หลงเฉินอดร่ำร้องว่าสวรรค์ช่างไร้นัยน์ตาขึ้นมาไม่ได้ ถึงแม้ว่าหมาป่าตัวนี้จะไม่ใช่สัตว์มายา พลังการต่อสู้จึงไม่ได้แข็งแกร่ง ทว่าหากเจ้าเดรัจฉานไร้นัยน์ตาตัวนี้โจมตีเข้ามา ต่อให้เขาสามารถฆ่ามันด้วยฝ่ามือเดียวได้ ก็ย่อมสร้างการเคลื่อนไหวขึ้นมาเล็กน้อยอยู่ดี
อีกทั้งยังเป็นฝืนป่าที่เงียบสงัดถึงเพียงนี้ ยิงฮวาเองก็อยู่ในห่างเพียงสิบลี้เท่านั้น ด้วยพลังขั้นขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นอันแกร่งกล้าของเขาย่อมตรวจพบได้ง่ายดายอย่างไม่ต้องสงสัย
หลงเฉินค่อยๆ นำมีดสั้นจากแหวนมิติออกมา ถ้าหากหมาป่าตัวนี้หิวโหยขึ้นมา เขาก็จะจัดการฆ่ามันในครั้งเดียว ทว่าการจะจัดการกับหมาป่าให้ไร้ซุ่มเสียงนั้น เขากลับไม่มีความมั่นใจในข้อนี้เลยแม้แต่น้อย
อีกทั้งถ้าหมาป่าตัวนี้เกิดร้องโหยหวนออกมาคงจะต้องถึงจุดจบของเรื่องราวทั้งหมดอย่างแน่นอน แค่คิดก็เหงื่อพรั่งพรูออกมาจวนจะหมดตัวแล้ว
ขณะนี้สองสายตาสบกันไปมา จมูกของหมาป่าดังฟึดฟัดเล็กน้อย จากนั้นมันก็ล่าถอยออกไปจนหายลับไปท่ามกลางความมืดมิดในยามค่ำคืน
หลงเฉินเกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยถึงปฏิกิริยาของหมาป่าตัวนั้น ทันใดนั้นเองห้วงแห่งความคิดก็โลดแล่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน ภาพของเจ้าหนูขนสีขาวปุกปุย หรือจะเป็นเพราะเขาคลุกอยู่กับเสี่ยวเสว่ยมานานหลายวันจนอาบไปด้วยกลิ่นอายของสัตว์มายาไปแล้ว จึงทำให้หมาป่าตัวนี้ถอยหนีไปอย่างนั้นหรือ?
“ไอ้หยา ตายแล้ว เสี่ยวเสว่ยยังอยู่ที่ปากทางเข้าหุบเขาอยู่เลย”
หลงเฉินตบไปข้างศีรษะอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง เขาลืมเสี่ยวเสว่ยไปได้อย่างไรกัน ก่อนที่เขาจะเข้าขัดขวางการเดินทางของเซี่ยฉางเฟิง ก็ได้ปล่อยให้เสี่ยวเสว่ยซ่อนตัวอยู่ในถ้ำศิลา เมื่อสะสางปัญหาเสร็จแล้วก็จะมารับในทันที
ทว่าภายหลังกลับเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดนั่นก็คือการปรากฏตัวของยิงฮวา ทำให้หลงเฉินหลงลืมไปจนสนิทใจ เมื่อหวนนึกขึ้นมาได้ในตอนนี้ก็อดที่จะตัดพ้อต่อว่ากับตัวเองขึ้นมาไม่ได้ หวังว่าอาหมานจะฉลาดขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง กลับไปพาเสี่ยวเสว่ยออกไปจากที่แห่งนั้น
