เซี่ยฉางเฟิงเบิกตากว้างให้กับฉากการต่อสู้ที่อยู่เบื้องหน้า บุคคลที่ถูกปลุกปั้นให้เป็นนักฆ่าผู้แข็งแกร่งที่สุดที่ซ่อนเร้นเอาไว้ข้างกายมาโดยตลอดกลับกำลังถูกเจ้าตัวโง่งมร่างใหญ่จัดการจนอยู่หมัด
พลังการต่อสู้ของหวังหมางนั้นกล้าแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่หว่างซานเองยังไม่อาจทานรับได้ถึงสิบกระบวนท่า แล้วเหตุอันใดเจ้าตัวโง่งมผู้นี้ถึงได้อยู่รอดปลอดภัยแม้จะใช้ไปกว่าสามสิบกระบวนท่าแล้ว อีกทั้งการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปคล้ายว่าจะไม่มีวันสิ้นสุดลงได้จะไม่ให้เขาตกใจขึ้นมาได้ถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกันเล่า?
“ซูม”
เซี่ยฉางเฟิงที่กำลังตกอยู่ภาวะแตกตื่นภายในจิตใจอยู่นั้น ทันใดนั้นก็ตรวจพบเข้ากับสัมผัสลึกลับบางอย่าง เพียงหันหน้าไปยังต้นตอได้เพียงครึ่งเดียว จู่จู่ฝ่ามือหนึ่งก็กวาดเข้ามาใกล้แล้ว
“ปึก”
ฝ่ามือของหลงเฉินถูกต้านทานเอาไว้ได้อย่างไร้ซึ่งซุ่มเสียง เซี่ยฉางเฟิงที่รับพลังฟาดฝ่ามือได้อย่างทันควันก็ถูกพลังสภาวะกระแทกจนกระเด็นออกไปไกล เหล่าองครักษ์ที่กำลังหลบเลี่ยงฉากต่อสู้อยู่นั้นก็ค่อยมีปฏิกิริยากลับคืนมา ต่างก็ได้ชักอาวุธออกมาอย่างพร้อมเพรียงแล้วพุ่งร่างเข้าหาหลงเฉินอย่างรวดเร็ว
หลงเฉินสบถเสียงชิออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะพลิกฝ่ามือทั้งสองข้างผสานเข้าด้วยกัน ระหว่างนั้นเองก็ได้เกิดประกายแสงก้อนกลมก้อนหนึ่งส่องแสงสว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ ปะทุจนเกิดเป็นเพลิงร้อนแผดเผาบิดเบือนเอาสภาวะรอบข้างค่อยๆ บิดตัวไปมาเล็กน้อยประดุจไอระเหยจากท้องทะเลที่กำลังจะเหือดแห้งลงไปอย่างไรอย่างนั้น
“ถอยเร็ว”
เมื่อทุกสายตากำลังจ้องมองไปยังกลุ่มพลังของหลงเฉินที่ทอแสงประกายวูบวาบอยู่นั้น เสียงดังจากฝีปากของเซี่ยฉางเฟิงก็ได้ดังขึ้นมา พลันก็เร่งฝีเท้าวิ่งหนีออกไปไกล
ทว่าแรงระเบิดจากการต่อสู้ของอาหมานกับหวังหมางได้ทำให้เหล่าองครักษ์หูอื้อไปจนหมดสิ้นแล้ว คนพวกนั้นจึงมีปฏิกิริยาตอบกลับที่เชื่องช้าลงไปอย่างมาก กว่าจะจับใจความในเสียงตะโกนของเซี่ยฉางเฟิงได้หลงเฉินก็เริ่มลงมือแล้ว
ใจกลางฝ่ามือของหลงเฉินที่เคยมีกลุ่มประกายแสงเจิดจ้าคล้ายไข่ไก่ฟองหนึ่งปะทุขึ้นมา ทว่าบัดนี้กลับลอยขึ้นไปอยู่กลางอากาศ อีกทั้งยังเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง
“ตูม”
ประกายแสงก้อนกลมนั้นพุ่งแหวกอากาศเข้าสู่ท่ามกลางกลุ่มผู้คน แล้วระเบิดออกจนเกิดเสียงดังสนั่นสะเก็ดของเปลวเพลิงสีแดงที่ลุกโชนคลอกไปยังร่างของเหล่าองครักษ์จนต้องแผดเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“อ๊าก”
เปลวเพลิงลุกโชติช่วงเข้าปกคลุมไปทั่วรัศมีวงกว้างกว่าร้อยช่วงตัวอันเป็นผลลัพธ์มาจากเพลิงปราณของหลงเฉินนั่นเอง เขาได้ไหลเวียนพลังภายในร่างกายทั้งหมดมารวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเพลิงปราณ จากนั้นก็ดันออกมาสู่บรรยากาศภายนอก
เปลวเพลิงก้อนนี้มีนามว่าโอสถเพลิง มีแต่เพียงยอดฝีมือระดับปรมาจารย์หลอมโอสถแล้วเท่านั้นที่จะสามารถก่อรวมโอสถเพลิงเฉกเช่นนี้ออกมาได้
