“ต่อให้เป็นเช่นนี้ เจ้าก็ต้องตายอยู่ดี”
คมกระบี่ได้ตัดผ่านอากาศมาครั้งหนึ่งจนเกิดเป็นพลังผ่าแฝกอันน่ากลัว เสียงแตกร้าวรานดังขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน รังสีสังหารอันมากมายนับไม่ถ้วนถูกฟาดฟันมาที่หลงเฉินอย่างรวดเร็ว
“ท่าฟันทลายความหักเห”
คมกระบี่สายหนึ่งกวาดออกมาด้วยพลังอันรุนแรง ร่างของหลงเฉินถูกกดดันด้วยบรรยากาศหนักหน่วงขุมหนึ่ง อาภรณ์สั่นพลิ้วไหวไปมาไม่หยุด พลังฟาดฟันของกระบี่เล่มนั้นมหาศาลมากจนไม่มีสิ่งใดที่จะต้านทานเอาไว้ได้
การเบิกทักษะของกระบี่เช่นนี้ออกมาคงจะเป็นเป้าหมายสูงสุดของพลังอันแข็งแกร่งของยิงฮวาแล้ว หลงเฉินทราบได้ในทันทีว่านี่คือกระบวนท่าจากทักษะยุทธ์ระดับพสุธาอย่างแน่นอน หากเทียบกับทักษะยุทธ์ก่อนหน้านี้กลับยิ่งทวีความน่าหวาดกลัวมากยิ่งกว่ามากที่สุด ราวกับพลังสภาวะทั้งหมดกำลังปิดทางหนีรอดและกั้นให้เขาเข้าสู่ความตายเท่านั้น
ในช่วงเวลาที่จะได้พบกับความตาย ห้วงแห่งความคิดของหลงเฉินช่างว่างเปล่าและเงียบสงบไปจนถึงก้นบึ้งของจิตใจ เขาเพ่งสมาธิเข้าจับการโคจรของพลังการไหลเวียนของฟ้าดินจนเกิดเป็นอนุภาคนับหมื่นสายขึ้นมา แม้แต่สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบข้างก็ได้ถูกจดจำเอาไว้ทั้งหมดแล้ว
ราวกับว่าตัวเองได้ถอดจิตวิญญาณออกมาจากร่างกายจนสามารถมองเห็นบริเวณโดยรอบได้อย่างชัดเจน ทว่าที่หลงเฉินยังไม่ตระหนักถึงก็คือจุดดารากักวายุที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าในเวลานี้ก็อยู่ในสภาวะที่สงบลงด้วยเช่นกันคล้ายกับกำลังรอคอยการกระตุ้นจากบางอย่างอยู่เงียบๆ ช่างน่าเสียดายที่หลงเฉินกลับไม่ได้สังเกตถึงสิ่งนั้นเลย
พลังหนุนทั้งสิบสองสายปะทุขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งประดุจพลังที่ถูกซ่อนเร้นเอาไว้ พลังลมปราณไหลเวียนไปตามเส้นลมปราณจนเข้าห่อหุ้มกระบี่หนักที่หลงเฉินกุมเอาไว้อย่างแน่นหนา
“เบิกสวรรค์”
บนสันกระบี่หนักปรากฏรอยประหลาดขึ้นมาสายหนึ่งราวกับมันกำลังมีชีวิตขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น เสียงเปรี๊ยะปร๊ะดังขึ้นมาเบาๆ หลงเฉินกวาดคมกระบี่ออกไปเป็นเส้นโค้งที่ลี้ลับดั่งมังกรเหินเวหาเหนือมหาสมุทรอันกว้างไกล พลังทำลายกระแทกกับสายลมจนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งผืนฟ้า นี่ก็เป็นกระบวนท่าอันทรงพลังที่สุดของหลงเฉินด้วยเช่นกัน
“ตูม”
เสียงระเบิดเลือนลั่นไปทั่วทั้งป่า คลื่นพลังยักษ์อันบ้าคลั่งกลุ่มหนึ่งแตะกระทบเงาร่างทั้งสองสายจนลอยละล่องออกไปในเวลาเดียวกัน ประกายโลหิตสีแดงชาดนับร้อยหยดทาทับทั่วทั้งผืนฟ้า
กระบี่ยาวในมือหลงเฉินถูกซัดจนลอยกระเด็นออกไปไกลกว่ารอยช่วงตัว เสียบทะลุเข้าไปยังศิลาก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง
“อัก”