ช่วงเวลาที่เสี่ยวเสว่ยติดตามหลงเฉินมายังหุบเขาแห่งนี้ก็ได้กินลิ้มรสเนื้อสัตว์ไปไม่น้อย จากที่มีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือก็ได้เติบใหญ่จนมีลำตัวยาวถึงหนึ่งเซียะ ทว่าก็ยังคงเล็กเกินไปในการติดตามเขามาต่อสู้ด้วย
เมื่อนึกถึงความน่ารักของเจ้าหนูขึ้นมา หลงเฉินแทบอยากจะเหาะเหินเดินอากาศกลับไปยังทางเข้าของหุบเขาในทันที ทว่ายังไม่อาจทำได้เพราะมีนักฆ่ามือฉมังกำลังรอสังหารเขาอยู่ หลงเฉินจึงรู้สึกเกลียดชังยิงฮวาจนเข้ากระดูกดำขึ้นมาในทันที
หลังจากที่หมาป่าลับหายไปแล้ว หลงเฉินก็รีบเคลื่อนย้ายศิลาก้อนเล็กก้อนใหญ่อยู่หลายก้อน เพื่อสร้างเป็นที่กำบังตัวเอง เพียงเท่านี้ก็สามารถซ่อนเร้นเงาร่างเอาไว้ได้แล้ว ในขณะเดียวกันเขาก็ได้เก็บพลังสภาวะเอาไว้จนหมดสิ้น
“โอว”
ทันใดนั้นในบริเวณที่ไกลห่างออกไปก็ได้มีเสียงร้องดังขึ้นมา หลงเฉินแสยะยิ้มอันแสนชั่วร้ายขึ้นมา เหอะเหอะ ดูเหมือนว่ายิงฮวาจะได้รับการต้อนรับจากเจ้าถิ่นเสียแล้ว
หลงเฉินไม่กล้าฆ่าหมาป่าตัวนั้นก็เป็นเพราะว่าจะกลายเป็นเป้านิ่งให้กับยิงฮวา อีกทางหนึ่งก็คือเมื่อสัตว์ป่าตัวหนึ่งตายไปก็จะส่งกลิ่นคาวโลหิตโชยออกไปเป็นที่ดึงดูดของสัตว์ป่าตัวอื่นที่กำลังหิวโหยอยู่อีกมากมาย
ผ่านไปไม่นานสัตว์ป่าตัวอื่นก็ส่งเสียงคำรามออกมาดังเซ็งแซ่ หลงเฉินได้ยินเสียงของอาวุธมีคมชนิดหนึ่งตัดผ่านอากาศขึ้นมาหลายครั้ง
“เหอะเหอะ ดีมาก เจ้าก็ยุ่งไปก่อนนะ ข้าขอฝึกพลังสักครู่หนึ่ง”
หลงเฉินหมกตัวอยู่ภายใต้อุโมงค์ศิลาที่สร้างขึ้นเอง ห่างจากนั้นไปอีกสิบกว่าลี้ก็มียิงฮวาที่กำลังสานความสัมพันธ์กับเหล่าสัตว์ป่าอยู่ ตอนนี้หลงเฉินจึงรู้สึกว่าปลอดภัยมากขึ้น
หลังจากกลืนโอสถลงไปสองเม็ด เม็ดหนึ่งคือโอสถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บภายใน อีกเม็ดหนึ่งคือโอสถหนุนเสริมการฟื้นฟูเส้นลมปราณ
ความสามารถของหลงเฉินเปรียบเสมือนอยู่ในระดับปรมาจารย์หลอมโอสถไปแล้ว โอสถที่ได้กักตุนเอาไว้มีมากมายมหาศาลจนสามารถใช้ได้ฟุ่มเฟือย อีกทั้งยังเป็นโอสถที่จัดอยู่ในระดับสูงทั้งสิ้น
นับตั้งแต่ที่เขาได้รับสัตว์เพลิงมาจากงานเทศกาลโคมไฟ เปลวเพลิงก็ยิ่งทวีความเข้มข้นมากขึ้น สามารถหลอมโอสถระดับสูงขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
หลังจากกลืนโอสถทั้งสองเม็ดลงไปแล้ว อาการบาดเจ็บภายในร่างกายก็ไม่มีส่วนใดที่น่าเป็นห่วงอีก ต้องการก็แต่เพียงเวลาที่มากเพียงพอ ผลสุดท้ายร่างกายก็จะค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาได้เอง
