“กลับไปไม่ได้อย่างแน่นอน”
เฉินเฟยก้มหน้าลงมองกับพื้นแล้วกล่าวว่า “ก่อนที่ข้าจะออกเดินทาง โหวเยว่ได้ออกคำสั่งด้วยเครื่องหมายของกองทัพว่าต่อให้ต้องตายก็ต้องปกป้องซื่อจื่อและฮูหยินให้ปลอดภัยให้จงได้”
หลงเฉินส่ายหน้าไปมาแล้วตอบกลับไปว่า “ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นยอดฝีมือที่มีพลังก่อโลหิตตอนปลาย ทว่าเจ้าอยู่ในระดับที่ไม่สามารถปกป้องข้าได้อีกแล้ว ในช่วงเวลาที่ข้าอยู่บนเวทีประลองเป็นตาย เจ้ายังไม่ได้ลงมือเลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นก็บ่งบอกได้แล้วว่าเจ้านั้นหวาดกลัวมากถึงเพียงใด
หรือแม้แต่รอให้ข้าเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายแล้วเท่านั้น เจ้าถึงจะลงมือออกมา ทว่าต่อให้เจ้าลงมือก็ใช่ว่าจะจัดการกับปัญหาได้ ข้ากล่าวได้ไม่ผิดใช่หรือไม่!”
เฉินเฟยเกิดความลังเลใจอยู่ไม่น้อยจนไม่อาจเอื้อนเอ่ยวาจาโต้ตอบอันใดออกมาได้ เพราะหลงเฉินกล่าวออกมาได้ถูกต้องทุกประการจนไม่สามารถหาข้อโต้แย้งได้
“ภายในจักรวรรดิแห่งนี้ บุคคลที่คู่ควรให้เจ้าหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้ คงจะต้องเป็นยิงฮวาแล้วกระมัง?” หลงเฉินเอ่ยถามออกไป
เฉินเฟยถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วพยักหน้าไปมา “ไม่มีผิด ก่อนที่โหวเยว่จะให้ข้าน้อยออกเดินทางก็กำชับเป็นหมื่นย้ำว่าห้ามไม่ให้ยิงฮวาพบได้ ไม่เช่นนั้นชีวิตคงจะหาไม่แล้ว
ข้าน้อยไม่ได้กลัวตาย แต่เกรงว่าจะทำให้เสียเรื่องใหญ่ของโหวเยว่ไป ฉะนั้นช่วงเวลาที่ซื่อจื่อถูกกลั่นแกล้งมาอย่างเนิ่นนาน ข้าน้อยจึงไม่อาจลงมือมาโดยตลอด รู้สึกอัดอั้นในใจเป็นอย่างยิ่ง ขอโปรดซื่อจื่อยกโทษให้ด้วย”
“บิดาของข้ากับยิงฮวามีความแค้นต่อกันอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินถามต่อ
“นิ้วมือข้างนั้นของยิงฮวาเป็นโหวเยว่ที่ตัดจนขาดไป” เฉินเฟยยิ้มน้อยๆ แล้วตอบกลับไป
หลงเฉินเบิกตากว้างขึ้นมาในทันที ไม่แปลกใจเลยที่ยิงฮวาได้มุ่งเป้ามาที่เขา บิดาก็ช่างโหดเ**้ยมเกินไปเสียจริงๆ ทว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย บิดาทำให้นิ้วมือของยิงฮวาขาดสะบั้นไปข้างหนึ่ง อีกทั้งเขาก็เพิ่งจะทำให้ยิงฮวาอับจนจนแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว
“เจ้ามายังจักรวรรดิตั้งแต่เมื่อใดกัน?” หลงเฉินถามต่อ
“สามปีก่อน”
“ข้างกายของบิดามียอดฝีมือเช่นเจ้าทั้งหมดกี่คน?”
“เดิมทีมีทั้งหมดเจ็ดคน ทว่าเมื่อปลายปีก่อนได้ตายในสนามรบหนึ่งคน จึงเหลือเพียงหกคน”
“เจ้าทะลวงพลังขั้นก่อโลหิตไปถึงระดับแล้ว?”
