ภายในตำหนักแห่งหนึ่ง องค์ชายสี่ต้อนรับผู้มาเยือนใหม่ สายตาของเขาจ้องมองไปที่หลงเฉินอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกจอกรินน้ำชาอย่างช้าๆ แล้วส่งแก้วชาใบหนึ่งให้หลงเฉิน
“ท่านช่างเป็นมังกรในหมู่คนเสียจริงๆ ความหาญกล้าเช่นนี้ช่างน่าเลื่อมใสเป็นยิ่งนัก”
“องค์ชายสี่เกรงใจเกินไปแล้ว จนถึงบัดนี้ข้าน้อยก็ยังไม่ทราบเลยว่าท่านจดจำข้าได้อย่างไร” หลงเฉินถามออกไปด้วยความสงสัยอยู่เต็มประดา
แน่นอนว่าเขาย่อมต้องการทราบว่าตัวเองได้เผยพิรุธอันใดออกไป และเหตุใดโอสถแปลงโฉมถึงไม่อาจปกปิดตัวตนของเขาได้
“ความฉลาดนับพันหมื่นย่อมมีข้อผิดพลาดอยู่ กล่าวตามความสัตย์ว่าตอนแรกนั้นข้าเองก็จดจำท่านไม่ได้ ทว่ากลับเหลือบไปเห็นแหวนที่ท่านสวมใส่บนนิ้วมือจึงทำให้ข้านึกขึ้นมาได้ อีกทั้งเมื่อมองไปยังแววตาของท่านก็แน่ใจขึ้นมาในทันที” องค์ชายสี่กล่าวออกมาอย่างไม่ปิดบัง
หลงเฉินบังเกิดความเข้าใจขึ้นมาอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาลืมถอดแหวนมิติที่เสมือนเป็นเครื่องหมายของทางชุมนุมผู้หลอมโอสถ คิดไม่ถึงว่าจะเผยช่องโหว่อย่างเด่นชัดได้ถึงเพียงนี้ สิ่งสำคัญเช่นนี้เขาลืมเลือนไปได้อย่างไรกัน?
“องค์ชายสี่เป็นคนช่างสังเกตเสียจริง น่าเลื่อมใสกว่าข้าหลายเท่านัก ทว่าข้าปรารถนาจะทราบเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุใดองค์ชายสี่ถึงได้ออกตัวเพื่อช่วยข้าเอาไว้กัน?” หลงเฉินกล่าว
“เหอะเหอะ กล่าวไปท่านก็คงจะไม่เชื่อ ข้านั้นแสนจะชิงชังเซี่ยฉางเฟิงจนเข้ากระดุกดำ เพราะฉู่เหยาเองก็เสมือนกับเป็นเม่ยเม่ย (น้องสาว) ของข้า ถึงแม้ว่าคนในวังหลวงจะมีความสัมพันธ์กันไม่ต่างอะไรไปจากเครื่องประดับชิ้นหนึ่ง ทว่าในใจของข้าก็ยังไม่อาจละพี่น้องได้
ข้าเองก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นฉู่เหยาต้องตบแต่งกับชายที่นางไม่ได้รักใคร่ชอบพอ ทว่าเจ้าเองก็คงจะทราบว่าเชื้อพระวงศ์ล้วนแล้วแต่เป็นเช่นนี้กันทั้งนั้น ความสัมพันธ์ของผู้คนมีแต่เพียงผลประโยชน์เท่านั้น นี่จึงเป็นวิถีชีวิตอันน่าเศร้าสลดของเชื้อพระวงศ์
ข้าได้กราบทูลต่อไทเฮาอยู่หลายหนให้ปล่อยฉู่เหยาได้หวนคืนสู่ชีวิตอันปกติสุขของนางเสีย ทว่าช่างเสียดายที่คำร้องขอของข้าเปล่าประโยชน์ คิดไม่ถึงว่าภายหลังไทเฮากลับยิ่งมีโทสะขึ้นมาอย่างฉุนเฉียว
วันนี้ที่ได้ออกปากช่วยท่านก็เพราะเห็นแก่ท่านที่มาเพื่อเยี่ยมฉู่เหยา ข้ามองออกว่าท่านไม่ได้สวมหน้ากากจอมปลอมใส่ฉู่เหยา และความสามารถในตอนนี้ของข้าก็คงจะช่วยท่านได้ก็เพียงเท่านี้”องค์ชายสี่กล่าวไปถอนหายใจไปอย่างอัดอั้นตันใจ
“เรื่องในวันนี้ข้าน้อยจะจดจำเอาไว้จนขึ้นใจ” หลงเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ถึงอย่างไรในวันนี้เขาก็ได้ติดค้างน้ำใจขององค์ชายสี่ไปถึงหนึ่งครั้ง
“ส่วนเรื่องการถูกหักเบี้ยเลี้ยงของตระกูลหลง ข้าก็ได้ตรวจสอบมาบ้างแล้ว ทว่าทำการตรวจสอบไปได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น อีกส่วนหนึ่งกลับไม่มีให้ตรวจสอบแล้ว ฉะนั้นเรื่องของตระกูลหลง ข้าเองก็ไม่อาจทำอย่างไรได้เช่นกัน” องค์ชายสี่กล่าว
หลงเฉินขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างฉงนสงสัย “องค์ชายสี่พอจะชี้แนะสักเล็กน้อยได้หรือไม่?”
