระทำของหลงเฉินได้เลย
“ยินดีหากพี่โจวจะมาหาข้าเพื่อรับการทดสอบ…ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ”
หลงเฉินหัวเราะเบาๆ แสดงออกถึงความมีมารยาทแต่แฝงเอาไว้ด้วยความชั่วร้าย วันนี้ยังเป็นเพียงดอกเบี้ยเท่านั้น เรื่องสนุกที่แท้จริงจะตามหลังมาแน่นอน
ลูกขุนนางสองร้อยกว่าคนได้นั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม ชายชราผู้นั้นพยักหน้าอย่างพึ่งพอใจ เริ่มต้นร่ายบทวรรณกรรมชุดหนึ่งขึ้นมารวดเดียวราวกับแทบจะขาดใจ ผู้คนที่ได้ยินก็เกิดอาการ
ง่วงหงาวหาวนอนแต่ก็ไม่กล้าที่จะหลับลงไปต่อหน้า
ชายชราผู้นี้แม้จะไม่มีวิทยายุทธ์เลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าทั่วทั้งตำหนักฝึกสอนขุนนางได้ยกย่องให้วาจาของเขาเป็นดั่งประกาศิต หากไม่ทันระวังจนทำให้เขาเกิดโทสะอาจถูกเขาขับไล่ออกไป เช่นนั้นหอตำรายุทธ์ในช่วงกลางวันก็อย่าได้ไปนึกถึงเชียว
นี่เปรียบเสมือนกับไข่ไก่สองฟอง ฟองหนึ่งเหม็นเน่า อีกฟองหนึ่งเป็นไข่ที่ดี แต่หากคิดที่จะกินไข่ที่ดีอาจต้องสุ่มผ่านการกินไข่เน่าก่อน
ชายชราผู้นั้นได้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของประวัติศาสตร์ การทำนุบำรุงจักรวรรดิ ความรู้ความเข้าใจในด้านการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ แม้แต่หลงเฉินเองก็ยังเกือบจะหลับไปเสียแล้ว
ทว่ากลุ่มของพวกเจ้าอ้วนกลับตั้งใจฟังเป็นอย่างดีเพราะว่าพวกเขาไม่อาจที่จะฝึกยุทธ์ได้ ในอนาคตจึงจำเป็นที่จะต้องใช้ความรู้เหล่านี้เพื่อเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นสักครา
เมื่อผ่านช่วงเวลาแห่งความทรมานอันแสนสาหัส ในที่สุดก็ถึงช่วงกลางวัน หลังจากทานอาการกลางวันไปแล้ว ผู้คนทั้งหมดต่างก็กรูกันไปทางหอตำรายุทธ์ราวกับผึ้งแตกรัง
แม้แต่เจ้าอ้วนและพวกที่ไม่อาจฝึกยุทธ์ได้ก็พากันวิ่งเข้าไปตามๆ กัน ภายในหอตำรายุทธ์มีวิชายุทธ์อยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน เพียงแค่เข้าไปแสวงโชคก็ถือเป็นเรื่องที่ดีอยู่ไม่น้อย
หอตำรายุทธ์แบ่งเป็นทั้งหมดสามชั้น ทว่ามีเพียงแค่ชั้นแรกเท่านั้นที่เปิดให้บุตรขุนนางเข้าไป
ถึงแม้จะมีเพียงแค่ชั้นเดียว แต่ทว่ากลับมีตู้หนังสือกว่าสิบเจ็ดตู้วางเรียงกันเป็นแนว แต่ละชั้นมีการจัดวางหนังสือทักษะยุทธ์แต่ละชนิดอยู่เต็มไปหมด ทักษะวิชาอื่นๆ ก็ด้วย ยิ่งเห็นยิ่งทำให้ผู้คนเกิดอาการตื่นเต้น ดูละลานตาไปหมด
“พี่ใหญ่เย้าหยาง ข้าได้นัดประลองเป็นตายกับหลงเฉินแล้ว ครั้งนี้ข้าจะจัดการเขาให้ตายอย่างแน่นอน และจะแก้แค้นแทนพี่เย้าหยางด้วย”
หลี่เฮ่าที่ไม่ทราบว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด เขาได้ลอบเข้ามายืนอยู่ข้างกายของโจวเย้าหยาง แสดงการคารวะต่อเขาแล้วกล่าว
ในเวลานี้โจวเย้าหยางได้เดินพลังยับยั้งอาการเจ็บปวดที่นิ้วมือไว้แล้ว แต่ว่าก็ยังพลาดจากจุดสำคัญจนทำให้เส้นลมปราณเกิดอาการด้านชา เขาจำเป็นที่จะต้องไปเชิญหมอโอสถมาเพื่อช่วยทำการรักษา
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ควรจะฆ่าเขา ไม่เช่นนั้นครั้งก่อนข้าคงจะจัดการเขาให้ตายไปแล้ว” โจวเย้าหยางส่ายหน้าแล้วตอบออกไปในทันที “ใช่แล้ว ครั้งที่แล้วเหตุใดเจ้าจึงถูกเขาจัดการไปได้ล่ะ?”
