“ตูม”
เตาหลอมโอสถสั่นไหวไปมาอย่างรุนแรง โดยรอบปกคลุมไปด้วยพลังอันมหาศาลจนน่าหวาดหวั่นขึ้นมา ราวกับว่าภายในเตาหลอมนั้นได้กักขังสัตว์ร้ายที่เกรี้ยวกราดอยู่ตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
“ฟู่”
หลงเฉินประกบฝ่ามือไปจับที่ฝาเตาแล้วออกแรงกดลงให้แนบสนิทกับเตาหลอม
“ซูม”
ฝ่ามือที่กำลังปิดผนึกบนฝาเตาเอาไว้อยู่นั้นก็เกิดการไหลเวียนพลังแห่งจิตวิญญาณอันแข็งแกร่ง ประดุจสายน้ำหลากขึ้นมาสายหนึ่งเข้าห้อมล้อมเตาหลอมเอาไว้จนคล้ายกับว่าถูกปิดตายไปแล้ว
หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาไปถึงครึ่งวันเต็มๆ ในที่สุดเตาหลอมโอสถที่ปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรงก็ได้สงบนิ่งลงอย่างช้าๆ จนกลับคืนสู่สภาวะปกติ
ฝ่ามือของเฉินหลงที่ครอบอยู่ด้านบนก็ได้แง้มออกอย่างเชื่องช้า เดิมทีที่ภายในห้องนั้นถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด กลับกลายเป็นความสว่างไสวคล้ายกับมีดวงอาทิตย์สาดแสงอยู่เหนือศีรษะของเขา ภายในเตาหลอมมีโอสถเม็ดหนึ่งที่กำลังทอแสงเจิดจ้าจำรัสดั่งดวงจันทรายามค่ำคืน
“เหอะเหอะ สำเร็จจนได้”
หลงเฉินผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเกียจคร้าน หลังมือข้างหนึ่งปาดไปยังเหงื่อที่ชโลมอยู่เต็มศีรษะ จากร่างกายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันแกร่งกล้ากลับถูกแทนที่ด้วยความอ่อนล้าโรยแรง เขารู้ได้ว่าแทบจะหมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะยืนอยู่ไหวจนแทบจะสลบไปในเร็วๆ นี้
นี่เป็นโอสถเตาที่สามกระมังที่ได้ถูกหลอมขึ้นมา เตาที่หนึ่งนั้นเป็นโอสถสลายดาราสำหรับฉู่เหยา อันง่ายดายที่สุดในการหลอมเมื่อเทียบกันกับสองเตาหลังจากนั้น
เตาที่สองเป็นโอสถหัวใจเน่าเปื่อยดูดวิญญาณที่มีหญ้าหัวใจเน่าเปื่อยเป็นสมุนไพรหลัก เขาหลอมออกมาจนกลายเป็นโอสถพิษเม็ดหนึ่งไว้ใช้สำหรับคุ้มครองป้องกันจากภยันตรายที่อาจจะเข้ามากล้ำกรายได้
ส่วนเม็ดสุดท้ายนี้ถือเป็นโอสถที่หลอมขึ้นมาได้ยากมากที่สุด เขาเรียกมันว่าโอสถบำรุงวิญญาณ ส่วนผสมหลักก็คือโครงกระดูกมายารัตติกาลที่ได้รับมาจากหมู่ตึกฮวาหวินนั่นเอง
มายารัตติกาลนี้มีความคล้ายคลึงกับค้างคาวที่โตเต็มวัยถึงสามช่วงตัว เป็นปีศาจร้ายแห่งการสูบโลหิตอย่างแท้จริง โดยมากแล้วมายารัตติกาลตัวหนึ่งจะสามารถดึงพลังแห่งจิตวิญญาณเข้าจู่โจมไปยังพลังแห่งจิตวิญญาณของศัตรูได้ อีกทั้งยังเป็นการโจมตีที่สร้างความน่าหวาดกลัวจนคู่ต่อสู้แทบจะไม่สามารถทำการป้องกันได้เลย
หลงเฉินใช้โครงกระดูกมายารัตติกาลซึ่งเป็นสัตว์มายาระดับสองตัวนี้เป็นวัตถุดับหลักในการหลอมรวมจนกลายเป็นโอสถบำรุงวิญญาณหนึ่งเม็ด