“ระดับที่เก้า น่าเสียดายที่ไม่อาจจะทะลวงขึ้นไปสู่อีกขอบเขตได้แล้ว” เฉินเฟยก็ได้ถอนหายใจออกมาหลังจากกล่าวจบประโยค เขานั้นมีอายุถึงสามสิบเจ็ดปีแล้ว หากล่วงเลยไปจนถึงสี่สิบปีแล้วยังไม่อาจที่จะทะลวงพลังต่อไปได้ก็เรียกได้ว่าหมดหวังโดยสิ้นเชิงแล้ว
ในขณะนั้นเองหลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะแตกตื่นตกใจอย่างยกใหญ่ ถึงแม้ว่าเฉินเฟยจะมีลักษณะการซ่อนเร้นอันลึกล้ำ ทว่าหากมองไปยังระหว่างคิ้วของเขากลับปรากฏกลุ่มพลังหนึ่งที่ใช้บ่งบอกได้ถึงพลังการฝึกยุทธ์ที่หลอมรวมเข้ากับโลหิตบริสุทธิ์จนไปถึงแก่นแท้แล้ว จนสามารถปรากฏให้เห็นออกมาเช่นนี้ได้
เช่นนี้เฉินเฟยในตอนนี้ก็ถือเป็นยอดฝีมือที่ไปถึงจุดสูงสุดของพลังขอบเขตก่อโลหิตแล้วผู้หนึ่ง ทว่าต้องมาติดอยู่ที่ปากขวดเช่นนี้ก็เท่านั้นเอง
การทะลวงพลังจากขอบเขตขั้นก่อโลหิตเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นนั้นถือได้ว่ายากเย็นแสนเข็ญอยู่ไม่น้อยเลย ทั่วทั้งจักรวรรดิเฟิงหมิงมียอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อโลหิตอยู่นับหลายพันคน ทว่าขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นนั้นมีเพียงแค่สามขุนนางใหญ่เท่านั้น ด้วยเหตุนี้การจะทลายพันธนาการเข้าสู่ระดับนั้นได้ก็คงเปรียบเสมือนกับการว่ายไปตามคลองหงโกว
*鸿沟 คลองหงโกวนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นสายน้ำที่เชี่ยวกราดที่สุด (ชื่อคลองที่ใช้ลำเลียงในสมัยโบราณปัจจุบันอยู่ในมณฑลเหอหนาน)
“เฉินเฟย ในคืนนี้ข้าจะหลอมโอสถให้เจ้านำไปส่งมอบแก่บิดาของข้า” หลงเฉินครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจเอ่ยวาจาเด็ดขาดออกมา
“ซื่อจื่อ……”
หลงเฉินโบกมือไปมาเพื่อตัดบทพูดของเฉินเฟย แล้วกล่าวต่ออีกว่า “ถึงแม้เจ้าจะมีพลังฝีมือที่แข็งแกร่ง สามารถหลบรอดจากยิงฮวาได้ อีกทั้งยังจับตา ดูแล และความคุ้มครองจวนตระกูลหลง
ทว่าในตอนนี้ทั่วทั้งจักรวรรดิต่างก็จับตาดูข้าอยู่ เกรงว่าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินขึ้นมากะทันหัน เจ้าจะอยู่ต่อไปก็เปล่าประโยชน์
ลองคิดดูให้ดีว่าถ้าหากที่แห่งนี้เกิดเภทภัยครั้งใหญ่ขึ้นมาจริง ด้วยความสามารถของเจ้าจะสามารถจัดการได้หรือไม่กัน?”
“ข้าน้อยสามารถพาซื่อจื่อตะลุยฝ่าวงล้อมออกไปได้อย่างแน่นอน” เฉินเฟยยืนยันเสียงหนักแน่น
หลงเฉินทอประกายเย็นเยียบออกมาจากดวงตา แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “เช่นนั้นมารดาของข้า เจ้าจะทำอย่างไร?”
