เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปนานเพียงใดก็ไม่อาจทราบได้ กระทั่งหลงเฉินได้ลืมตาตื่นขึ้นมาปะทะกับแสงสว่างเบื้องหน้า เขาผ่อนลมหายใจยาวออกมา และยอดมาก…เขายังมีชีวิตอยู่
เมื่อสายตาปรับเข้ากับแสงอันเจิดจ้าได้แล้ว หลงเฉินก็เห็นร่างของตัวเองกำลังนอนแผ่อยู่บนเตียงไม้ที่ดูธรรมดาเตียงหนึ่ง ทว่าเมื่อกวาดตามองอย่างละเอียดแล้วก็พบว่าเตียงนั้นเป็นงานฝีมืออันประณีตชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมจางๆ แฝงเอาไว้ด้วย
หลงเฉินกวาดสายตามองไปโดยรอบครั้งหนึ่ง ที่นี่เป็นบ้านไม้หลังหนึ่งที่มีหน้าต่างไม้บานเล็กแขวนหนังสัตว์ป่าเอาไว้ด้านบน อีกทั้งยังมีคันธนูและหอกยาว ห่างออกไปก็มีเตาผิงไฟเล็กๆ ที่ตรงกลางมีหม้อเหล็กกำลังปะทุไอควันอุ่นๆ ลอยฟุ้งขึ้นมา ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวนไปทั่วทั้งห้อง
ในขณะที่หลงเฉินกำลังสำรวจบ้านไม้แห่งนั้นอยู่ จู่จู่ก็มีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดมาจากประตูไม้ เมื่อประตูถูกเปิดออกก็เผยให้เห็นเงาร่างของหญิงสาวนางหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงสั้นกำลังเดินตรงเข้ามา
หญิงสาวนางนี้คงจะมีอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น รูปร่างสูงยาว ผิวพรรณเปล่งปลั่งประดุจเม็ดข้าวสาลี มองโดยรวมแล้วให้ความรู้สึกคล้ายกับเป็นคนที่มีความแข็งแกร่งผู้หนึ่งเลยก็ว่าได้
เส้นผมของนางถูกรวบตึงเป็นหางม้าที่ไม่สั้นและไม่ยาวจนเกินไป ใบหน้าของนางไม่ได้ถึงขึ้นว่างดงามมากมาย หากเทียบกับฉู่เหยาและม่งฉีแล้วดูธรรมดากว่ามาก ทว่าดูตากลมโตคู่นั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณบางอย่างที่น่าเข้าหาถึงเป็นอย่างมาก
หลังจากที่หญิงสาวนางนั้นได้เข้ามาภายในห้องแล้ว นางก็นำเอากระเป๋าที่เคยแบกเอาไว้ด้านหลังวางกองกับพื้น พลันก็ได้รีบร้อนกายาวิ่งตรงไปที่เตาผิงไฟในทันที
“ไอ้หยา ตายแล้ว เกือบจะข้นไปแล้ว” หญิงสาวจ้องมองไปยังอาหารที่ถูกต้มอยู่ในหม้อ ก่อนจะบ่นพึมพำกับตัวเอง
ทว่านางกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่ ทันใดนั้นก็หันหน้ามามองที่เตียงอย่างทันควัน จ้องมองมายังใบหน้าที่เพิ่งจะฟื้นตื่นขึ้นมาของหลงเฉิน
“เอ๊ะ เจ้าได้สติแล้ว ดีจริงๆ”
เมื่อนางพบว่าหลงเฉินสามารถยันตัวลุกขึ้นมานั่งได้แล้ว ก็อดบังเกิดความยินดีขึ้นมายกใหญ่ไม่ได้ จึงเร่งฝีเท้าเข้ามาที่เตียงพร้อมกับโอบเข้าไปที่ร่างของชายหนุ่มจนแน่น
“แค่กแค่ก……แม่นาง เช่นนี้คงจะไม่ดีสักเท่าใดนัก”
