ในช่วงเวลาที่สายตาคู่หนึ่งหันไปพบกับขวานศึกเบิกภูผาในมืออาหมาน ก็ยิ่งทำให้รูม่านตาของเขาขยายใหญ่ขึ้นจนแทบจะถลนออกมา เซี่ยฉางเฟิงจดจำขวานยักษ์ที่มีน้ำหนักถึงสามพันชั่งได้เป็นอย่างดี เขาเคยพบมันในงานการประมูลเมื่อหลายวันก่อนนั่นเอง
เมื่อมองไปยังรูปร่างมหึมาของอาหมาน ผนวกกับมือข้างใหญ่ที่กำลังจับด้ามขวานเอาไว้อยู่ เรียกได้ว่าสิ่งของชิ้นนี้ถูกสร้างมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ มือใหญ่ข้างนั้นถือขวานได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่สนใจในน้ำหนักของมันเลยแม้แต่น้อย
ใบหน้าของหวังหมางกลับแตกตื่นตกใจเสียยิ่งกว่า เขาถูกยกย่องว่าเป็นผู้ที่ทรงพลังมาตั้งแต่กำเนิด กระบี่หนักที่อยู่ในมืออย่างน้อยก็มีน้ำหนักถึงสองพันชั่งแล้ว นับเป็นยุทโธปกรณ์ที่เหมาะสมกับเขาอย่างถึงที่สุด จนน้อยคนนักที่จะสามารถต้านทานพลังของเขาได้จนถึงสามกระบวนท่า
ถึงแม้ว่าจะถูกเรียกขานว่าเป็นเครื่องมือยุทธ์อันลี้ลับเช่นเดียวกับหว่างซาน ทว่าในตอนที่ได้แปลงเป็นร่างสัตว์แล้วก็ยังไม่อาจรับมือของหวังหมางได้ถึงสิบกระบวนท่าด้วยซ้ำไป
กระนั้นเขากลับคาดคิดไม่ถึงว่าจะต้องมาถูกตัวโง่งมที่ไร้ซึ่งพลังยุทธ์มาทำให้ล่าถอยออกไปได้ถึงเพียงนี้ ในขณะเดียวกันก็แฝงเอาไว้ด้วยความโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก
“ไปตายซะ”
หวังหมางตะโกนออกมาด้วยเพลิงโทสะที่สุมอยู่เต็มอก พลันโลหิตทั่วร่างก็ได้ไหลเวียนขึ้นมาอย่างช้าๆ เดิมทีที่คิดจะจัดการหลงเฉินโดยไม่ใช้พลังออกมามากมายนักจึงได้เก็บงำเอาไว้มาโดยตลอดตามที่เซี่ยฉางเฟิงบอกไว้ เขาและหว่างซานจึงอยู่ในสภาวะที่ไม่ปลดปล่อยพลังจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว
ทว่าวันนี้กลับต้องมาพบเจอกับพลังมหาศาลที่สามารถมีชัยเหนือกว่าตัวเองได้ถึงขั้นหนึ่ง จึงไม่อาจอดกลั้นเพลิงโทสะเอาไว้ได้อีก เขาย่อมไม่อาจปล่อยให้มีบุคคลเฉกเช่นนี้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างแน่นอน
“ซูม”
กระบี่หนักในมือของหวังหมางสั่นไหวไปตามการไหลเวียนพลังที่พุ่งพล่านออกมาเป็นสายท่ามกลางอากาศโดยรอบ ครั้งนี้กระบี่หนักได้หอบเสียงของสายลมอย่างรุนแรงเสียยิ่งกว่าเดิมประดุจยมบาลหมายจะมาช่วงชิงเอาชีวิตของผู้คนอย่างไรอย่างนั้น
ด้วยพลังการโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ แม้แต่หลงเฉินเองก็ยังตื่นตระหนกขึ้นมาไม่น้อยเลย อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความห่วงใยในตัวของอาหมานขึ้นมาเป็นสาย
หวังหมางเป็นถึงนักสู้ที่เปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาลผู้หนึ่ง ไม่ชื่นชอบการใช้ทักษะยุทธ์หรือทักษะเฉพาะออกมามากมายนัก กระบวนท่าของชายผู้นี้จึงเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง
หากกล่าวในมุมมองของอาหมานแล้วการโจมตีเช่นนี้ถือได้ว่ามีความเหมาะสมกับเขาเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าอาหมานแทบจะไม่รู้เรื่องอันใดเกี่ยวกับทักษะยุทธ์หรือทักษะเฉพาะเลย
“ตูม”
ชายหนุ่มทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง ก่อเกิดพลังอันน่าหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วทุกหนแห่ง กวาดเอาใบหญ้าและก้อนกรวดที่อยู่บนพื้นปลิวว่อนไปทุกสารทิศอย่างวุ่นวาย
ความรุนแรงของสายลมที่หอบไหวไปมานี้ได้พัดพาเอาก้อนศิลาลอยเข้าปะทะไปยังร่างของเหล่าองครักษ์ที่ยืนประจันหน้าอยู่เมื่อครู่อย่างรุนแรงจนทะลุศีรษะเข้าไปแล้วล้มลงกับพื้นอย่างไร้ซึ่งสุ่มเสียงและไร้ซึ่งวี่แววของลมหายใจ
ผู้อื่นที่พบเห็นก็รีบหลบเลี่ยงออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว การต่อสู้นี้ของพวกเขาช่างน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว การตายไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นนี้ก็ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลยจริงๆ
“ตูม”
“ตูม”
“ตูม”
เสียงระเบิดดังขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน เสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงเช่นกัน กระบี่หนักเล่มหนึ่งปะทะกับขวานยักษ์ด้ามหนึ่งจนเกิดประกายเพลิงลุกโชติช่วงไปทั่วทั้งผืนดินยันผืนฟ้า
หลงเฉินมองไปที่อาหมานด้วยดวงตาเบิกกว้าง ร่างกายของเขาในตอนนี้ช่างงดงามประดุจเทพสงครามอย่างไรอย่างนั้น จนจิตใจของหลงเฉินเกิดความตื่นเต้นขึ้นมาเป็นสาย ในที่สุดอาหมานก็เริ่มปลดปล่อยพลังออกมาแล้ว
ทว่าอาหมานก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบกว่าขั้นหนึ่ง อย่างแรกคืออาหมานยังไม่มีประสบการณ์การต่อสู้อย่างจริงจังแม้แต่ครั้งเดียว ประสบการณ์การต่อสู้ที่ผ่านมาทั้งหมดต่างก็เพิ่งก่อเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันที่ผ่านมากับสัตว์ป่าน้อยใหญ่ที่หลงเฉินให้ลองเข่นฆ่า
อย่างที่สองก็คืออาหมานไม่สามารถโจมตีออกไปได้เลยนับตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ อาหมานกระทำเพียงแต่ต้านทานการโจมตีในแต่ละกระบวนท่าเอาไว้เท่านั้นเอง
ถ้าหากอาหมานโจมตีออกไปก็คงจะต้องเผยจุดอ่อนจนศัตรูล่วงรู้ได้ทันทีอย่างแน่นอน ทว่าโชคยังเข้าข้างที่หวังหมางยังโจมตีเข้ามาอย่างดุเดือดบ้าคลั่งคล้ายกับมีโทสะบังตาจนไม่อาจมองเห็นจุดอ่อนของอาหมานได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ถ้าเปลี่ยนหวังหมางเป็นคนจำพวกเดียวกับหว่างซานที่มักจะคอยค้นหาจุดอ่อนของผู้เป็นศัตรูก่อนจะชิงลงมือ เช่นนั้นอาหมานก็คงจะถูกเด็ดศีรษะภายในกระบวนท่าเดียวไปแล้ว