ช่วงพริบตาเดียวเฉินเฟยก็เหมือนกับถูกอุดปากเอาไว้อย่างหนาแน่น ถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งทว่ากลับเป็นมีอยู่อย่างจำกัด เดิมทีเขามีความเชื่อมั่นว่าต่อให้เป็นยิงฮวาลงมือเอง เขาก็มีสามารถกว่าแปดส่วนที่จะพาหลงเฉินฝ่าฟันออกไปได้
แต่เมื่อหลงเฉินกล่าวถามออกมาเช่นนั้นอีก กลับยิ่งทำให้เขากล่าวอันใดออกมาไม่ได้ อย่างมากที่สุดก็คงจะนำพาไปได้คนเดียว หากตามความสัตย์แล้วก็คงต้องเสียสละฮูหยินหลงแล้ว
“ต้องขออภัยซื่อจื่อด้วย นี่เป็นคำสั่งของโหวเยว่ ข้าน้อยมีหน้าที่เพียงกระทำตามเท่านั้น” เฉินเฟยได้แต่ส่ายหน้าแล้วกล่าวออกมา
หลงเฉินเกิดความรู้สึกทั้งตกใจทั้งโกรธเคือง ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าบิดาจะช่วยเหลือเขาจนถึงกับยอมปล่อยมารดาไว้ ห้วงแห่งความคิดอันโหดร้ายเช่นนี้ก็ทำให้ดวงตาของชายหนุ่มแดงก่ำขึ้นมา สัมผัสได้ถึงความรักของบิดาที่มีต่อเขา ทว่าเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้อย่างถึงที่สุด
เมื่อตั้งสติได้แล้ว หลงเฉินก็สูดลมหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง ยับยั้งความโกรธเกรี้ยวภายในจิตใจเอาไว้ แล้วบอกกล่าวต่อไปอีกว่า “เฉินเฟย ข้าไม่ได้กำลังเจรจาอยู่กับเจ้า ทว่าเป็นคำสั่งที่สั่งให้เจ้ากลับไป หยุดการกระทำตามคำสั่งที่โง่เขลาเช่นนั้นได้แล้ว เพราะสิ่งนี้มีแต่จะทำร้ายพวกเราสองแม่ลูก
ในตอนนี้ข้าจำเป็นจะต้องเดินทางไปยังชุมนุมผู้หลอมโอสถเพื่อหาซื้อสมุนไพรส่วนหนึ่งมาหลอมโอสถให้บิดา
อย่าได้เอาแต่กล่าววาจาโง่เขลาอย่างเรื่องที่จะมาปกป้องพวกเราอีกเลย ด้วยสภาวะพลังของข้าในตอนนี้ หากหมายจะเอาชีวิตของเจ้าขึ้นมาก็แทบจะไม่ต้องเปลืองแรงเลยแม้แต่น้อย
ข้ายังพอที่จะปกป้องจวนตระกูลหลงให้อยู่รอดปลอดภัยได้อยู่ อนาคตจะเป็นเช่นไรก็คงต้องดูต่อไป ทว่าข้ายังต้องการความช่วยเหลือจากบิดาอยู่
ด้วยเหตุนี้ข้ามีทางเลือกให้เจ้าอยู่สอง เชื่อฟังคำพูดของข้าแล้วกลับไปอยู่ข้างกายบิดา หรือไม่ก็ตายอยู่ในที่แห่งนี้ไปเสีย พิษภายในร่างกายยังคงอยู่ เจ้าอาจจะตายได้อย่างไม่ต้องสงสัย”
เฉินเฟยมีสีหน้าซีดเซียวขึ้นมาในทันที แววตาสอดส่องไปยังหลงเฉินที่กำลังเกิดโทสะอยู่มากทีเดียว ราวกับว่ากำลังมองเห็นเงาร่างของหลงเทียนเซียวกำลังโกรธเกรี้ยวขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น ถ้าหากเขาหาญกล้าที่จะท้าทายหลงเฉิน หลงเฉินก็คิดที่จะเอาชีวิตของเขาจริงอย่างนั้นหรือ?
เขาไม่ได้เกรงกลัวความตาย ทว่าการตายอย่างไร้ซึ่งความหมายเช่นนั้นช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เขาจึงทำได้เพียงแค่ส่งยิ้มออกไปอย่างขมขืน ภายในจิตใจคล้ายกับอมบอระเพ็ดเอาไว้ หลังจากที่กลับไปแล้วสมควรที่จะเผชิญหน้ากับโหวเยว่อย่างไรดีเล่า?
หลงเฉินมุ่งหน้าไปยังสภาอย่างไม่ลดละ ขณะนี้ในกระเป๋าที่พองโตมีเงินอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่จำเป็นจะต้องหยิบยืมสมุนไพรอีกต่อไปแล้ว เขาสามารถซื้อสมุนไพรมากมายกลับมาได้ทันที
หลงเฉินย่างก้าวเข้าสู่ชุมนุมผู้หลอมโอสถถือเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดอย่างถึงที่สุด สมุนไพรที่เขาจำเป็นที่จะต้องใช้กลับมีครบทั้งหมด จากนั้นก็เดินทางกลับจวนอย่างรวดเร็ว
เขาให้เฉินเฟยคอยคุ้มกันอยู่ด้านนอก แล้วเริ่มจุดเพลิงขึ้นมาจนเกิดความอบอุ่นให้แก่เตาหลอมโอสถ ครั้งนี้โอสถที่หลงเฉินจะหลอมขึ้นมามีชื่อว่า——โอสถทลายอุปสรรค