หลงเฉินถูกหญิงสาวโอบกอดเอาไว้ ใบหน้าของเขาชนไปโดนหน้าอกของหญิงสาวอย่างจัง แนบชิดเสียจนได้กลิ่นหอมที่อยู่บนตัวของนาง กลิ่นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิตขุมหนึ่ง
การถูกคนแปลกหน้าผู้หนึ่งโอบกอดเอาไว้ มันทำให้เขาเกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหากผลักนางออกไปก็คงจะดูแร้งน้ำใจจนเกินไปเสียหน่อย เขาจึงเอ่ยวาจาออกมาด้วยความกระอักกระอ่วนที่เต็มเปี่ยมอยู่ภายในจิตใจ
“มีสิ่งใดไม่เหมาะสมกัน ข้าเป็นคนเก็บเจ้ากลับมาได้ เจ้าก็คือชายหนุ่มของข้า นี่เป็นกฎของหมู่บ้านเรา มีอันใดไม่ถูกต้องกัน?” หญิงสาวกล่าวขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกผิดแปลกและไม่มีความเขินอายแต่อย่างใด อีกทั้งยังคงโอบกอดหลงเฉินเอาไว้ดังเดิม
“เจ้า? ……เก็บกลับมา?” หลงเฉินฉงนสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง ฉากสุดท้ายในห้วงความจำของเขาก็คือหมีศิลา ซึ่งไม่ใช่หญิงสาวนางนี้อย่างแน่นอน
หญิงสาวผละหลงเฉินออกจากอ้อมกอด เมื่อเห็นว่าเขากำลังสงสัยอะไรบางอย่าง “วันนั้นเจ้าได้สู้กับสัตว์มายาตัวหนึ่ง ในช่วงคับขันเช่นนั้นข้าจึงยิงธนูออกไปเพื่อสังหารสัตว์มายาตัวนั้น จะกล่าวว่าข้านั้นเป็นผู้ช่วยชีวิตของเจ้าไว้ก็ว่าได้ หลังจากนี้เจ้าก็เป็นชายหนุ่มของข้าแล้ว และหน้าที่ของเจ้าก็คือติดตามข้า อยู่กับข้า ล่าสัตว์ และมีบุตรด้วยกัน ”
หญิงสาวกล่าวออกมาอย่างจริงจัง ใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นความเคร่งขรึมในทันที ห้วงแห่งความคิดของหลงเฉินก็เริ่มว้าวุ่นขึ้นมาอีกครั้ง ล่าสัตว์? แล้วยังมีบุตร?
แล้วหญิงสาวก็ได้อธิบายเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดให้หลงเฉินฟังอย่างละเอียด ว่านางเป็นคนล่าสัตว์ของหมู่บ้านแห่งนี้ ผู้คนทั้งหมู่บ้านต่างต้องออกล่าสัตว์เพื่อประทังชีวิตให้อยู่รอด โดยส่วนมากแล้วพวกเขาก็จะใช้ชีวิตอย่างเพียงพออยู่ในละแวกหมู่บ้าน นอกเสียจากว่าจะต้องออกไปยังที่ที่ห่างไกลออกไปเพื่อหาซื้ออาวุธเท่านั้น
หมู่บ้านแห่งนี้มีผู้คนอยู่เพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น โดยส่วนมากแล้วต่างก็มีฝีมือในการล่าสัตว์ด้วยกันแทบทั้งสิ้น แม้แต่เด็กน้อยตัวเล็กเองก็ยังต้องออกไปติดตั้งกับดักนอกหมู่บ้านเพื่อจับสัตว์ป่าตัวเล็กๆ กลับมา
หมู่บ้านนี้ของพวกเขาไม่มียอดฝีมือที่แท้จริง โดยส่วนมากแล้วจะอยู่เพียงขั้นก่อรวมเท่านั้น เหล่าบรรพบุรุษของพวกเขาได้หลบหนีมาจากสงครามจนมาพบสถานที่แห่งนี้ แล้วเริ่มต้นใช้ชีวิตอย่างสมถะและสันโดษ ตั้งแต่นั้นจนถึงบัดนี้ก็ได้ล่วงเลยมากว่าร้อยปีแล้ว