“ถึงอย่างไรเรื่องภายในของเหล่าราชวงศ์ก็เป็นดั่งน้ำบ่อที่ถูกขังตายเอาไว้ การลงมือช่วงชิงจึงยังมีข้อจำกัดอยู่ ข้านั้นไร้ความสามารถในเรื่องเช่นนี้เสียจริงๆ” องค์ชายสี่ส่ายหน้าไปมาแล้วตอบออกไป
หลงเฉินทอดวงตาเป็นประกายขึ้นมา ถึงแม้ว่าองค์ชายสี่จะไม่ได้ตอบออกมาโดยตรง ทว่าเขากลับจงใจเอ่ยวาจาโดยอ้อมออกมาด้วยความหมายที่ส่อถึงเลศนัยบางอย่าง
เหล่าองค์ชายมีด้วยกันทั้งหมดเจ็ดพระองค์ นอกจากองค์ชายสี่แล้วก็ยังมีองค์ชายอีกหกพระองค์ ส่วนองค์ชายเจ็ดนั้นเรียกได้ว่าตัดออกไปได้เลย
เช่นนั้นก็จะเหลือองค์ชายใหญ่ องค์ชายสอง องค์ชายสาม องค์ชายห้า และองค์ชายหก หลงเฉินหวนย้อนรำลึกไปถึงวันงานเทศกาลโคมไฟเฟิงหมิงที่เขาได้ยืนมองอยู่จากด้านล่างของเวที สายตาของเขาได้สำรวจตรวจสอบไปยังเหล่าองค์ชายอย่างละเอียดถี่ถ้วน นอกเสียจากองค์ชายใหญ่แล้ว องค์ชายท่านอื่นก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงความคิดที่จะตั้งตัวเป็นใหญ่แต่อย่างใด
ข้อสงสัยจึงตกไปอยู่ที่องค์ชายใหญ่แทบจะทั้งสิ้น อีกทั้งในงานประมูลที่หมู่ตึกฮวาหวิน หลงเฉินก็ได้พบกับมือสังหารที่ฆ่าปิดปากหลีเฮ่าในหมู่องครักษ์ขององค์ชายใหญ่ด้วย ทั้งหมดนี้ก็คงจะเพียงพอจะบ่งบอกถึงผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้แล้ว
“ขอบคุณมาก” หลงเฉินยกมือคารวะต่อองค์ชายสี่
“เหอะเหอะ ข้ายังไม่ได้บอกกล่าวอันใดเลย ท่านขอบใจข้าออกมาเช่นนี้ ข้าคงไม่อาจรับไว้ได้” องค์ชายสี่ยิ้มพร้อมกับปัดมือไปมา แล้วกล่าวขึ้นมาอีกว่า
“ในบางครั้งบางคราว ข้าเองก็นึกอิจฉาเหล่าซื่อจื่ออย่างพวกท่านที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ อยากจะไปแห่งหนใดก็ไปได้แล้วแต่ใจอยาก ช่างต่างจากพวกข้า ที่แม้แต่เป็นตัวของตัวเองก็ยังไม่อาจะเป็นได้ เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่ได้ชมชอบผู้คนนั้นทว่ากลับยังต้องร่วมเดินไปกับพวกเขาด้วย
หลังจากนี้ไปอีกสิบวันเซี่ยฉางเฟิงจะกลับไปยังจักรวรรดิต้าเซี่ยเพื่อเตรียมพิธีการสู่ขอฉู่เหยา ถึงแม้ว่าข้าจะเกลียดชังเขาจนแทบจะทุบตีให้ตายไปเสียหลายรอบ ทว่าก็ทำได้แค่เพียงส่งยิ้มให้เท่านั้น นี่คงจะเป็นยถากรรมของคนที่เกิดมาเป็นเชื้อพระวงศ์อย่างนั้นน่ะสิ”
“อีกสิบวันหลังจากนี้พวกเขาจะกลับไปแล้วอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินถามสวนขึ้นมาอย่างทันควัน ทว่าภายในดวงตากลับเกิดความดุร้ายขึ้นมาเป็นสาย ก่อนจะข่มกลั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว
