หลงเฉินกลับมาถึงจวนในยามวิกาลแล้ว เขาอยู่สนทนากับเฉินเฟยอย่างละเอียดภายในห้องหับของตัวเอง อีกทั้งยังมีเรื่องที่ทำให้เขาต้องตกใจขึ้นมาเมื่อบนร่างของเฉินเฟยแฝงเอาไว้ด้วยบรรยากาศคลุมเครืออยู่ชนิดหนึ่ง เพียงเผชิญกันอย่างซึ่งหน้าอย่างเช่นตอนนี้ยังยากที่จะตรวจจับการคงอยู่ของเขาได้
“วิชาที่ข้าน้อยฝึกอยู่นั้นมีลักษณะพิเศษเฉพาะอยู่ส่วนหนึ่ง เป็นการซ่อนเร้นตัวของผู้ฝึก อีกทั้งยังช่วยให้จิตใจสงบลงอีกด้วย ฉะนั้นซื่อจื่อไม่ต้องแปลกใจไปหรอก”
ถึงแม้ว่าเฉินเฟยจะกล่าวออกมาอย่างถ่อมตัว ทว่าส่วนลึกภายในแววตากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างสูงส่ง เห็นได้ชัดว่าวิชาลักษณะที่ซ่อนเร้นแก่ผู้ฝึกนี้เป็นความเชื่อมั่นของเขามากที่สุด
หลงเฉินพยักหน้าไปมา เฉินเฟยที่อยู่ภายในบริเวณนี้มาโดยตลอด ทว่าเขาเองยังไม่อาจที่จะตรวจจับร่องรอยของเขาได้เลยทั้งที่เติบโตมาในสถานที่แห่งนี้มานาน
หากในวันนี้กระบี่ยาวที่อยู่ในมือของหลงเฉินไม่ได้ถูกทำลายลงแล้วเข้าสู่ช่วงเวลาคับขัน เฉินเฟยก็คงไม่เปิดเผยรังสีของตัวเองขึ้นมาอย่างแน่นอน ฉะนั้นเขาก็คงไม่ทราบว่าชายผู้นั้นอยู่ในป่าสน
ในช่วงเวลาที่เฉินเฟยได้เผยรังสีออกมานั้นเห็นได้ชัดว่ากำลังคิดที่จะลงมือออกมา ทว่ากลับเป็นสัมผัสที่ต่างออกไป ไม่ได้ลงมือในแนวทางของศัตรู เสมือนกับว่าคิดที่จะเข้ามาช่วยเขาอย่างไรอย่างนั้น
หลงเฉินคิดว่าเฉินเฟยไม่ได้คิดร้ายต่อเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทว่าต้องใช้โอสถพิษออกมาเพื่อความปลอดภัยเอาไว้ก่อน เพราะในขณะนี้ตระกูลหลงอยู่ในช่วงลมพายุกรรโชกหนักพร้อมที่จะสร้างความวอดวายได้ทุกเวลา เขาจึงไม่อาจเสี่ยงที่จะใช้ชีวิตของผู้คนภายในตระกูลหลงมาเดิมพันด้วยได้
“บิดาของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยถามออกไปด้วยความใคร่รู้มาโดยตลอด
เวลาที่ผ่านล่วงเลยไปนานแสนนานได้หลอมละลายความทรงจำเกี่ยวกับบิดาไปจนเกือบหมดสิ้น ทว่าหลายปีที่แยกจากกัน ความรักของบิดายังคงฝังรากลึกอยู่ภายในจิตใจของเขาอย่างไม่เสื่อมคลาย
“โหวเยว่อยู่อย่างปลอดภัยมาโดยตลอด ทว่าหลายปีมานี้การศึกกับเผ่าคนเถื่อนนั้นยิ่งดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งทางจักรวรรดิก็หยุดส่งเสบียงรางวัลมาให้แก่โหวเยว่ตั้งแต่แรกแล้ว
เดิมทีที่มีกองทัพใหญ่นับห้าสิบหมื่นกลับหลงเหลือเพียงไม่ถึงยี่สิบหมื่นเสียด้วยซ้ำไป ถ้าหากไม่มีประชาชนที่ยังสำนักในบุญคุณของโหวเยว่โดยการส่งบุตรมาเข้าร่วมกองทัพ อีกทั้งยังนำเสบียงมาแจกจ่ายอยู่ตลอด พวกเราก็คงไม่อาจรั้งศึกที่แนวชายแดนได้อย่างแน่นอน” เมื่อกล่าวมาถึงตอนท้ายภายในดวงตาของเฉินเฟยก็ได้สาดประกายความโกรธแค้นขึ้นมา อีกทั้งน้ำเสียงยังเปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำจนน่าเกรงขาม
ท่าทีของจักรวรรดิที่มีต่อขุนนางเจิ้งหยวนช่างไร้น้ำใจเป็นอย่างยิ่ง หากไม่ได้จ้องมองไปที่ประชาชนราษฎรที่มีชีวิตอยู่อย่างแร้นแค้น พวกเขาก็คงจากไปตั้งแต่แรกแล้ว
เผ่าคนเถื่อนที่ว่านั่นไม่ได้มีเพียงชนเผ่าเดียว ทว่าเป็นการรวมหลายเผ่ารวมเข้าด้วยกันแล้วถูกเรียกขานกันไปเช่นนั้น พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ที่นอกเขตชายแดนด้วยสภาวะความเป็นอยู่ที่โหดร้ายจึงใช้การเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตอื่นเพื่อประทังชีวิต เมื่อเวลาได้ล่วงเลยผ่านไปจนถึงขั้นที่ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้จึงทำให้พวกเขาเริ่มฝึกฝนวิชาจนทำให้ร่างกายแข็งแกร่งรวมไปถึงพลังการต่อสู้ที่น่าตกใจขึ้นด้วย