โอสถบำรุงวิญญาณเป็นโอสถที่มีความพิเศษเฉพาะชนิดหนึ่ง ช่วงเวลาแรกเริ่มที่โอสถชนิดนี้ได้ปรากฏขึ้นมาบนโลกหล้าก็ได้รับความนิยมชมชอบเป็นอย่างมาก ในความทรงจำของจักรพรรดิโอสถที่อยู่ในห้วงความคิดของหลงเฉินฉายให้เห็นหนทางในการบำรุงพลังแห่งจิตวิญญาณเพียงแค่สามทางเท่านั้น
ผลลัพธ์ของโอสถบำรุงวิญญาณนี้ก็คือการบำรุงปราณจิตของมนุษย์ที่ฝึกฝนด้านพลังแห่งจิตวิญญาณตอนปลาย ผู้ที่อยู่ในระดับนี้จำเป็นที่จะต้องใช้โอสถนี้อย่างน้อยหนึ่งเม็ดเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของพลัง
อีกทั้งโอสถเม็ดนี้ไม่ต้องการส่วนผสมที่มากมายนัก นอกจากมีความแข็งแกร่งของพลังแห่งจิตวิญญาณที่มากพอก็สามารถหลอมขึ้นมาได้สำเร็จแล้ว
สายตาที่จ้องมองไปยังโอสถบำรุงวิญญาณที่กำลังเปล่งประกายดุจแสงแห่งจันทราในตอนนี้ ได้ทำให้ภายในห้วงแห่งความคิดของหลงเฉินฉายภาพใบหน้าอันงดงามของม่งฉีขึ้นมา
เนื่องจากม่งฉีเป็นผู้ฝึกสัตว์คนหนึ่งจึงย่อมต้องมีการฝึกพลังแห่งจิตวิญญาณอย่างหนักหน่วง หากมอบสิ่งนี้ให้แก่นางคงจะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งยวดแน่นอน
ทว่าในขณะนี้ม่งฉีนั้นได้พำนักอยู่ในหมู่ตึกจิตวายุที่ไม่ทราบว่าอยู่แห่งหนใด อีกทั้งหลงเฉินก็ไม่ได้พบเจอและได้รับข่าวคราวจากนางมาเนิ่นนานแล้ว คิดจะหาคนสนิทชิดเชื้อกับนางก็เป็นหนทางที่เป็นไปไม่ได้อีกด้วย
เขาทำได้แค่เพียงถอนลมหายใจออกมาอย่างอดสู แล้วนำโอสถบำรุงวิญญาณเก็บเข้าในแหวนมิติ หากภายในครึ่งปีหลังจากนี้ยังไม่พานพบกับม่งฉีก็คงจำเป็นจะต้องใช้กับตัวเองแล้ว
เพราะโอสถบำรุงวิญญาณเม็ดนี้แตกต่างไปจากโอสถชนิดอื่น หากปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไปกว่าครึ่งปี พลังที่สถิตอยู่ในเม็ดโอสถก็จะเริ่มสลายและหายไปในที่สุด
หลังจากจัดการหลอมโอสถทั้งหมดจนเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็ล้มตัวหัวหนุนหมอนแล้วหลับใหลไปอย่างง่ายดาย ด้วยความเหนื่อยล้าไปทั่วร่างกายที่ถูกใช้ไปถึงสองวันเต็มๆ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนร่างกายมีเรี่ยวแรงเติมเต็มขึ้นมาจนสมบูรณ์ หลงเฉินก็ลุกออกจากที่นอนแล้วชำระล้างร่างกายก่อนจะตรงไปที่ห้องหับของมารดาเพื่อสนทนาเรื่องราวที่นางเป็นห่วงอยู่ และหลังจากทานอาหารกลางวันเป็นที่เรียบร้อยแล้วหลงเฉินก็มุ่งตรงไปหาฉู่ฟง
เขาและฉู่ฟงได้เคยนัดแนะกันเอาไว้แล้วว่าในยามนี้และเวลานี้จะไปพบกันที่เหลาน้ำชาแห่งหนึ่ง เมื่อหลงเฉินได้ไปถึงจุดนัดหมายก็พบว่าฉู่ฟงได้รออยู่ก่อนแล้ว
ข้างกายของฉู่ฟงมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้วย ขณะที่ชายผู้นั้นหันมาสบตาหลงเฉินแล้วมีทีท่าว่าจะกล่าววาจาอันใดออกมาสักอย่างหนึ่ง ทันใดนั้นเบื้องหน้าสายตาของเขาก็มืดดับลงไป ร่างกายอ่อนล้าไร้การควบคุมแล้วฟุบหน้าลงไปที่โต๊ะ