องค์ชายสี่ที่ไม่ทันจะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงในดวงตาของหลงเฉิน ก็ยกแก้วชาขึ้นจิบไปคำหนึ่ง แล้วพึมพำอยู่กับตนเองว่า “ใช่แล้ว เขาคงจะใช้เส้นทางของด่านทางใต้ ที่นั่นเป็นเส้นทางกลับสู่เมืองต้าเซี่ยที่ใกล้ที่สุด เพราะงานมงคลสมรสระหว่างจักรวรรดิย่อมต้องมีการเตรียมการอยู่อีกมาก”
หลงเฉินพยักหน้าไปมาพลันก็แอบจดจำเรื่องนี้เอาไว้จนขึ้นใจ อีกทั้งภายในจิตใจของเขาก็ได้บังเกิดความคิดที่ห้าวหาญขึ้นว่าหากเขากระทำการสำเร็จ เรื่องของฉู่เหยาที่เสมือนคมกระบี่พาดอยู่บนคอก็คงจะคลี่คลายลงไปได้อย่างแน่นอน
องค์ชายสี่กับหลงเฉินสนทนากันต่ออีกสักพักหนึ่ง จากนั้นองค์ชายก็ได้ส่งหลงเฉินด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความเกรงอกเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง หลังจากเห็นเงาร่างของหลงเฉินลับหายไปจากเบื้องหน้าของสายตา เขาก็เดินกลับเข้ามายังห้องประทับอีกครั้ง ทว่าบัดนี้ภายในห้องกลับมีร่างของหญิงสาวนางหนึ่งปรากฏขึ้นมา
หญิงสาวนางนี้มีอายุราวสามสิบกว่าปี มีรูปร่างสูงโปร่ง ให้ความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสภาวะที่สูงศักดิ์ ใบหน้าเคร่งขรึมจนผู้คนที่พบเจอคงไม่หาญกล้าพอที่จะล่วงเกินได้
“เจ้ากำลังทำเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งนะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาอย่างเย็นชา
องค์ชายสี่ยิ้มน้อยๆ แล้วยกแก้วชาขึ้นมาจิบเบาๆ “อันตรายหรือไม่นั้นก็คงจะต้องเสี่ยงดู ทว่ายิ่งความเสี่ยงสูงก็ยิ่งเกิดผลลัพธ์ที่สูงด้วยเช่นกัน ข้าสัมผัสได้ว่าการกระทำเช่นนี้คงจะคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง
หากหลงเฉินทำล้มเหลว เขาก็จะกลายเป็นศพที่ไม่อาจกล่าววาจาใดได้ ไม่ว่าจะคิดเช่นไรเรื่องนี้ก็มีแต่จะทำให้เกิดประโยชน์ทั้งนั้น ทว่าในทางกลับกันหากเขาทำสำเร็จ ข้าก็ยังมีแผนขั้นต่อไปอยู่ มารดา…ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องพะวงมากจนเกินไป”
หญิงสาวที่อยู่ในห้องนั้นก็คือมารดาขององค์ชายสี่นั่นเอง ‘ซีกงเหนียงเหนียง*แห่งจักรวรรดิเฟิงหมิง’ นางส่ายหน้าไปมาแล้วตอบกลับออกมาว่า “ข้าหวังว่าเจ้าจะตระหนักอยู่เสมอว่ากำลังทำอันใดอยู่? ข้าได้ตบแต่งเข้าเฟิงหมิงก็เพราะได้รับคำสั่งมา ทั้งเจ้าและข้าต้องจำความข้อนี้เอาไว้ให้ดี”
*พระสนมตำหนักประจิม 西宫娘娘
“ชิ เดิมทีท่านก็เป็นองค์หญิงแห่งต้าเซี่ย เพื่อเป้าหมายจึงได้มายังเฟิงหมิง แล้วข้าผู้นี้เล่า? ข้ากำเนิดมาเพื่อเป็นหมากตัวหนึ่งอย่างนั้นหรอกหรือ?