ด้วยความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น ความต้องการก็เพิ่มขึ้นไปด้วย ก็ยิ่งทำให้การชีวิตยิ่งแร้นแค้นมากขึ้นไปอีก จนในที่สุดพวกเขาก็พบว่าการคงอยู่ของจักรวรรดิเฟิงหมิงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเฟื่องฟูจึงคิดจะช่วงชิงขึ้นมาซึ่งดีกว่าการไปฆ่าฟันกับสัตว์ประหลาดอย่างยากลำบาก
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงถูกขนานนามว่าเผ่าคนเถื่อน เพราะว่าชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขานั้นแตกต่างจากคนธรรมดามากจนเกินไป อยู่ร่วมเตียงนอนเดียวกันกับคนในตระกูลเดียวกัน ไม่มีแบ่งแยกชาย หญิง ผู้ชรา หรือผู้เยาว์วัย ทุกคนต่างก็สามารถมีความสัมพันธ์กันได้ ชวนให้สับสนเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากเผ่าพันธุ์ของตัวเองแล้ว เผ่าพันธุ์อื่นที่แตกต่างออกไปก็จะถูกมองว่าเป็นแค่สัตว์ตัวหนึ่งที่สามารถเข่นฆ่าได้ทันที แม้แต่ประชาชนเฟิงเมิงก็ไม่มีละเว้น ชายที่ถูกฆ่าแล้วก็นำมาเป็นเสบียงอาหาร ส่วนหญิงสาวที่ใช้หาความสุขจนพอใจแล้วก็ฆ่าทิ้งแล้วนำมาเป็นอาหารอีก
ประชาชนเฟิงหมิงโกรธแค้นเผ่าคนเถื่อนเป็นอย่างมาก ถูกพวกนั้นปล้นสะดมไปมากมายอยู่เนิ่นนาน อีกทั้งยังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อล่วงรู้ถึงจักรวรรดิเฟิงหมิงแล้ว กองทัพใหญ่ก็เข้ามาโจมตีในทันที
นับตั้งแต่ที่หลงเทียนเซียวไปถึงก็ได้ลงทัณฑ์หัวหน้าเผ่าไปเป็นจำนวนมาก โลหิตไหลนองไปทั่วทั้งผืนแผ่นดินตามแนวชายแดนจนทำให้เผ่าคนเถื่อนเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมา ประชาชนจึงมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาได้ หลงเทียนเซียวจึงเปรียบเสมือนเทพจากสรวงสวรรค์ของประชาชน
ภายหลังทัพใหญ่ของหลงเทียนเซียวที่ได้เข้าปะทะกับเผ่าคนเถื่อน ก็มักถูกลอบโจมตีอยู่เสมอจนสูญเสียกองกำลังถูกลดทอนลงไปอย่างรวดเร็ว ยังดีที่มีสนับสนุนจากประชาชนรอบข้างอยู่
ขึ้นชื่อว่ากองทัพต่อให้เสริมไปเท่าใดก็ยังคงห่างไกลจากคำว่าเพียงพอ ในยามปกติที่ทัพใหญ่เสร็จสั้นจากสงครามที่หนักหนาสาหัสก็มักจะไปช่วยเหลือประชาชนในการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์เพื่อเร่งให้กลับคืนสู่สภาวะปกติให้เร็วที่สุด
ด้วยเหตุนี้ทหารที่มาจากสามัญชนก็เป็นเสมือนกับคนในครอบครัวเดียวกัน นึกอันใดขึ้นมาได้ก็เพียงแค่ปลายตาบอกก็รู้ทั่วกัน ต่อให้พวกเขาต้องตาย แน่นอนว่าย่อมไม่สามารถปล่อยให้ประชาชนเหล่านั้นได้รับอันตรายอย่างแน่นอน จู่จู่ภายในดวงตาของเฉินเฟยก็เกิดสีแดงระเรื่อขึ้นมา
เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากฝีปากของเฉินเฟย ในที่สุดหลงเฉินก็เข้าใจถึงความยากลำบากของบิดาขึ้นมาเต็มอก ทางหนึ่งก็บุตรและภรรยาของตนเอง ทางหนึ่งก็ความสุขของประชาชนนับร้อยหมื่น
หากเป็นหลงเฉินเองก็คงตัดใจได้อย่างยากเย็น ความโกรธที่มีต่อหลงเทียนเซียวเมื่อก่อนหน้านี้ก็ได้ลอยหายไปในอากาศจนหมดสิ้น ในเวลาเดียวกันภายในจิตใจก็ได้เกิดความห้าวหาญเพิ่มขึ้นมาจนนับไม่ถ้วน การเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำเพื่อบ้านเมืองและราษฎรคงจะต้องยกให้กับบิดาของเขาแต่เพียงผู้เดียวแล้ว
“เฉินเฟย เจ้ากลับไปหาบิดาของข้าเถิด” หลงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา
เฉินเฟยจึงทอสีหน้าเปลี่ยนไปจากเดิม แล้วตอบกลับไปว่า
“กลับไปไม่ได้อย่างแน่นอน” . . .