เพียงฝ่ามือเดียวของฉู่ฟงที่แนบไปบนแผ่นหลังขององครักษ์ก็ทำให้ชายผู้นั้นสลบเหมือดไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นหลงเฉินก็ได้นำน้ำยาเปลี่ยนใบหน้าชโลมไปทั่วใบหน้าของตัวเอง แล้วทำการผลัดเปลี่ยนไปสวมชุดขององครักษ์ผู้นั้น จากนั้นก็ได้ติดตามฉู่ฟงเข้าไปภายในวังหลวง
ทั้งหมดนั้นได้ดำเนินไปตามแผนการที่วาวเอาไว้อย่างราบรื่น ก่อนหน้านี้ฉู่ฟงได้ทำตามคำสั่งของหลงเฉินมาโดยตลอดนั่นก็คือเขาจะนำองครักษ์เพียงคนเดียวออกติดตามไปทั่วทุกแห่งหนเพื่อตบตาผู้คนอื่น
ขณะนี้หลงเฉินได้ติดตามอยู่ข้างกายของฉู่ฟงจนเข้าสู่วังหลวงได้อย่างง่ายดาย ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกของเขาที่ได้เข้าสู่วังหลวงจึงเผลอเดินไปทางซ้ายทีขวาทีด้วยความว้าวุ่นใจ หากไม่ใช่พลังแห่งจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าปกติก็คงจะต้องหลงทางไปแล้ว
“พี่หลง เจี่ยเจี่ยของข้าได้ถูกกักบริเวณอยู่ภายในตำหนักหยกงาม ด้านนอกนั้นมีองครักษ์อยู่หยิบมือหนึ่ง ช่วงเวลาที่ข้าได้เข้าไปก็ไม่เคยถูกขัดขวางเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ทว่าครั้งนี้ข้าไม่แน่ใจว่าจะนำพาท่านเข้าไปได้หรือไม่ ช่างมีโอกาสเพียงน้อยนิดเท่านั้น” ฉู่ฟงทอสีหน้าเป็นกังวลออกมา
“ไม่เป็นไร ลองดูกันก่อนเถิด พวกเรายังพอมีโอกาสอยู่บ้าง หากว่าไม่ได้จริงๆ คงจะต้องบังคับกันเสียหน่อย” หลงเฉินกล่าวออกมาเสียงเรียบ
การมาเยือนวังหลวงของหลงเฉินในครั้งนี้ ประการแรกก็เพื่อส่งมอบโอสถให้แก่ฉู่เหยาและจัดการกับพลังประหลาดที่ผนึกร่างกายของนางเอาไว้
โอสถสลายดารามีเพียงเม็ดเดียวเท่านั้น อีกทั้งยังใช้ออกมาได้อย่างยากลำบาก หากมีหลงเฉินคอยสังเกตการณ์อยู่ข้างกาย เมื่อเกิดผลลัพธ์ไม่คาดคิดขึ้นก็ยังพอที่จะช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที
อีกประการหนึ่งก็คือหลังจากที่ฉู่เหยาได้สารภาพความในใจกับเขาที่งานเทศกาลโคมไฟแล้ว ภายในจิตใจของเขาก็มีเพียงเงาร่างของสาวงามผู้นี้ไปจนหมดสิ้นแล้วอย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย
เขาจึงมาเยือนเพื่อทำให้ฉู่เหยามั่นใจว่าต่อให้ต้องประสบช่วงเวลาที่ยากลำบากสักเท่าใด นางก็จะยังคงมีเขาคอยอยู่เคียงข้างกายเสมอ
ด้วยหวังว่าจะช่วยแบกรับภาระความเจ็บปวดทางจิตใจให้นางได้ส่วนหนึ่ง ฉะนั้นเขาจึงต้องมายังสถานที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง
ในที่สุดตำหนักหยกงามก็ได้ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของพวกเขา ตำหนักแห่งนี้เป็นที่พำนักส่วนตัวของฉู่เหยานเพียงผู้เดียว เมื่อกวาดสายตาไปโดยรอบก็พบองครักษ์ที่สวมชุดแพรทั้งหมดแปดนายเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูใหญ่
ด้านนอกของตำหนักมีทหารพรานเฝ้าระวังอยู่กว่าสิบนายที่คล้ายกับกำลังกลับมาจากการลาดตะเวน ภาพที่ปรากฏขึ้นมาภายในดวงตาคู่คมของหลงเฉินก็ทำให้เขาเกิดความเดือดดาลขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