ทว่าเส้นลมปราณบนฝ่ามือที่ฉีกขาดไปอาจยุ่งยากมากเกินไปเสียหน่อย เส้นลมปราณของคนนั้นจะปกคลุมอยู่ทั่วร่างกายเชื่อมถึงกันเป็นแขนงร่างแหขนาดใหญ่ เส้นลมปราณเหล่านี้ประดุจแม่น้ำลำคลองที่จะคอยชักนำลมปราณที่เป็นเสมือนน้ำให้ไหลผ่านไปทั่วร่างกายได้
หากคนใดสูญเสียเส้นลมปราณไป โดยมากแล้วย่อมต้องกลายเป็นคนพิการไปในทันที ทว่าหลงเฉินที่มีความทรงจำของจักรพรรดิโอสถอยู่ เรื่องเช่นนี้แม้จะยุ่งยากไปบ้างทว่ากลับไม่เกินความสามารถของเขาแต่อย่างใด แต่อาจต้องใช้เวลาที่มากขึ้นเท่านั้นเอง
หลงเฉินหยิบยืมพลังฟื้นฟูจากโอสถไหลเวียนจนเข้าไปยังปลายเส้นโลหิตของฝ่ามือที่ใกล้กับจุดที่เกิดการเสียหาย แล้วใช้พลังแห่งจิตวิญญาณชักนำฤทธิ์โอสถให้ทำการเสริมสร้างเส้นลมปราณขึ้นมาใหม่
การเร่งสร้างเส้นลมปราณเช่นนี้ถือเป็นระดับความยากของวิถีโอสถ เป็นทักษะเฉพาะบุคคลเท่านั้น ทว่าระดับความยากเช่นนี้คงจะไม่มีผู้ใดกระทำได้อีกแล้ว แม้แต่ปรมาจารย์หวินฉีก็ยังไม่อาจกระทำได้
ปรมาจารย์หวินฉีอาจสามารถซ่อมแซมเส้นลมปราณบนนิ้วมือให้กลับมาดังเดิมได้ ทว่าการจะปั้นเส้นลมปราณขึ้นมาใหม่นั้นต้องอาศัยการหยิบยืมประสบการณ์อยู่ดี หากทำได้แต่ก็อาจจะไม่สามารถใช้งานได้ดังเดิม ทว่าหลงเฉินกลับมีวิธีสร้างเส้นลมปราณขึ้นมาใหม่จากห้วงแห่งความทรงจำของจักรพรรดิโอสถ
ถึงแม้ว่าการกระทำเช่นนี้จะเป็นไปอย่างเชื่องช้า ทว่าจากมุมมองของหลงเฉินแล้วทุกช่วงของการงอกเงยนั้น ทำให้เขารู้สึกว่าอย่างน้อยก็มีสิ่งที่ใช้ปกป้องชีวิตขึ้นมาอีกส่วน
หลงเฉินใช้พลังสมาธิทั้งหมดเพ่งไปที่การฟื้นฟูอาการบาดเจ็บบนร่างกาย เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ทั่วทั้งท้องนภาก็เริ่มสองแสงสว่างไสวขึ้นมาแล้ว
จากนั้นมือใหญ่ทั้งสองข้างก็ได้ยกศิลาที่กำบังร่างอยู่ออกไปอย่างแผ่วเบา เมื่อยันตัวลุกขึ้นมายืนได้แล้ว หลงเฉินก็จดจ้องไปยังทิศทางที่มีเสียงร้องโหยหวนของสัตว์ป่าที่ดังตลอดทั้งคืน ทันใดนั้นเองท้องของเขาก็เกิดเสียงร้องโครมครามอย่างวุ่นวายขึ้นมาเป็นสาย
หลงเฉินทอแววตาเป็นประกายเจิดจ้า บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเหยียดกว้างขึ้นมา เหอะเหอะ! ยิงฮวา ข้าจะเตรียมของขวัญไว้รอเจ้าเอง . . .