เทือกเขาหนานหลี่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจักรวรรดิเฟิงหมิง ห่างจากจักรวรรดิกว่าหนึ่งพันแปดร้อยกว่าลี้ ที่แห่งนี้ถือเป็นเทือกเขาที่สูงชันและอันตรายที่สุด
ใจกลางของเทือกเขามีต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าขึ้นอยู่มากมาย เป็นที่อยู่ของสัตว์ป่านานาชนิด บางครั้งอาจพบเห็นถึงการปรากฏตัวของสัตว์มายาอีกด้วย เป็นพื้นที่รกร้างสายหนึ่งที่ไร้ซึ่งเงาร่างของผู้คนเข้าอยู่อาศัย
เทือกเขาหนานหลี่มีหุบเขาอยู่ทั้งสองด้านที่เป็นหน้าผาสูงยาวเหยียดกว่าพันช่วงตัว นี่ก็คือเส้นทางเดียวที่จะต้องผ่านเพื่อเข้าสู่จักรวรรดิต้าเซี่ย
“ตูม”
ลึกเข้าไปในใจกลางของเทือกเขา บริเวณที่มีหนองน้ำขนาดกลางอยู่ หลงเฉินนั่งสมาธิอยู่บนศิลาก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมหนอง เสียงคำรามเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากภายในร่างกายก็ได้ของเขา พลังลมปราณที่ก่อเกิดขึ้นมาเป็นสายที่สิบสองแล้ว พลังหนุนทุกสายที่หมุนวนเป็นวงกลมอยู่นี้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมนับสิบช่วงตัว ผู้ใดที่ได้พบเห็นอาจจะต้องหวาดผวาจนขนตัวลุกชันขึ้นเลยทีเดียว
พลังหนุนของผู้ฝึกยุทธ์โดยทั่วไปจะมีขนาดเพียงหนึ่งฝ่ามือเท่านั้น มีเพียงอยู่ส่วนน้อยที่จะมีขนาดใหญ่ขนาดเท่าชามข้าว หากเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงก็จะมีขนาดเท่าถังน้ำเท่านั้นเอง ทว่าไม่อาจนำมาเปรียบกับพลังหนุนอันยิ่งใหญ่มหาศาลที่ยากจะคาดคะเนของหลงเฉินในตอนนี้ได้เลย
ขนาดเล็กใหญ่ของพลังหนุนเป็นตัวตัดสินว่าผู้ฝึกยุทธ์ผู้นั้นจะสามารถนำพลังลมปราณฟ้าดินออกมาใช้ได้รวดเร็วและในปริมาณมากน้อยเท่าใด เมื่อคนผู้หนึ่งทะลุจากขอบเขตขั้นก่อรวมเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อโลหิตได้แล้วจะพบว่าพลังหนุนเป็นความสามารถในการเรียกใช้พลังดูดซับจากลมปราณฟ้าดินนั่นเอง
หลงเฉินมองไปยังภายในของจุดตันเถียนที่มีพลังหนุนทั้งสิ้นสิบสองรอบประดุจห้วงมิติขนาดใหญ่มหึมากำลังเปิดอ้าอยู่ พร้อมที่จะดูดซับพลังลมปราณฟ้าดินอย่างตะกละตะกลามได้ตลอดเวลา เมื่อหลงเฉินเห็นการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็แทบจะกระโดดโลดเต้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
นี่คือพลังลมปราณฟ้าดินที่เข้มข้นยิ่งกว่าระดับจักรวรรดิเสียอีกกระมัง หลงเฉินที่เพิ่งจะมาเยือนยังหุบเขาแห่งนี้ได้เพียงสองวันก็สามารถทะลวงพลังเพิ่มขึ้นมาได้แล้ว
ทว่าอีกด้านหนึ่งก็บังเกิดความกังวลใจขึ้นมาอยู่ไม่น้อย เคล็ดกายานวดารานี้ก็ช่างประหลาดจนเกินไปแล้ว หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะต้องใช้เวลามากมายถึงเพียงใดกันกว่าจะไปถึงจุดสิ้นสุดของพลังได้ พลังหนุนก็ก่อเกิดมามากขึ้นและใหญ่โตขึ้นจนน่าหวาดกลัวไปหมดแล้ว