กระนั้นหวังหมางกลับไม่อาจทราบรายละเอียดของอาหมานได้ มิเช่นนั้นอาหมานต่อให้แข็งแกร่งกว่านี้อีก อีกทั้งเขาที่ไม่มีประสบการณ์การต่อสู้เลยแม้แต่น้อย เกรงว่าคงจะต้องพ่ายแพ้ไปภายในไม่กี่กระบวนท่าแล้ว
เมื่อหวังหมางเห็นว่าอาหมานเอาแต่ตั้งรับและไม่โจมตีเลยแม้แต่ครั้งเดียว บนใบหน้าก็ปรากฏความไม่สบอารมณ์ขึ้นมาหลายสาย ทันใดนั้นก็ปะทุความเกรี้ยวกราดขึ้นมายกใหญ่เพราะคิดว่าอาหมานคงกำลังหยอกล้อเขาอยู่เป็นแน่ จึงโหมโจมตีเข้าไปอย่างดุเดือดกว่าหลายครั้งที่ผ่านมา
ภายในช่วงเวลาไปถึงสิบพริบตา การต่อสู้ของทั้งสองคนก็ได้ผ่านไปหลายสิบกระบวนท่าแล้ว ที่ทำให้หลงเฉินเกิดความพึงพอใจอยู่ไม่น้อยก็ตรงที่ขวานใหญ่ของอาหมานยิ่งกวัดแกว่งออกไปก็ยิ่งคล่องแคล่วขึ้น ไม่มีท่าทีขัดตาทั้งที่เพิ่งใช้ออกมาเป็นครั้งแรก
ที่สำคัญก็คือหลงเฉินยังไม่เคยถ่ายทอดทักษะเฉพาะของขวานศึกด้ามนี้ให้แก่อาหมานเลย เพราะต่อให้สอนไปก็ใช่ว่าจะใช้ออกมาได้ อีกทั้งแม้แต่หลงเฉินเองก็ยังทำไม่ได้เช่นกัน
อาหมานในตอนนี้คล้ายกับผู้มีพรสวรรค์ในด้านการต่อสู้อยู่แล้วชนิดหนึ่ง ระหว่างที่เข้าสู่การต่อสู้ก็คงเกิดความเข้าใจขึ้นมาได้ด้วยตัวเองเป็นแน่
คล้ายกับว่าร่างกายของเขาไม่จำเป็นที่จะต้องฝึกยุทธ์อันใดให้วุ่นวาย ก็สามารถที่จะดูดซับพลังลมปราณฟ้าดินให้ไหลเวียนขึ้นมาได้ เขาช่างเป็นสัตว์ประหลาดที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง
อาหมานกวัดแกว่งขวานศึกเข้าต้านทานการโจมตีอย่างดุเดือดประดุจพายุคลั่งฝนคะนองจนหวังหมางตกเป็นรองไปได้ หลงเฉินเองก็โห่ร้องคำว่าโชคดีจริงขึ้นมาภายในจิตใจอย่างไม่หยุดหย่อน
หวังหมางก็ช่างโชคร้ายเสียจริงที่ถูกอาหมานที่แทบจะไม่เป็นวิชาเข้าควบคุมเอาไว้ได้ถึงเพียงนั้น เดิมทีกระบี่หนักในมือของเขานั้นคล้ายกับแหวกว่ายอยู่ในเส้นทางแห่งความบ้าคลั่ง ไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาทักษะเฉพาะอันใด ต้องการก็เพียงแต่ได้สังหารผู้คนก็เท่านั้น ทว่าผลลัพธ์เช่นนี้ย่อมส่งผลกดดันต่ออาหมานได้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อยที่สุด
ถ้าหวังหมางได้เปลี่ยนไปใช้ทักษะเฉพาะของยอดฝีมือขึ้นมา อาหมานก็คงจะต้องพ่ายแพ้ลงไปแล้วอย่างแน่นอน บนโลกหล้าใบนี้ยังมีเรื่องประหลาดเช่นนี้อยู่ การนำพาอาหมานออกมาด้วยกันในครั้งนี้ถือว่าสวรรค์มีตาอย่างยิ่งยวด
สายตาคู่คมที่จ้องมองการต่อสู้ของอาหมาน เมื่อพบว่าไม่มีอันตรายอันใดเกิดขึ้นแล้ว หลงเฉินก็ผละความเป็นห่วงออกไป ในเมื่อตอนนี้พวกเขาต่างก็ถูกอาหมานทำให้ตกอยู่ในภวังค์แห่งความหวาดหวั่นอยู่ เขาเองก็จำเป็นที่จะต้องรีบลงมือแล้ว
พลันก็ได้หันสายตาไปจ้องมองยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อของเซี่ยฉางเฟิง พร้อมกับฝีเท้าทั้งสองข้างที่ก้าวสลับออกไปยังเบื้องหน้า ทันใดนั้นฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งก็ได้ฟาดออกไป . .