ด้วยเหตุที่ว่าการก่อรวมของโอสถเพลิงขึ้นมาแต่ละครั้งจำเป็นจะต้องมีพลังเพลิงปราณและพลังแห่งจิตวิญญาณที่แกร่งกล้าอย่างมากถึงมากที่สุด เพราะว่าการก่อรวมเช่นนี้ก่ออันตรายเป็นวงกว้าง หากผิดพลาดไปแม้แต่น้อยอาจจะถูกเพลิงคลอกที่ผู้ใช้เสียเอง
ในขณะนี้หลงเฉินมีทั้งสัตว์เพลิงที่แข็งแกร่ง ทั้งพลังแห่งจิตวิญญาณที่มหาศาล ทั้งปราณจิตวิญญาณที่มีความทรงจำของจักรพรรดิโอสถอยู่ การจะไหลเวียนพลังเพลิงปราณออกมาย่อมเป็นเรื่องที่กระทำออกได้อย่างง่ายดายประดุจกระดิกนิ้วมืออย่างไรอย่างนั้น
ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะมีสถานะเป็นผู้หลอมโอสถชั้นปลายแถวของวิถีโอสถ ทว่าหากกล่าวถึงพลังแล้วย่อมแข็งแกร่งจนเป็นที่น่ายำเกรง ด้วยระดับความเข้มข้นของเพลิงปราณที่แผ่กระจายไปทั่ว แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อโลหิตก็ยังไม่อาจทนรับความทุกข์ทรมานเช่นนั้นได้
องครักษ์กว่าสิบคนถูกเผาทั้งเป็นภายในไม่กี่พริบตา เพลิงปราณนั้นต่างกับเพลิงธรรมดาที่ถูกจุดขึ้นมาเพราะเป็นเพลิงที่ไม่มีวันดับได้เอง เหล่าองครักษ์ทั้งหมดก็ได้ล้มลงไปกองกับพื้นดั่งร่างไร้วิญญาณ ท่ามกลางอากาศหนาแน่นไปด้วยกลิ่นไหม้ที่ยากจะสูดหายใจเข้าไปได้
เซี่ยฉางเฟิงมองไปยังร่างขององครักษ์นับสิบที่ปลิวสลายหายไปในอากาศด้วยใบหน้าที่ชาด้านไปทั้งหมด ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความหวาดผวา ภายในดวงตาทั้งคู่ทอประกายเปลวเพลิงกลุ่มหนึ่งขึ้นมา
หลงเฉินที่เพิ่งจะปล่อยพลังทำลายออกไปก็มีสีหน้าซีดเผือดลงเล็กน้อย หลังจากที่ปลดปล่อยเพลิงปราณออกมาด้วยพลังทั้งหมดจึงทิ้งผลแทรกซ้อนเอาไว้อยู่บ้าง การสูญเสียพลังที่มหาศาลภายในครั้งเดียวย่อมไม่ใช่วิธีการที่เขามักจะใช้ออกมาอยู่แล้ว
ทว่าเขารู้ดีว่าเหล่าองครักษ์ที่ติดตามเซี่ยฉางเฟิงมาย่อมต้องเป็นยอดฝีมือขั้นก่อโลหิตตอนกลางขึ้นไปอยู่แล้ว มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถจัดการพวกเขาได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
แม้ว่าจะสิ้นเปลืองพลังไปอยู่หลายขุมทว่าผลลัพธ์กลับคุ้มค่ายิ่งกว่า ในขณะนี้จึงหลงเหลือแค่เพียงเงาร่างของเขาและเซี่ยฉางเฟิงแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องพวงว่าจะมีคนสอดมือเข้ามาระหว่างการสะสางเรื่องราวของพวกเขา
“หลงเฉิน……”เซี่ยฉางเฟิงกัดฟันกรอดแล้วจ้องเขม็งไปยังหลงเฉินอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เรียกด้วยเรื่องอันใด?”หลงเฉินปัดฝุ่นผงที่ติดอยู่ตามอาภรณ์ของเขา ไม่แม้แต่จะมองไปยังเซี่ยฉางเฟิงเลยสักนิดหนึ่ง
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”เซี่ยฉางเฟิงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออยู่ส่วนหนึ่ง ความโกรธแค้นที่กำลังสุ่มอยู่กลางทรวงอกได้ถูกกระตุ้นขึ้นมาในที่สุด
“เป็นคำพูดเดียวกันกับที่ข้าจะกล่าวออกมาพอดี” หลงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ทว่าก่อนหน้าที่จะฆ่าเจ้า ข้าขอถามบางอย่างก่อน สิ่งที่อยู่ตัวของฉู่เหยาเป็นฝีมือของผู้ใด?”