“เรื่องนี้ เพ้ย! ความจริงแล้วเป็นข้าเองที่ได้ใจจนเกินไป ผลสุดท้ายกลับต้องถูกหลงเฉินฉวยโอกาสไปได้ พอคิดแล้วก็แค้นขึ้นมาจับใจจริงๆ ข้าถูกเจ้าเศษสวะจัดการจนพ่ายแพ้ถึงหนึ่งครั้ง” หลี่เฮ่าตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
ครั้งก่อนที่ได้พ่ายแพ้ไปทำให้ชื่อเสียงของเขาพังย่อยยับ ผู้คนส่วนหนึ่งนินทาลับหลังเขาอยู่เสมอยิ่งทำให้เขาโกรธจนแทบคลั่ง เขาคิดมาโดยตลอดว่าครั้งที่แล้วเป็นเพียงความประมาทเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นในครั้งนี้จึงได้บังเกิดจิตสังหารอย่างแรงกล้าต่อหลงเฉินขึ้นมา
“หลงเฉินตายไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ เจ้าอย่าได้ทำให้เสียเรื่องใหญ่ไป” โจวเย้าหยางเกรงว่าหลี่เฮ่าจะไม่เข้าใจความหมายของเขาจึงได้กำชับซ้ำขึ้นมาอีกรอบด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“เช่นนั้นจะทำอย่างไร? จะปล่อยเขาไปอย่างนั้นหรือ?” หลี่เฮ่าตอบกลับราวกับไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง
โจวเย้าหยางมองไปยังนิ้วมือที่บิดเบี้ยวของตนเอง กัดฟันแน่นแล้วกล่าว “ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถสังหารเขาได้ แต่ว่าการจะนำบางส่วนของร่างกายเขาออกมาสักอย่างสองอย่างก็ยังทำได้อยู่”
หลี่เฮ่ามีแววตาเป็นประกายขึ้นมา ตอบกลับไปอย่างยินดีว่า “ได้ ครั้งนี้ข้าอยากจะเตะให้ไข่หงส์ของเขาแหลกลาน ใช่แล้ว ข้ายังต้องการดวงตาข้างหนึ่งของเขา สายตาของเขาทำให้ข้ารู้สึกไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย”
โจวเย้าหยางกับหลี่เฮ่าประสานสายตากันแล้วหัวเราะออกมา แต่ว่าพวกเขากลับไม่ได้สังเกตเลยว่าหลงเฉินที่กำลังแสร้งเป็นจัดแจงหนังสืออยู่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เขาฉีกยิ้มเล็กน้อยแต่รอยยิ้มนั้นแสนเยือกเย็นยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดคล้ายกับเสือดาวตัวหนึ่งที่กำลังจ้องมองแพะสองตัวที่กำลังกระซิบกระซาบกันอยู่
ในตำแหน่งของหลงเฉิน พลังแห่งจิตวิญญาณของเขาสามารถที่จะตรวจสอบความเคลื่อนไหวของทั้งสองคนได้พอดี ถึงแม้ว่าจะได้ยินไม่ชัดว่าพวกเขากล่าวอะไร แต่เมื่อดูจากการขยับปากของพวกเขาก็สามารถที่จะคาดเดาคำพูดได้
เมื่อทั้งสองคนคล้ายกับได้หาตำราที่ชั้นหนังสือพบแล้ว หลงเฉินก็คร้านที่จะสนใจพวกเขาต่อจึงได้เริ่มค้นหาเป้าหมายที่แท้จริงของตนเองต่อไป
ภายในความทรงจำของเขา นอกจากเคล็ดกายานวดาราแล้วราวกับว่าทุกอย่างก็เป็นความรู้ในเชิงหลอมโอสถไปเสียหมด เขาตอนนี้จำเป็นที่จะต้องมีทักษะยุทธ์ติดตัวเอาไว้สักอย่างแล้ว
หลงเฉินเกิดความสนใจทักษะยุทธ์อยู่เล่มหนึ่ง ในขณะที่กำลังจะยื่นมือเข้าไปหยิบ ชายหนุ่มใบหน้าดำคล้ำก็ได้ยื่นมือไปในทิศทางเดียวกันทันทีจนแย่งชิงทักษะยุทธ์เล่มนั้นไปต่อหน้าต่อตา
“ต้องขออภัยด้วย เล่มนี้ได้ต้องตาคุณชายอย่างข้าแล้ว”
คนผู้นั้นกล่าวขึ้นแต่กลับไม่มองมาที่หลงเฉินเลยแม้สักนิดเดียว
หลงเฉินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการจงใจ แต่หลงเฉินก็ไม่ได้โต้ตอบอันใด เพียงแต่เปลี่ยนไปยังชั้นหนังสืออีกด้านหนึ่ง
หลงเฉินหันไปเจอทักษะยุทธ์ฝ่ามืออีกเล่มพอดี กำลังเอื้อมมือไปหยิบ ชายหนุ่มใบหน้าดำคล้ำคนเดิมกำลังรอคอยอยู่อีกด้านมาตั้งแต่แรกก็ได้เข้ามาแย่งชิงไป
“ต้องขออภัยด้วย เล่ม……”
เพียะ!
เสียงดังกึงก้องสะท้อนไปทั่วหอ แรงสะเทือนถึงใบหน้าดำคล้ำของชายผู้นั้นและตัดบทวาจาของเขาลงทันที ทั้งยังเป็นพลังที่แข็งแกร่งจนทำให้เขาลอยกระเด็นออกไป