พวกเขาปรารถนาแม่น้ำขุนเขาของเฟิงหมิง คิดที่จะให้เซี่ยฉางเฟิงขึ้นเป็นผู้ปกครองของจักรวรรดินี้ จากนั้นก็ยึดพื้นที่และทรัพย์สมบัติเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว เมื่อถึงเวลานั้นความดีความชอบทั้งหมดก็จะเป็นของพวกเขาผู้เดียวด้วยเช่นกัน ส่วนพวกเราสองแม่ลูกก็เป็นได้เพียงเครื่องมือปูทางให้พวกเขาอย่างนั้นหรือ? เรื่องราวเช่นนี้ใช้สิ่งใดมาตัดสินกัน?”
ทันใดนั้นองค์ชายสี่ก็ระเบิดคำพูดออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชาคล้ายกับกลายเป็นพยัคฆ์ร้ายกาจตัวหนึ่งที่พร้อมจะแว้งกัดผู้คนได้ตลอดเวลา
“เซี่ยเอ๋อ ข้ารู้ดีว่าเจ้ากังวลใจ ด้วยความสามารถเช่นเจ้าย่อมไม่แพ้คนผู้นั้นอย่างแน่นอน ทว่านี่เป็นชะตาชีวิตของพวกเรา” ซีกงเหนียงเหนียงถอนหายใจออกมาพร้อมกับใช้มือลูบไปที่แขนของบุตรชายเบาๆ
“ชีวิตอันใด? ชีวิตของเราก็ต้องเป็นเราที่ลิขิตขึ้นมาเองไม่ใช่หรือ ชีวิตของข้าก็ควรอยู่ในกำมือข้าเอง ข้าไม่ต้องการที่จะหุ่นเชิดของผู้ใดอีกแล้ว ข้าจะต้องเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิแห่งนี้ให้จงได้” องค์ชายสี่ปะทุเพลิงโทสะขึ้นมาอย่างเดือดดาล
“เป็นไปไม่ได้” ซีกงเหนียงเหนียงได้แต่ส่ายหน้าไปมา
“ท่านโปรดวางใจเถิด ข้ามีแผนการที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ออ…ด้านไทเฮาเป็นอย่างไรบ้าง?” องค์ชายสี่หันไปสบสายตากับมารดาของตน
“นางได้ต้องมนต์กลืนวิญญาณของข้าไปแล้ว เรียกได้ว่าสามารถควบคุมได้จนหมดจดแล้ว ทว่าข้าก็ยังป้องกันเอาไว้อีกทางหนึ่ง ด้วยการเพิ่ม‘เชื้อ’เข้าไปทุกวัน” ซีกงเหนียงเหนียงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เช่นนั้นก็ดี ตอนนี้ก็รอคอยข่าวดีจากหลงเฉินกันก่อนเถิด หวังว่าเขาคงจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” องค์ชายสี่เผยรอยยิ้มอันแสนชั่วร้ายขึ้นที่มุมปาก จากนั้นก็ยกแก้วชาขึ้นมาจิบอีกคำหนึ่ง
……
เมื่อหลงเฉินได้กลับมาถึงจวนก็พบว่าที่ด้านหน้าของประตูใหญ่มีรถม้าจอดอยู่ด้วยกันหลายคัน จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อเยื้องย่างกายเข้าไปภายในจวนก็มีสาวใช้นางหนึ่งบอกกล่าวกับเขาว่ามีแขกมาขอเข้าพบ
หลงเฉินขมวดคิ้วขึ้น ตระกูลหลงไม่มีผู้ใดไปมาหาสู่มานับหลายสิบปีแล้ว แล้วจะมีแขกจากที่ใดมาขอเข้าพบได้กัน?