“ฮือฮือ”
ในช่วงเวลาที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความคิดอันว้าวุ่นอยู่นั้น เสียงร้องจากเจ้าหนูตัวขาวโพลนก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างเล็กที่กระโดดอยู่บนศิลาก้อนใหญ่ ก่อนที่จะมุดเข้าไปอยู่ในอกเสื้อของหลงเฉินทันที
ไม่ว่าจะมองไปทางใดเจ้าหนูตัวนี้ก็น่ารักน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน หลงเฉินปล่อยวางเรื่องราวที่กำลังครุ่นคิดอยู่เมื่อครู่ แล้วโอบอุ้มเสี่ยวเสว่ยขึ้นมากอดไว้
ลู่ฟางเอ๋อได้กำชับกับหลงเฉินว่าต้องฝึกสัตว์มายาให้เชื่องโดยเร็ววัน ช่วงสองวันที่ผ่านมานี้หลงเฉินจึงได้ฆ่าไก่ป่านับหลายตัวตลอดเส้นทางที่เดินเข้ามา แล้วนำโลหิตสดๆ ของไก่ป่าหล่อเลี้ยงหมาป่าหิมะแดงเพลิงของเขา
ทว่าสัตว์มายาก็ยังคงเป็นสัตว์ป่าตัวหนึ่ง หลังจากที่ได้ลิ้มรสของโลหิตไปแล้ว ร่างกายของมันก็เริ่มเติบโตและแข็งแรงขึ้นมาอย่างทันตาเห็น จากที่เดินเซไปมากลับคล่องแคล่วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ที่ทำให้หลงเฉินต้องประหลาดใจยิ่งกว่าสิ่งใดนั่นก็คือเจ้าหนูตัวนี้ยังไม่มีฟันงอกเงยออกมา ทว่ากลับเริ่มกัดแทะไก่ป่าอย่างเอาเป็นเอาตายจนหนังไก่หลุดลอกออกมาเป็นชั้นๆ ในที่สุดก็กลืนไก่ป่าลงไปทั้งตัว
ทว่าคอหอยของเจ้าหนูยังเล็กเกินไป ขณะที่กลืนอยู่นั้นเศษเนื้อของไก่ป่าก็ไปติดอยู่ในคอจนกรอกตาขาวขึ้นมา หลงเฉินจึงรีบเร่งล้วงเอาเศษอาหารชิ้นนั้นออกมาอย่างรวดเร็ว
เจ้าหนูตัวนี้ก็ยังไม่เข็ด พยายามแทะเล็มเศษเนื้อไก่ป่าเข้าไปอีกตัวหนึ่ง หลงเฉินเห็นว่าไม่ได้การแล้ว เขาจึงลอกเนื้อหนังของไก่ออกเป็นชิ้นแล้วป้อนให้มันทีละเล็กทีละน้อย
ทว่าหลงเฉินก็เกือบตาถลนออกมาเมื่อพบว่าเจ้าหนูที่มีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเพียงเล็กน้อยกลับกินไก่ป่าที่ใหญ่ที่กว่าร่างของมันเกือบสองเท่าไปหนึ่งตัวเต็มๆ
เมื่อไก่หนึ่งตัวถูกกลืนลงท้องไปจนหมดสิ้น เจ้าหนูนั่งนิ่งด้วยท้องพองโตขึ้นมาราวกับว่าถ้านำเข็มมาจิ้มก็คงจะแตกสลายไปในทันที จากนั้นก็เริ่มคืบคลานเข้าไปภายในอกเสื้อของหลงเฉินเพื่อนอน พักผ่อน หลังจากที่ตื่นแล้วมันก็จะเริ่มกินต่อวนไปมาเช่นนี้ตลอดเวลาสองวัน
ช่วงเวลาเพียงสองวันมานี้เสี่ยวเสว่ยก็ได้เติบโตขึ้นจนมีขนาดตัวยาวหนึ่งเซียะกว่าแล้ว อีกทั้งยังมีเขี้ยวทั้งสี่งอกขึ้นมาในปาก ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงฟันน้ำนมทว่ากลับมีพลังกัดแทะที่ไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะพบเห็นสิ่งใดที่พอจะเป็นอาหารได้ มันก็จะกัดฉีกอย่างไม่คิดชีวิต