อาหารหลักของผู้คนในหมู่บ้านก็คือเนื้อของสัตว์ป่า มีกินรากไม้ใบหญ้าบ้างในบางครั้ง ทว่าสัตว์มายานั้นยังใหญ่โตและอันตรายจนเกินไป หากจะล่าพวกมันจำเป็นจะต้องเคลื่อนไหวกันทั้งหมู่บ้านจึงจะสามารถต่อกรกับสัตว์มายาได้
และในครั้งนี้ก็เล็งหมีศิลาเอาไว้ พวกเขาก็ได้ปรึกษาหารือกันอย่างวุ่นวายจนได้รับการตัดสินใจที่เด็ดขาดจากหัวหน้าหมู่บ้านว่าให้ต่อกรกับหมีศิลาตัวนั้นได้
ถึงแม้การต่อกรกับสัตว์มายาจะอันตรายเป็นอย่างมาก ทว่าสิ่งตอบแทนก็ล้ำค่ามากขึ้นไปด้วยเช่นกัน แกนผลึกของสัตว์มายาตัวหนึ่งสามารถนำไปแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของต่างๆ นานาได้ เพียงแค่แกนผลึกชิ้นเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งหมู่บ้านมีชีวิตอยู่ได้ถึงครึ่งปีแล้ว
เพื่อที่ต่อกรหมีศิลาตัวนี้ พวกเขาได้มีการเตรียมการถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ ทั้งสร้างสารพิษไว้เคลือบบนอาวุธ ทั้งวางกับดักเอาไว้หลายแห่งรอบบริเวณที่ใกล้เคียง
เมื่อถึงวันที่พวกเขาจะลงมือ และกำลังดึงดูดหมีศิลาอยู่นั้น จู่จู่ก็พบเห็นเงาร่างของชายผู้หนึ่งที่ทำเอาแต่อ้าปากตาค้างแล้วเดินเข้าไปยังอาณาเขตของหมีศิลา
หญิงสาวที่ซ่อนตัวและคอยจับตาดูอยู่ห่างๆ จึงเกิดความร้อนรนขึ้นอย่างถึงที่สุด ทว่านางก็ไม่กล้าร้องเตือนหลงเฉินออกไปเพราะเกรงว่าจะทำให้หมีศิลาแตกตื่นขึ้นมาแล้วทำให้แผนการที่พวกเขาได้เตรียมเอาไว้นับเดือนต้องสูญเปล่าไปได้
อีกทั้งหากเกิดความผิดพลาดก็อาจจะหนักหนายิ่งกว่า อาจจะถึงขั้นที่พรากชีวิตของผู้คนไปด้วยก็เป็นได้ ฉะนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่เพียงมองดูหลงเฉินถูกโจมตีอย่างไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยได้
พวกเขาเองก็เกิดความละอายใจอยู่ไม่น้อย ต่างก็ภาวนาอยู่ภายในจิตใจว่าให้หมีศิลาออกมาติดกับที่วางไว้สักแห่งหนึ่ง
ทว่าฉากเบื้องหน้าที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมากลับทำให้พวกเขาต้องตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อกระบี่ของหลงเฉินเกือบจะเด็ดชีพของสัตว์มายาที่แสนดุร้ายตัวนั้นได้
พวกเขาเห็นได้ชัดว่าหลงเฉินกำลังได้รับบาดเจ็บอยู่ ทว่าก็ยังสามารถซัดจนหมีศิลาลอยกระเด็นออกไปได้หลายครั้งเลยทีเดียว ยิ่งทำให้พวกเขาเกิดความแตกตื่นขึ้นมาอีก
และในช่วงท้ายที่ร่างของหลงเฉินได้หมดสิ้นเรี่ยวแรงไปแล้ว หญิงสาวนางนี้จึงไม่อาจอดกลั้นความอดทนเอาไว้ได้อยู่แล้ว จึงง้างสายธนูอย่างรวดเร็วจนทะลวงแสกหน้าของหมีศิลาตัวนั้นไป
เดิมทีวิชาธนูของหญิงสาวไม่ได้สูงล้ำแต่อย่างใด ทว่าช่วงเวลาเช่นนั้นช่างคับขันยิ่งนัก นางกล่าวว่าได้มีความผิดพลาดแฝงอยู่บ้าง เดิมทีได้เล็งลูกศรไปที่ปากของหมีศิลา ทว่าผลสุดท้ายกลับแทงเข้าไปแสกหน้าของหมีศิลาอย่างพอดิบพอดี