เขาเร่งฝีเท้าไปยังที่พำนักของมารดา จนได้พบเห็นมารดาจากที่ที่อยู่ห่างไกลออกไปกำลังสนทนากับคนหมู่หนึ่ง ทันใดนั้นสายตาของผู้เป็นมารดาก็เห็นร่างของบุตรชายที่อยู่ไกลๆ จึงขานเรียกออกไปอย่างร้อนรน “เฉินเอ๋อ เข้ามาสิ มาเข้าพบท่านป้าทั้งสองของเจ้าก่อน”
ในหมู่ผู้คนเหล่านั้นมีหญิงที่แต่งงานแล้วอยู่สองนาง ดูไปแล้วหญิงทั้งสองคงจะมีอายุมากกว่ามารดาของเขา หลงเฉินจึงได้แต่เรียกขานว่าท่านป้าออกมาอยู่หลายคำ
“เหอะเหอะ เด็กดี เผลอไปแค่ไม่นานก็เติบใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว มาเร็ว มาพบกับเปี่ยวตี้ (ญาติผู้น้อง表弟) ของเจ้าก่อน” ท่านป้านางหนึ่งได้หันไปกล่าวต่อกลุ่มคนที่อยู่ทางด้านหลัง
กลุ่มคนเหล่านั้นมีชายอยู่สามคนและหญิงอีกสองคน ที่น่าจะมีอายุมากกว่าหลงเฉินอยู่หลายปี จนชายหนุ่มผู้หนึ่งได้กล่าวขึ้นมาอย่างกระอักกระอ่วนว่า “เปี้ยวตี้ไม่ได้พบกันนานเลยนะ”
หลงเฉินพยักหน้าไปมา เขายังพอจดจำได้ว่าในตอนที่ยังเยาว์วัยได้เล่นกับชายผู้นี้อยู่ มักจะแย่งของเล่นกันอยู่เสมอ ทว่าก็ถูกหลงเฉินกัดจนต้องร้องไห้กลับไปเสียทุกครั้ง
ถึงแม้ว่าการมาเยี่ยมเยือนของญาติทางฝ่ายมารดาจะน่าประหลาดอยู่บ้าง ทว่าเมื่อหลงเฉินได้เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของมารดาแล้วก็ไม่อาจจะกล่าวอันใดออกมามากมาย ทำได้แต่เพียงฝืนกล่าวทักทายพวกเขาออกไปบางครั้งคราว
หลงเฉินอยู่รอจนผู้คนเหล่านั้นกล่าวออกมาจนจบแล้วก็ขอตัวกลับไป หลงเฉินจึงได้ทราบความมาจากมารดาว่าพวกเขามาเยือนถึงจวนเพื่อที่จะขอโทษมารดา
“เฉินเอ๋อ ก่อนหน้านี้ที่ตระกูลหลงของพวกเราเข้าขั้นวิกฤต ญาติทางฝั่งของข้าก็เอาแต่มองดูอย่างนิ่งเฉย ก็แน่นอนว่าข้านั้นย่อมต้องแค้นจนฝังใจ
ทว่าการมาเยือนในครั้งนี้พวกนางเองก็ไม่ได้เลวร้ายถึงเช่นนั้น พวกนางไม่ได้มีเจตนาที่จะไม่ช่วยเหลือพวกเรา ทว่าเพียงแต่ไม่กล้าก็เท่านั้น” ฮูหยินหลงกล่าวออกมา พลันก็ถอนหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง
“ตอนนี้เจ้าได้กลายเป็นผู้หลอมโอสถผู้หนึ่งจนทำให้ตระกูลหลงของพวกเราลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง ข้าเองก็คิดขึ้นมาได้แล้วว่าเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป หวังว่าเจ้าจะไม่เก็บเอามาใส่ใจ ถึงอย่างไรพวกนางก็เป็นญาติของข้าผู้หนึ่ง”
ภายในจิตใจของหลงเฉินกลับส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา สิ่งใดคือความไม่กล้ากัน? ตระกูลหลงตกต่ำจนแทบจะไม่หลงเหลือเงินทองเอาไว้ซื้อข้าวกินอยู่แล้ว เหตุใดพวกเขาถึงได้จากไปกัน?