เจ้าหนูที่เริ่มมีใบหน้าที่ดุร้าย ทว่ากลับอาลัยอาวรณ์ต่อหลงเฉินยิ่งนัก มันชอบเล่นคลอเคลียกับเขา จากนั้นก็มุดเข้าสู้อ้อมอกแล้วกรนออกมาเสียงดัง บางเวลาก็มักจะเลียเข้ามาที่ใบหน้าของหลงเฉิน แต่ตอนนี้เขาก็เริ่มผละมันออกทุกครั้งไป เพราะในปากของมันมีกลิ่นคาวเนื้อที่ไม่พึงประสงค์อย่างยิ่ง
หลงเฉินลูบไล้ไปยังเส้นขนสีขาวของหมาป่าหิมะแดงเพลิงที่นอนอยู่บนตักของเขาอย่างแผ่วเบา ไม่ว่าจะมองไปที่เสี่ยวเสว่ยกี่พันหมื่นครั้ง เขาก็มักจะนึกถึงใบหน้าอันงามหยดย้อยของม่งฉีขึ้นมาอยู่ตลอดจนเกิดเพลิงร้อนรุ่มขึ้นมาในจิตใจ
“ตูม”
เสียงระเบิดดังขึ้นมาจากที่ที่ห่างไกลออกไป หลงเฉินสะดุ้งตัวโยนแล้วหันไปมองยังต้นเสียงนั้นทันที ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งระเบิดออกเป็นเสี่ยงคล้ายกับแก้วที่ตกแตกที่พื้นอย่างไรอย่างนั้น ในขณะเดียวกันก็มีเสียงโห่ร้องอย่างเกรี้ยวกราวดังขึ้นจนสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งผืนป่า
หลงเฉินส่ายหน้าไปมาแล้วอุ้มเจ้าหนูขึ้นมากอดไว้ พลันก็กระโจนตัวลงจากศิลาก้อนใหญ่ที่เคยนั่งเล่นอยู่อย่างรวดเร็ว สับขาออกเดินไปทางต้นไม้ใหญ่ที่เพิ่งระเบิดเป็นจุล ในช่วงเวลาที่เดินเข้าใกล้มากขึ้นกลับพบว่าป่าที่เคยเขียวขจีไปทั้งผืนถูกทำลายไปจนสิ้นในช่วงรัศมีหลายสิบช่วงตัว
ที่ใจกลางของพื้นที่โล่งกว้างที่ต้นไม้ได้ล้มระเนระนาดลงเป็นทิวแถวทั้งหมดแล้วก็ปรากฏเงาร่างขนาดใหญ่ของชายหนุ่มผู้หนึ่ง
“อาหมาน ข้าบอกเจ้าไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว จะฆ่าสัตว์ให้ใช้ทักษะเฉพาะเสียหน่อยก็ยังดี ให้พลังคอยหนุนนำเพื่อจัดการเป้าหมาย เช่นนั้นถึงจะเป็นแก่นสารที่แท้จริง” หลงเฉินมองไปที่อาหมานพร้อมกับส่ายหน้าไปมาด้วยความอับจนหนทาง
“เหอะเหอะ พี่หลง ก่อนหน้านี้ที่ข้าจะสู้กับสัตว์ป่าก็ยังคงจดจำคำพูดของท่านได้ขึ้นใจ ทว่าเมื่อพบเห็นสัตว์ป่าแล้วกลับลืมเลือนไปจนหมดสิ้นเลย” อาหมานก้มหน้าก้มตามองไปที่ผืนดินอย่างรู้สึกผิดเต็มประดา
หลงเฉินมองไปยังลำคอของวัวป่าที่ถูกหักลงทั้งเป็นก็ไม่ทราบว่าควรจะกล่าวออกมาเช่นไรดี
อาหมานมีพลังกายที่ไร้ขีดจำกัดราวกับเป็นสัตว์มายาสถิตอยู่ในร่างของมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น ทว่าดูเหมือนเขาจะไม่มีวาสนาในการฝึกยุทธ์เลยแม้แต่น้อย
ตลอดทางมานี้อาหมานได้สังหารสัตว์มายาไปสี่ตัวแล้วเพื่อตอบสนองความหิวโหยของตัวเอง ถึงแม้ว่าวัวป่าตัวนี้จะเป็นเพียงสัตว์มายาระดับที่หนึ่ง ทว่าก็มีพลังมหาศาลจนเป็นที่น่าหวาดกลัวสำหรับผู้คนได้แล้ว แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อโลหิตโดยส่วนมากต่างก็ยังไม่อาจต่อกรกับมันได้ด้วยซ้ำไป