นี่คือวังหลวงที่เป็นเสมือนบ้านของฉู่เหยา กลับมีคนเฝ้าระวังมากมาย ให้ความรู้สึกที่ไม่แตกต่างไปจากการถูกจองจำอยู่ในคุกเลย ห้วงแห่งความคิดได้ตอกย้ำให้หลงเฉินยิ่งคิดปรปักษ์ต่อราชวงศ์มากขึ้นกว่าเดิม
“ไทเฮามีรับสั่งห้ามให้คนนอกเข้าไปยังตำหนักหยกงามได้” เมื่อฉู่ฟงและหลงเฉินเดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ก็ถูกองครักษ์ผู้หนึ่งขวางทางเอาไว้
“บังอาจ ข้ามาเยี่ยมเจี่ยเจี่ย เหตุใดถึงไม่สามารถเข้าไปได้” ฉู่ฟงระเบิดโทสะออกมา
“องค์ชายเจ็ด ข้าน้อยต้องขออภัยด้วย ท่านสามารถเข้าไปได้ทว่าองครักษ์ผู้นี้ไม่สามารถเข้าไปด้วยได้” องครักษ์ผู้นั้นกล่าวออกมาเสียงแข็งคล้ายกับว่าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อย
“สามหาว เขาเป็นองครักษ์ข้างกายที่ข้าไว้วางใจอย่างถึงที่สุด เจ้าจะเชื่อในคำพูดของข้าหรือไม่นั้นก็รอจนศีรษะของเจ้าหล่นถึงพื้นก่อนก็แล้วกัน” ฉู่ฟงตะเบ็งเสียงดังขึ้นมาอย่างเหลืออด
องครักษ์ผู้นั้นส่ายหน้าไปมา แล้วตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อเช่นเคย “ต้องขออภัยเป็นอย่างสูง นี่เป็นรับสั่งจากไทเฮา ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจขัดขืนได้”
ในขณะที่ฉู่ฟงและองครักษ์ผู้นั้นกำลังถกเถียงกันอยู่ หลงเฉินก็ได้เบิกพลังแห่งจิตวิญญาณแผ่ออกไปทั่วบริเวณ จนพบเห็นเงาร่างบางร่างหนึ่งที่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่ริมหน้าต่างชั้นบน ก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความเศร้าสลดออกมา
ฉู่เหยายังคงงดงามอยู่ดังเดิม ทว่าร่างบางนั้นกลับซูบผอมลงไปมาก ดูซีดเซียวราวกับร่างไร้วิญญาณ ช่วงเวลาที่ถูกกักขังอยู่ในที่แห่งนี้คงจะทำให้นางทุกข์ทรมานอย่างถึงที่สุดแน่นอน
หลงเฉินกำฝ่ามือทั้งสองข้างจนแน่น สายตาจ้องเขม็งไปที่องครักษ์ราวกับต้องการจะบดขยี้พวกเขาให้ตายลงไปด้วยสองหมัดนี้ ทว่ายังไม่อาจหาญกล้าพอที่จะกระทำเช่นนั้นในวังหลวง
“เกิดเรื่องอะไรกัน ถึงได้ส่งเสียงเอะอะดังถึงเพียงนี้”
จู่จู่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง เงาร่างของชายผู้หนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าของผู้คนทั้งหมด
“น้อมพบองค์ชายสี่”
ชายผู้นั้นก็คือองค์ชายสี่ฉู่เซี่ยที่กำลังเดินกลับที่พำนัก เมื่อผ่านมายังที่แห่งนี้ก็ได้เร่งฝีเท้าตามเสียงดังโวยวายมา
หลงเฉินมีสีหน้าปั้นยากขึ้นมาเมื่อเห็นการปรากฏตัวขององค์ชายสี่ อีกทั้งภายในใจก็เต้นระรัวขึ้นมาอย่างรุนแรงเมื่อสายตาของฉู่เซี่ยกำลังจ้องมองมาที่เขา หลงเฉินไม่ทราบว่าตัวเองได้เผยพิรุธอันใดออกไป ทว่าเขาสัมผัสได้ว่าฉู่เซี่ยผู้นี้จดจำเขาได้อย่างแน่นอน