ต่อให้ไม่สามารถช่วยเหลือได้อย่างโจ่งแจ้ง ทว่าเพียงแค่การหยิบยื่นมาช่วยเหลือสักเล็กน้อยย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใดอยู่แล้ว เห้อ…เมื่อเรื่องได้ผ่านมาแล้วจะกล่าวโทษไปก็คงจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
ขณะนี้ทั่วทั้งจักรวรรดิคงจะไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้จักหลงเฉิน ชายผู้ที่มีความสัมพันธ์บางอย่างกับปรมาจารย์หวินฉีเป็นอย่างมาก ความหาญกล้าที่จะเปิดศึกกับยิงฮวาในงานประมูล สิ่งเหล่านี้ก็บ่งบอกถึงอำนาจของหลงเฉินผู้ที่ไม่เกรงกลัวผู้ใดอีกแล้ว
หลงเฉินใช้วิธีการเช่นนี้คล้ายกับบอกกล่าวต่อผู้คนว่าตระกูลหลงเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เคยแล้ว หากผู้ใดคิดจะมารังแกคงจะต้องเจอกันกับเขาเสียหน่อย
เหล่าญาติจึงมาหาถึงที่อย่างสำนึกผิดแทบไม่ทัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขากระทำลงไปเพื่อประจบผู้มีอำนาจก็เท่านั้น ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะคิดเช่นนั้นทว่าก็ไม่อาจกล่าวความในใจต่อมารดาที่ได้ยกโทษให้แก่พวกนางไปแล้วได้ ส่วนตัวเขานั้นก็คงทำได้เพียงไม่เก็บเรื่องราวเช่นนี้มาใส่ใจอีก
เมื่อเห็นว่าหลงเฉินไม่ได้ไม่พอใจต่อญาติของนางแล้ว ฮูหยินหลงก็วางใจขึ้นมาได้ขุมหนึ่ง ต่อให้เกลียดชังมากสักเท่าใดก็ยังนับเป็นญาติอยู่ดี นางได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวมานานหลายปีก็พึงปรารถนาที่จะมีความสัมพันธ์ฉันท์ครอบครัวอยู่บ้าง
หลงเฉินอยู่สนทนาเป็นเพื่อนกับมารดาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวไปเก็บตัว ในช่วงนี้เขาได้แต่สะสางเรื่องราวอันวุ่นวายจนห่างหายจากการฝึกยุทธ์ไปเสียนาน จนตอนนี้ก็สมารถกระทำได้อย่างสบายใจอย่างแท้จริงแล้ว
ในตอนนี้ห้วงแห่งความคิดของหลงเฉินมีแผนการขึ้นมาอย่างหนึ่งก็คือต้องทำให้เซี่ยฉางเฟิงอยู่ที่จักรวรรดิเฟิงหมิงนี้ไปตลอดกาล ทว่ารอบกายของเซี่ยฉางเฟิงนั้นมีองครักษ์ติดตามอยู่ไม่น้อยเลย เขาจึงจำเป็นจะต้องเตรียมการให้รัดกุม ครั้งนี้จะต้องจัดการเจ้าตัวบัดซบผู้นั้นให้จงได้
หลังจากที่เขาได้เข้าสู่พลังขั้นก่อรวมระดับที่สิบ แนวทางการฝึกยุทธ์คล้ายกับยิ่งมืดบอดมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเคล็ดกายานวดาราต้องการที่จะให้เขาเข้าสู่พลังขั้นก่อโลหิตได้อย่างไรกันแน่
ทว่าอย่างไรเสียก็คงจะถอยกลับไปไม่ได้แล้ว เขาที่ไม่มีจุดตันเถียน จำเป็นจะต้องฝึกยุทธ์ด้วยเคล็ดกายานวดาราซึ่งเป็นเพียงทางออกเดียวเท่านั้น
หลงเฉินเริ่มไหลเวียนพลังทั้งหมดสิบสายขึ้นมา ดูดซับพลังปราณฟ้าดินเข้ามาอย่างบ้าคลั่งประดุจลูกสูบลมขนาดใหญ่ทั้งสิบ แล้วชักนำพลังลมปราณเข้าไปยังจุดดารากักวายุ
พบว่าผลลัพธ์ในการดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้เพิ่มขึ้นมาอีกนับสิบเท่า นี่จึงเป็นเรื่องที่ดีจนเขาเกิดความเบาใจขึ้นมาได้ไม่น้อย
ผ่านไปได้สามวัน ภายในจุดตันเถียนของหลงเฉินก็ได้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมา เขาเพ่งมองไปยังภายในจุดตันเถียนที่มีพลังก่อรวมขึ้นมาสิบเอ็ดสาย ก็ทอสีหน้าเหนื่อยหน่อยขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
นี่จะมีจุดสิ้นสุดเมื่อใดกัน? หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าจะต้องกลายเป็นบ้าอย่างแน่นอน
ในขณะที่หลงเฉินกำลังพืมพำขึ้นมาอย่างอดสูต่อเคล็ดกายานวดาราอยู่นั้น เสียงเล็กแหลมของเป่าเอ๋อก็ดังเข้ามาจากด้านหน้าประตูห้อง
“คุณชาย มีคนมาขอเข้าพบ” . . .