หลงเฉินกระอักโลหิตออกมา ความรู้สึกปวดร้าวแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างราวกับกระดูกทั้งหมดป่นปี้เป็นผุยผงไปจนสิ้นแล้ว บรรยากาศอันตึงเครียดเมื่อครู่ก็ได้ผ่อนคลายลงในที่สุด
อาการบาดเจ็บภายนอกกว่าสิบแห่งเริ่มปรากฏสายโลหิตที่ไหลรินออกมาไม่หยุด ที่จนปัญญาที่สุดเห็นจะเป็นเส้นโลหิตทั่วทั้งร่างได้ถูกทำลายลงไปทั้งหมดด้วย อีกเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้นก็จะระเบิดออกมาจนไม่เหลือชิ้นดี
นี่ก็คือผลลัพธ์ที่หลงเฉินสัมผัสได้ขณะที่ใช้กระบวนท่าเบิกสวรรค์ในครั้งก่อน ทว่าในครั้งนี้กลับใช้พลังทั้งหมดออกมาจนหมดสิ้นและยังมากเกินไปจนอีกเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้นก็อาจทำให้เขาจะต้องกลายเป็นคนพิการไปในที่สุด
เส้นลมปราณถูกทำลายไปเพียงเล็กน้อย ยังพอที่จะฟื้นฟูกลับขึ้นมาใหม่ได้ นั่นก็เป็นเพราะว่าช่วงที่ปะทุพลังออกไปเขาได้ควบคุมเส้นลมปราณเอาไว้ส่วนหนึ่ง หากปล่อยให้เส้นลมปราณทั่วทั้งร่างแตกกระจาย ต่อให้เขามีความทรงจำของจักรพรรดิโอสถอยู่ก็ไม่อาจมีพลังเพียงพอที่จะฟื้นคืนกลับมาได้
ในตอนนี้หลงเฉินไม่อาจใช้พลังลมปราณออกมาได้เลย แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป เพราะว่าเส้นลมปราณของเขาไม่อาจทนรับพลังเอาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว
ยิงฮวาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าหลงเฉินมากเสียเท่าใด กระบี่ยาวในมือของเขาแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ปักไปทั่วร่างของบุคคลทั้งสองจนได้รับความเจ็บปวดไปพร้อมกัน
ถ้าหากเป็นเพียงอาการบาดเจ็บภายนอกก็ยังพอที่จะใช้พลังการฝึกยุทธ์อันแข็งแกร่งเข้าควบคุมเอาไว้ได้ ทว่าเมื่อใช้ออกมาด้วยกระบวนท่าที่แข็งแกร่งมากที่สุด อีกทั้งยังไม่อาจควบคุมพิษภายในร่างกายเอาไว้ได้อีก ในที่สุดพลังอันมหาศาลก็ได้กลายเป็นตัวกระตุ้นพิษให้ไหลเวียนเข้าสู่หัวใจ
หัวใจของเขาเริ่มส่อเค้าของการเ**่ยวเฉาโรยราลงไปเรื่อยๆ ยิงฮวาตื่นตกใจไม่น้อยจนต้องใช้พลังลมปราณที่ยังคงเหลืออยู่เข้าหยุดการไหลเวียนสภาวะของพิษเอาไว้ให้นานที่สุด
หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง ใช้มือยันตัวลุกอย่างช้าๆ จากนั้นก็ดึงดาบที่ฝังในศิลาออก แล้วลากฝีเท้าทั้งสองข้างลากไปกับพื้นดินตรงไปยังร่างที่นอนกองอยู่บนพื้นอีกร่างหนึ่ง
เมื่อเข้าไปใกล้ยิงฮวามากขึ้นก็สังเกตเห็นจุดดำคล้ำที่ปรากฏขึ้นมาบนกลางหว่างคิ้วของยิงฮวา สิ่งนั้นคือหนึ่งในผลลัพธ์จากการจู่โจมของพิษภายในร่างกาย ยิงฮวาในตอนนี้ ไม่อาจใช้พลังลมปราณออกมาได้อีก
ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ถือว่าความได้เปรียบได้หันเหมาทางหลงเฉินแล้ว เขาควรอาศัยช่วงเวลาที่ยังพอมีพลังหลงเหลืออยู่เข้าสังหารยิงฮวาลงอย่างรวดเร็ว