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?” ฉู่เซี่ยจ้องมองไปที่หลงเฉินอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าดังเดิมแล้วหันมองไปที่องครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตู
“น้อมพบองค์ชายสี่ องค์ชายเจ็ดต้องการนำพาองครักษ์ผู้นี้เข้าสู่ตำหนักหยกงามไปด้วย กระนั้น……”
“สามหาว เจ้าช่างหาญกล้าเกินไปแล้ว เจ้าเกิดความสงสัยต่อตี้ตี้ของข้าอย่างนั้นหรือ? คิดว่าเขาจะกระทำสิ่งชั่วร้ายต่อเจี่ยเจี่ยของตัวเองหรืออย่างไรกัน?” จู่จู่องค์ชายสี่ก็ระเบิดเสียงดังออกมาสนั่นหวั่นไหว
“ผู้น้อยไม่บังอาจ” องครักษ์ผู้นั้นตกใจกลัวขึ้นมาทันควัน แล้วรีบคุกเข่าลงกับพื้น เห็นได้ชัดว่าเขาเกรงกลัวองค์ชายสี่มากกว่าองค์ชายเจ็ดอยู่หลายเท่านัก
“ให้พวกเขาเข้าไป” องค์ชายสี่ส่งเสียงดุดันขึ้นมา
“กระนั้น……” องครักษ์ผู้นั้นมีน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“หากไทเฮาจะลงโทษ ข้าย่อมช่วยพวกเจ้าอยู่แล้ว หรือว่าแม้แต่ข้าเอง พวกเจ้าก็ยังไม่เชื่อ?” องค์ชายสี่ทอดน้ำเสียงอันแข็งกร้าวออกไป
“ผู้น้อยไม่บังอาจ” องครักษ์ผู้นั้นโค้งตัวต่ำลงไปอีก
“เข้าไปเถิด” องค์ชายสี่กล่าวขึ้นแล้วตบไปที่ไหล่ของฉู่ฟง ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับแฝงเอาไว้ความนัยบางอย่างขณะมองไปที่หลงเฉิน
หลงเฉินติดตามฉู่ฟงเข้าไปยังด้านในของตำหนัก ถึงแม้ว่าจะแปลกประหลาดใจว่าเหตุใดองค์ชายสี่ถึงได้ออกตัวช่วยเหลือพวกเขาอย่างนั้น ทว่าเวลานี้กลับไม่ควรหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเช่นนี้ ไว้ค่อยสะสางหาคำตอบในภายหลังที่ช่วยฉู่เหยาเรียบร้อยแล้วก็แล้วกัน
เมื่อมองตามเหงาหลังของหลงเฉินและองค์ชายเจ็ดลับหายเข้าไปในตำหนักหยกงามแล้ว ใบหน้าขององค์ชายสี่ก็ปรากฏรอยยิ้มเหยียดขึ้นที่มุมปาก ความคิดบางอย่างโลดแล่นขึ้นมาในโสตประสาท จากนั้นก็เดินออกจากที่แห่งนั้นไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อพวกเขาเข้าสู่ตำหนักหยกงามผ่านประตูทางด้านหน้ามาจนถึงลานส่วนกลางที่มีหน้าต่างบานใหญ่อยู่ เบื้องหน้าของพวกเขามีร่างบางฉู่เหยากำลังเหม่อไปยังปลาที่เวียนว่ายอยู่ในสระน้ำ ทันใดนั้นใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นก็ได้หันมามองที่ชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล
เมื่อสายตาคู่งามสบเข้ากับสายตาของหนุ่มองครักษ์ ภายในดวงตาคู่นั้นก็ปรากฏประกายแววตาที่ปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง มืออันขาวผ่องทั้งสองข้างถูกยกขึ้นปิดป้องไปที่ปาก แล้วหลั่งน้ำตาออกมาอย่างท่วมท้น นางทราบได้ทันทีว่าเขาคือหลงเฉิน
หลงเฉินเยื้องย่างฝ่าเท้ามุ่งไปยังร่างบาง แล้วหยุดอยู่เบื้องหน้าของฉู่เหยา ก่อนจะเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ต้องขออภัยด้วยที่มาช้า”
“ฮือฮือ”