อีกทั้งด้วยความบังเอิญที่หลงเฉินได้ฟันกระบี่จนทำให้กะโหลกของมันแตกร้าวอยู่แล้ว ลูกศรของหญิงสาวจึงเสียบเข้าไปตามรอยแยกจนปลิดชีวิตของมันได้ด้วยลูกศรดอกเดียว
ผู้คนในหมู่บ้านที่ซุ่มอยู่ใกล้เคียงก็อดถอนลมหายใจออกมาไม่ได้ หากไม่ใช่ว่าเป็นโชคช่วยแล้วพวกเขาคงจะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์มายาที่กำลังพิโรธอยู่อย่างแน่นอน เกรงว่าความสูญเสียคงจะมากมายมหาศาลเลยทีเดียว
“ขอบคุณเจ้ามาก”
หลงเฉินเข้าใจถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างกระจ่างแจ้ง จึงยกมือขึ้นมาคารวะต่อหญิงสาวพร้อมทั้งกล่าวขอบคุณออกไป
“หลังจากนี้เจ้าก็เป็นชายหนุ่มของข้าแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องเกรงใจกับข้าเช่นนี้” หญิงสาวหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ พร้อมทั้งกอดรัดไปที่แขนของหลงเฉินแล้วกล่าวต่ออีกว่า
“ก่อนหน้านี้ข้าได้ไปสวดอ้อนวอนกับเทพแห่งพงไพรอยู่ทุกวัน หวังให้ท่านประทานชายหนุ่มผู้แกร่งกล้าผู้หนึ่งมาให้แก่ข้าเพื่อใช้ชีวิตล่าสัตว์ด้วยกัน มีบุตรด้วยกัน อิอิ และในที่สุดเทพแห่งพงไพรก็ได้ยินเสียงหัวใจของข้าเสียที ท่านส่งมอบเข้ามาให้แก่ข้า ช่างเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยมที่สุด”
บนใบหน้าของหญิงสาวเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม ทอแววตาเป็นประกายเจิดจ้าจ้องมองมาที่ใบหน้าของหลงเฉิน แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสดใส
“แค่กแค่ก แม่นาง……”
“ข้าชื่อเสี่ยวฮวา”
“อือ……แม่นางเสี่ยวฮวา ข้าไม่ใช่ชายหนุ่มของเจ้าหรอก เรื่องเช่นนี้ค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง ทว่าในตอนนี้เจ้าช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าอาการบาดเจ็บบนร่างกายของข้านั้นหายดีได้อย่างไรกัน?” หลงเฉินเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัยที่เต็มเปี่ยม
เพราะช่วงเวลาก่อนหน้านี้ร่างกายของหลงเฉินได้รับบาดเจ็บจนแทบไม่น่าจะมีชีวิตรอดได้แล้ว และตั้งแต่วันที่ถูกช่วยเหลือจนถึงวันนี้ก็ผ่านไปสามวันแล้ว
ช่วงเวลาเพียงสั้นๆ แค่สามวันนี้ เขากลับไม่ได้กินโอสถเลยแม้แต่เม็ดเดียว ไม่เพียงแต่รักษาอาการบาดเจ็บภายนอกจนสมบูรณ์แล้วเท่านั้น แม้แต่เส้นลมปราณภายในร่างกายก็ยังกลับมาเป็นดังเดิมด้วย นี่จึงทำให้เขาตกใจขึ้นมาเสียยกใหญ่
“เทพแห่งพงไพรช่วยเจ้าอย่างไรเล่า” เสี่ยวฮวาตอบกลับ
“เทพแห่งพงไพร?” หลงเฉินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย ในโลกหล้าแห่งนี้ยังมีเทพอยู่จริงหรือ?