“เจ้าใคร่รู้? ฮาฮา ฝันไปเถิด”
เซี่ยฉางเฟิงแสยะยิ้มอันเย้ยหยันออกมา “เจ้าคิดว่าคนอย่างเจ้าจะสามารถฆ่าข้าได้อย่างนั้นหรือ? ต่อจากนี้ไปข้าผู้นี้จะทำให้เจ้าต้องสำนึกว่าสิ่งที่เจ้ากำลังคิดอยู่นี้มันน่าขบขันมากเพียงใดกัน”
“ตูม”
ทันใดนั้นเซี่ยฉางเฟิงก็ได้ปะทุพลังโลหิตทั่วทั้งร่างกายขึ้นมาอย่างมหาศาล พลังอันแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งปกคลุมไปทั่วบริเวณโดยรอบนับหลายช่วงตัว
“เจ้าคิดว่าข้าจะถูกเลี้ยงดูเหมือนกับองค์ชายทั่วไปอย่างนั้นหรือ แม้แต่วิชาที่จะใช้คุ้มครองชีพก็ยังไม่มี?
คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาจนคิดจะลอบสังหารองค์ชายเช่นข้าได้ คิดว่าตัวเองนั้นเป็นที่สุดแห่งใต้หล้า? มีเพียงแค่เจ้าที่มีพรสวรรค์หรืออย่างไร? วันนี้ข้าจะกำจัดความขาดเขลาเบาปัญญาของเจ้าด้วยค่าตอบแทนที่เหมาะสมที่สุดนั่นก็คือ——ความตาย”
ขณะนี้ทั่วทั้งร่างของเซี่ยฉางเฟิงปรากฏขุมพลังอันมหาศาลอย่างท่วมท้น เสียงดังเปรี้ยงปร้างดังไปทั่วร่าง พลังโลหิตเพิ่มสูงขึ้นจนถึงขีดสุด พลังอันเข้มข้นทั้งหมดนี้ได้แผ่ซ่านเข้ากดดันผู้คนที่พยายามจะเข้าไปยังบริเวณนั้น
“จุดสูงสุดของก่อโลหิต?”
หลงเฉินพยักหน้าไปมา แท้ที่จริงแล้วเซี่ยฉางเฟิงผู้นี้กลับมีไพ่ตายที่ไม่เคยเปิดเผยอยู่นั่นเอง ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดวันนี้เขาถึงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาหลายครั้งคราว ราวกับเป็นความรู้สึกที่ต้องพบเจอกับความยากลำบาก
ทว่าอย่างไรเขาก็ปรารถนาที่จะสังหารเซี่ยฉางเฟิงทิ้งเท่านั้น ไม่จำเป็นจะต้องสนใจพลังการฝึกยุทธ์ของเซี่ยฉางเฟิงอยู่แล้ว
องค์ชายผู้นี้ได้กระตุ้นความชิงชังที่อยู่ในก้นบึ้งของจิตใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด เพียงนึกถึงฉู่เหยาที่ต้องถูกกักขังให้อยู่แต่ภายในวังหลวงอย่างโดดเดี่ยว ก็ทำให้หลงเฉินแทบจะบ้าคลั่งขึ้นมาได้แล้ว
“ตายเสียเถิด”