ฉู่เหยาไม่อาจอดกลั้นความรู้สึกอึดอัดที่แน่นอยู่ภายในอกได้อีกแล้ว นางหันหน้าเข้าซบไปยังอ้อมกอดของหลงเฉินในทันที แล้วร่ำร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว เรื่องราวที่เกิดขึ้นช่างไม่เป็นธรรมกับนางอย่างถึงที่สุด
หลังจากที่นางได้ยินว่าไทเฮาได้ตัดสินใจให้นางแต่งกับเซี่ยฉางเฟิงก็คล้ายกับว่าร่างกายและจิตใจได้แตกสลายไปเป็นเสี่ยงๆ
หากฉู่ฟงไม่ได้นำเอาคำมั่นสัญญาจากหลงเฉินมาบอกเล่าให้นางฟัง เกรงว่าคงจะคิดสั้นไปตั้งแต่แรกแล้ว เพียงต้องการหลุดพ้นไปจากโลกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความโสมมเช่นนี้ต่อให้แลกด้วยชีวิตก็ย่อมคุ้มค่า
หลายวันมานี้ฉู่เหยาได้แต่เหม่อมองไปยังดวงตะวันที่ขึ้นมาและร่วงลับลงไปอย่างความขมขื่น กว่าที่แต่ละวันเวลาจะผ่านพ้นไปช่างยาวนานกว่าทุกที หนึ่งวันนั้นราวกับว่าเป็นหนึ่งปี
กลิ่นหอมหวานสายหนึ่งโชยเข้ามาเตะจมูกของหลงเฉิน เขาลูบไปตามเส้นผมนุ่มสลวยของฉู่เหยาอย่างอ่อนโยน คล้ายกับบอกกล่าวให้นางระบายความอัดอั้นออกมาให้หมดสิ้น
ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้สาบานขึ้นมาในใจว่าแม้จะจ่ายด้วยค่าตอบแทนมากสักเพียงใด เขาก็จะต้องปกป้องฉู่เหยาให้จงได้ หรือต่อให้ต้องตายก็จะไม่ขอผิดคำสาบานแม้แต่เสี้ยวเดียว
การใช้ชีวิตภายในวังหลวงของฉู่เหยาที่ไร้ซึ่งคนใกล้ชิดคอยดูแล หรือแม้แต่ผู้คนที่จะสามารถเชื่อใจและพึ่งพาได้สักคนก็ยังไม่มี นางเป็นเพียงหญิงสาวที่อ่อนแอคนหนึ่งกลับต้องมาพบพานกับความลำบากเช่นนี้ช่างมากเกินไปแล้ว
ในช่วงเวลาที่กำลังชวนให้หลงใหลอยู่นั้น หลงเฉินก็พบว่าฉู่ฟงกำลังอยู่ในอาการที่ไม่ทราบว่าจะไปยืนอยู่ที่ใดดี คล้ายกับว่ากำลังกระสับกระส่ายอยู่ภายในใจ
“แค่ก” หลงเฉินกระแอมเสียงดังออกมาครั้งหนึ่ง ฉู่เหยาจึงเริ่มมีปฏิกิริยากลับคืนดังเดิม นางรีบผลักออกจากอ้อมกอดของหลงเฉินอย่างรวดเร็ว ใบหน้าแดงก่ำราวกับว่ามีโลหิตสูบฉีดขึ้นมาอย่างแน่นหนา
“ให้ข้าหาที่หลบภัยสักครู่ก่อนดีไหม?” ฉู่ฟงกล่าวหยั่งเชิงออกมา อีกนัยหนึ่งก็รู้สึกผิดที่ขัดจังหวะของพวกเขา
“ไม่ต้อง เจ้าช่วยไปดูต้นทางให้ข้าที ข้ามีความลับบางอย่างที่จะต้องทำให้เจี่ยเจี่ยของเจ้า” หลงเฉินกล่าวพร้อมกับโบกมือไปมา
ทว่าเมื่อได้มองยังใบหน้าที่ตะลึงพรึงเพริดขึ้นมาของฉู่ฟง ก็ทราบได้ทันทีว่าเจ้าหนูผู้นี้คิดไปไกลกว่ามากแล้ว เขาจึงรีบกล่าวเตือนสติออกไป “ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดวุ่นวายไปอย่างแน่นอน”
ไม่บอกออกไปก็ดีอยู่แล้ว บัดนี้กลับเหมือนเปิดเผยให้เห็นไปจนถึงกระดูกดำเสียยิ่งกว่าเดิม พลันใบหน้าของฉู่เหยาก็ยิ่งร้อนผ่าวขึ้นมาด้วยความเขินอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีไปตอนนี้เลย
หลงเฉินคร้านที่จะอธิบายสิ่งใดต่อจึงฉุดไปที่ข้อมือของฉู่เหยาแล้วตรงขึ้นไปยังชั้นบน หลงเหลือเอาไว้แต่ฉู่ฟงที่ยังคงปากอ้าตาค้างอยู่เบื้องล่างแต่เพียงผู้เดียว . . .