“เอาเถอะ เอาเถอะ อย่าได้ถามให้มากความ ได้เวลาอาหารของเจ้าแล้ว”
เมื่อเห็นว่าหลงเฉินยังคิดที่จะถามออกมาอีก เสี่ยวฮวาจึงตัดบทสนทนาของพวกเขาในทันที พลันก็ได้เดินตรงไปยังห้องครัวแล้วยกหม้อเหล็กขนาดใหญ่ออกมา
หลงเฉินเองก็ไม่อาจนั่งมองอย่างนิ่งดูดายได้ เพราะอาการบาดเจ็บของเขาได้หายไปจนหมดสิ้นแล้ว จึงเร่งฝีเท้าออกไปช่วยเหลือในทันที เขาพบว่าในหม้อขนาดใหญ่ใบนั้นเต็มไปด้วยข้าวต้มที่กำลังร้อนระอุอยู่
เขายกหม้อข้าวต้มออกจากบ้านไม้ไป หลงเฉินกวาดสายตามองไปโดยรอบก็เห็นว่าสถานที่แห่งนี้เป็นหมู่บ้านขนาดเล็กที่ตั้งอยู่สักแห่งหนึ่งภายในหุบเขา
รอบหมู่บ้านมีไม้แหลมสูงสามช่วงตัวปักเอาไว้โดยรอบ ปลายไม้ที่ถูกเหลาจนแหลมถูกเคลือบเอาไว้ด้วยพิษชนิดหนึ่งที่สัตว์ป่าตัวใดมาโดนเข้าคงจะต้องตายอย่างแน่นอน หากเป็นสัตว์ป่าทั่วไปที่ได้มาปะทะกับสิ่งของเช่นนี้คงจะต้องหลบหนีออกไปไกลอยู่แล้ว
พื้นที่ภายในหมู่บ้านมีบ้านไม้ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างเรียบง่ายอยู่หลายสิบหลัง จู่จู่เสี่ยวฮวาก็ส่งเสียงตะโกนออกไปทำให้ผู้คนมากมายที่อยู่ในบ้านไม้เปิดประตูออกมา ในกลุ่มผู้คนเหล่านั้นมีเด็กน้อยอยู่สิบกว่าคนและเฒ่าชราอีกห้าหกคน
โดยส่วนใหญ่ต่างก็อยู่ในวัยหนุ่มสาวที่แข็งแรงกำยำ หลงเฉินตระหนักได้ทันทีว่าการใช้ชีวิตด้วยการล่าสัตว์จำเป็นจะต้องมีกำลังกายที่เพียบพร้อมด้วย เพราะการออกไปล่าสัตว์นั้นเป็นเรื่องที่อันตรายมาก หากไม่ระมัดระวังก็อาจคร่าชีวิตของตัวเองไปก็เป็นได้
เฒ่าชราที่ดูกระฉับกระเฉงผู้หนึ่งเดินมายืนอยู่ที่เบื้องหน้าของหลงเฉิน พร้อมกับพยักหน้าไปมาแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “เป็นลักษณะที่ดี คนผู้นี้สามารถสู้กับสัตว์มายาได้แล้ว”
หลงเฉินนอบน้อมตอบรับไปครึ่งหนึ่ง เฒ่าชราผู้นี้ที่เป็นยอดฝีมือพลังขอบเขตก่อโลหิตผู้หนึ่ง ทว่ายังอยู่เพียงตอนต้นเท่านั้น
ในความคิดของหลงเฉินแล้วเฒ่าชราผู้นี้คงจะเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตในช่วงเวลาที่สายเกินไป พลังโลหิตจึงเกิดความล้มเหลวขึ้น ฉะนั้นเมื่อเขาเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตได้แล้วพลังการต่อสู้จึงไม่เกิดความก้าวหน้าได้อีก
“ท่านผู้อาวุโสได้ชมเชยเกินไปแล้ว” หลงเฉินกล่าวออกมาอย่างมีมารยาท
“ผู้อาวุโสก็เป็นไม่ได้ ต่อให้ข้าอยู่ในช่วงวัยฉกรรจ์ก็ยังไม่อาจเทียบกับเจ้าได้เลย” เฒ่าชราจดจ้องไปที่หลงเฉิน ภายในดวงตาขาวขุ่นของเขาเปี่ยมไปด้วยความยกย่องนับถืออย่างยิ่งยวด
“ท่านปู่ ท่านก็อย่าได้เกรงใจเกินไปเลย รีบทานข้าวต้มกันเถิด”
เสี่ยวฮวาทำการแบ่งข้าวต้มให้กับคนในหมู่บ้านคนละชาม แล้วยกอีกสองชามเข้ามาให้หลงเฉินและเฒ่าชราผู้นั้น
“ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก นี่เป็นท่านปู่ของข้าเอง เขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้านของพวกเรา ไอ้หยา ใช่แล้ว ข้ายังไม่รู้จักนามของเจ้าเลย” เสี่ยวฮวาสะดุ้งตัวโยนขึ้นมาในทันที
“ขอบคุณ เรียกข้าว่าหลงเฉินเถิด” หลงเฉินยิ้มพร้อมกับรับชามข้าวต้มมาไว้ในมือ
ผู้คนทั้งหมู่บ้านต่างก็เดินเข้ามาทักทายหลงเฉิน เขาจึงรีบวางชามข้าวลงแล้วตอบกลับปฏิกิริยาของพวกเขาอย่างมีมารยาท
อย่างไรก็ตามชีวิตของเขาเป็นหนีต่อพวกเขาอย่างถึงที่สุด น้ำใจในครั้งนี้ย่อมต้องจดจำเอาไว้จนขึ้นใจ พวกเขาทั้งเรียบง่ายและไร้ซึ่งพิธีรีตองหรือกฎเกณฑ์ ทว่ากลับมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันทั้งหมด
ในหมู่บ้านมีคนอยู่ร้อยกว่าคน มีหญิงสาวสามสิบกว่าคน เด็กสาวก็มีเพียงเสี่ยวฮวาเพียงคนเดียว ที่เหลือต่างก็เป็นกลุ่มทารกน้อยโดยทั้งสิ้น
“ต้าเกอเกอ (大哥哥) ได้ยินมาว่าท่านร้ายกาจมาก เพียงหมัดเดียวก็สามารถล้มหมีที่มีขนาดใหญ่เท่าวัวตัวหนึ่งได้ นั่นเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่?”
เด็กน้อยตัวเล็กๆ ที่มีความสูงเท่าเอวของหลงเฉินเดินเข้ามาทักทาย พลันกอดเข้ามาที่ขาของหลงเฉิน บนใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสกำลังจ้องมองมาที่หลงเฉิน
“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง บิดาของข้าเคยกล่าวเอาไว้ว่าต้าเกอเกอท่านนี้เป็นผู้กล้าที่แท้จริง หลังจากที่เขากับอาฮวาเจี่ยเจี่ย (พี่สาวชื่อฮวา) มีทารกด้วยกัน แน่นอนว่าทารกที่กำเนิดมาย่อมต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุดในหมู่บ้านของพวกเราอย่างแน่นอน” เมื่อเห็นว่าหลงเฉินไม่ตอบกลับออกไปเสียที เด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบก็แย่งตอบขึ้นมาทันควัน
จากนั้นเด็กชายตัวน้อยก็ได้จ้องมองไปที่หลงเฉินแล้วกล่าวต่ออีกว่า “ต้าเกอเกอ ท่านสามารถให้กำเนิดผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของหมู่บ้านได้หรือไม่?”
หลงเฉินเบิกตาคมกลมโตขึ้น ผู้คนที่ยืนอยู่รอบด้านก็ได้หัวเราะฮาฮาออกมาเสียงดัง แม้แต่เสี่ยวฮวาเองก็ยังต้องยกมือขึ้นป้องปากเพื่อกลั้นหัวเราะเอาไว้ บรรยากาศเช่นนี้ทำให้หลงเฉินเกิดอาการกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อยเลย
เขารีบกลืนข้าวต้มลงไปหลายคำ พลันก็เปิดประเด็นถามออกมาข้อหนึ่ง “พวกท่านไม่ได้สังหารสัตว์มายาตัวนั้นไปอย่างนั้นหรอกหรือ? แล้วเหตุใดถึงไม่กินเนื้อของมันกันเล่า?”
เมื่อสิ้นเสียงของหลงเฉิน บรรยากาศรอบข้างก็เปลี่ยนแปลงไปในทันที เขามองไปยังเฒ่าชราผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ทว่าชายผู้นั้นก็ไม่คิดจะกล่าววาจาอันใดออกมา
แล้วเสี่ยวฮวาก็ได้ทำลายบรรยากาศอันเงียบงันขึ้นมา “เรื่องเช่นนี้ ให้ข้าเป็นคนกล่าวเถิด”…