หลงเฉินคิดจะทะยานไปยังด้านหน้าเพื่อเข้าสังหารยิงฮวาให้ขาดเป็นสองท่อน ทว่าร่างกายของเขากลับโรยแรงจนไม่อาจควบคุมเอาไว้ได้อยู่ อาการบาดเจ็บภายนอกหลายสิบแห่งได้มีโลหิตหลั่งไหลออกมาอันเกิดจากกระบี่ของยิงฮวาที่ถูกทำลายไป หากว่าเขาไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแกร่งกำยำก็คงจะพรุนเป็นตะแกรงไปตั้งแต่แรกแล้ว
หลงเฉินพยายามทรงตัวไม่ให้ล้มลงไป นี่ถือว่าเป็นน้ำมันหยุดสุดท้ายที่อยู่ในตะเกียงไฟแล้ว ดวงตาคู่คมจ้องมองไปยังร่างของชายฉกรรจ์ที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความสงบ ไร้ซึ่งความแอบแฝงด้วยอารมณ์และความรู้สึกอันใดเลยแม้แต่น้อย ฝีเท้ายังคงลากเดินเข้าไปหายิงฮวาให้ใกล้ที่สุด
“ยิงฮวา คนที่ต้องตายก็คือเจ้า” หลงเฉินชูกระบี่หนักในมือขึ้นมาช้าๆ
ยิงฮวามองไปยังหลงเฉินที่ยังมีเรี่ยวแรงพอที่จะเข้าโจมตีได้ ภายในจิตใจจึงเริ่มหวั่นไหวขึ้นมาอย่างมาก เขารีบคืบคลานไปเบื้องหน้า จู่จู่กระบี่หนักก็ได้เฉียดผ่านข้างแก้มของเขาไปอย่างรวดเร็ว เขาสามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันเย็นเยียบที่อยู่สถิตอยู่ในกระบี่หนัก
“บัดซบ ถึงเพียงนี้แล้ว เจ้ายังมีพลังมากถึงเพียงนี้อยู่อีกหรือ”
ยิงฮวาแปรเปลี่ยนสีหน้าไปอย่างรุนแรง หลังจากที่รอดชีวิตมาจากกระบวนท่าของหลงเฉินไปเมื่อครู่ ก็ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามที่ฝังอยู่ในร่างของเจ้าหนูผู้นั้น เจ้าหนูที่มีพลังอยู่ในขั้นก่อรวมผู้หนึ่งเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดความหวาดกลัวมาถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะเมื่อจ้องมองไปยังดวงตาอันเยือกเย็นและสงบนิ่งดั่งสายน้ำเย็นของหลงเฉิน
อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารที่ไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างอย่างไม่หยุดนิ่ง ตอนนี้เขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย พลังลมปราณก็ไม่อาจใช้ออกมาได้แล้ว ส่วนพลังกายเนื้อก็ไม่อาจต่อกรกลับหลงเฉินได้อีกแล้วเช่นกัน “วันนี้ถือว่าเจ้าโชคดีไป”
ยิงฮวาสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็ได้หันกายเพื่อไปจากบริเวณนั้น
“คิดจะไปแล้วอย่างนั้นหรือ? ไม่เอาชีวิตทิ้งไว้ที่นี่ล่ะ”
หลงเฉินตะโกนไล่หลังไปเสียงดัง แล้วชักฝีเท้าก้าวออกตามไปในทันที ทว่ากระบี่หนักในมือที่ไร้เรี่ยวแรงให้ความรู้สึกที่หนักอย่างถึงที่สุด เหมือนยิ่งไล่ก็ยิ่งห่างไกลจากยิงฮวามากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อหันไปดูอีกครั้งหนึ่งก็พบว่าเงาของยิงฮวาได้เลือนหายไปจากเบื้องหน้าเสียแล้ว หลงเฉินรู้สึกถึงความเจ็บปวดแปรบขึ้นมาภายในจิตใจประดุจมีเข็มแหลมนับพันหมื่นเล่มทิ่มแทงเข้ามา ทันใดนั้นเองผืนฟ้าและผืนดินก็กลับตาลปัตรกันไปหมด นัยน์ตาเข้าสู่ความมืดมิด อีกทั้งยังสูญสิ้นประสาทการรับรู้ไปทั้งหมด