เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 85 เทพแห่งพงไพร

“เรื่องเช่นนี้ให้ข้าเป็นคนกล่าวเถิด”

เสี่ยวฮวามองไปที่หลงเฉินอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ได้หันกลับไปกล่าวกับท่านปู่ของนางเอง

“เสี่ยวฮวา……” เฒ่าชราผู้นั้นขมวดคิ้วชนกัน

“ท่านปู่ หลงเฉินเป็นชายหนุ่มของข้า จากนี้เป็นต้นไปเขาก็จะมาเป็นผู้ดูแลหมู่บ้านของเรา เขาย่อมต้องทราบเรื่องเช่นนี้เอาไว้”เสี่ยวฮวายื่นคำขาดออกมา

เมื่อได้ยินเสี่ยวฮวากล่าวออกมาเช่นนั้น เฒ่าชราก็ไม่อาจกล่าวอันใดออกมาได้อีก ผู้คนอื่นต่างก็แยกย้ายไปสนใจชามข้าวต้มของตัวเอง จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในบ้านไม้ของพวกเขา ทิ้งเงาร่างทั้งสามเอาไว้ในที่เดิม

“สัตว์มายาตัวนั้นถูกพวกเรานำไปบวงสรวงแล้ว” เสี่ยวฮวาเอ่ยออกมาพร้อมกับจ้องมองเข้าไปในดวงตาของหลงเฉิน

“บวงสรวง?” หลงเฉินตกใจขึ้นมายกใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำนี้

“ใช่แล้ว ในช่วงที่เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสเจียนตาย พวกเราเองก็อับจนปัญญา จึงได้ยกร่างของเจ้าไปที่เบื้องหน้าของเทพแห่งพงไพร

เทพแห่งพงไพรได้รักษาเจ้าจนหายดี ฉะนั้นพวกเราจึงจำเป็นที่จะต้องนำหมีศิลาตัวนั้นไปบวงสรวงเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เพียงสามวันเท่านั้นอาการของเจ้าก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง” เสี่ยวฮวากล่าว

หลงเฉินเกิดความตื่นเต้นขึ้นมาอย่างยิ่งยวด บนโลกหล้าแห่งนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าเทพอยู่จริงอย่างนั้นหรือ แทบจะเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบหรือล่วงรู้มาก่อนเลย

“ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น อาการบาดเจ็บของเจ้าเข้าขั้นสาหัสจนเกินไปพร้อมที่จะสิ้นลมไปได้ทุกเมื่อ นอกจากหมีศิลาตัวนั้นแล้ว พวกเรายังได้นำเนื้อสัตว์ป่าที่มีอยู่ทั้งหมดไปบวงสรวงด้วย

ถึงอย่างไรพวกเราก็ยังติดค้างเนื้อสัตว์อีกมากมายต่อเทพแห่งพงไพร พวกเรายังต้องล่าสัตว์เพื่อเป็นการชดเชยอีก” เสี่ยวฮวากล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่มัวหมองลงไปจากเดิม

หลงเฉินเข้าใจขึ้นมาได้ในทันทีว่าเหตุใดทั้งหมู่บ้านจึงได้ทานแค่ข้าวต้มหม้อเดียว ไม่เห็นเงาร่างของเนื้อสัตว์เลยแม้แต่น้อย

เมื่อทราบว่าพวกเขาทั้งหมดต้องมาตกระกำลำบากก็เพราะตัวเอง เนื่องจากเยื้อสัตว์นั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการเพิ่มพูนพละกำลังเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาจะต้องทนหิวโหยเพราะไม่ได้กินเนื้อสัตว์ อีกทั้งยังไม่อาจกินไปได้อีกหลายวันเพราะยังบวงสรวงไม่ครบถ้วน หลงเฉินจึงเกิดความลำบากใจขึ้นมาไม่น้อยทีเดียว

“หลงเฉิน ที่ข้าบอกเล่าออกไป ไม่ได้ต้องการให้เจ้าเกิดความละอายใจ ในตอนนี้เจ้าก็เป็นเสมือนคนในหมู่บ้านของพวกเราแล้ว ข้าจึงคิดว่าเจ้าเองก็ควรจะทราบเอาไว้” เสี่ยวฮวากุมมือของนางไปที่มือใหญ่ของหลงเฉินแล้วพูดออกมาด้วยท่าทีเขินอาย

ยิ่งเสี่ยวฮวากล่าวออกมาเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้หลงเฉินความละอายใจมากขึ้นกว่าเดิม การใช้ชีวิตและสภาพแวดล้อมของผู้คนในที่แห่งนี้ช่างแตกต่างจากความเคยชินของเขาเมื่ออยู่จักรวรรดิโดยสิ้นเชิง พวกเขาทำให้หลงเฉินสัมผัสได้ถึงความตรงไปตรงมา อีกทั้งยังรู้สึกอบอุ่นอย่างไร้ที่เปรียบ

“สามารถเล่าเรื่องเทพแห่งพงไพรของพวกเจ้าให้ข้าฟังได้หรือไม่?”

เสี่ยวฮวาหันหน้าไปมองยังท่านปู่ของนาง และพบว่าเขาพยักหน้าตอบรับ นางจึงเริ่มเล่าตำนานที่ราวกับจะเป็นเรื่องจริงให้หลงเฉินฟัง

เดิมทีแล้วหมู่บ้านแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยบรรพบุรุษยุคแรก ครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นนี้นั้นเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาถูกสัตว์มายาโจมตีจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด จึงหลบหนีเข้าป่ามาจนถึงเบื้องหน้าของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นนี้

ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้หลั่งของเหลวบางอย่างออกมาหยดหนึ่ง ทำให้บรรพบุรุษเหล่านั้นสามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บจนหายเป็นปลิดทิ้งได้โดยใช้เวลาเพียงครึ่งวัน

ฉะนั้นพวกเขาจึงตอบแทนบุญคุณของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยการออกไปล่าสัตว์ป่า แล้วนำกลับมาเซ่นไหว้ที่ต้นไม้ต้นนั้น และพวกเขาก็พบว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้ดูดกลืนสัตว์ป่าตัวนั้นเข้าไปในทันที

นับแต่นั้นเป็นต้นมาทุกครั้งที่มีผู้คนได้รับบาดเจ็บ พวกเราก็มักจะไปพาไปหาต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อรับการรักษา และทุกครั้งต้นไม้ต้นนั้นก็ได้รักษาพวกเขาจนหายดีมาโดยตลอด

ผู้คนในหมู่บ้านจึงสำนึกในพระคุณของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้มอบชีวิตให้ พวกเขาจึงได้ขนานนามต้นไม้ต้นนี้ว่าเทพแห่งพงไพร หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้บวงสรวงสัตว์ป่าน้อยใหญ่ไปเป็นจำนวนมาก จนต้นไม้ต้นนั้นเริ่มทำการติดต่อกับพวกเขาเพื่อทำข้อตกลงบางอย่าง

เทพแห่งพงไพรสามารถทำให้ผู้คนในหมู่บ้านหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ทุกครั้ง ทว่าสิ่งของบวงสรวงนั้นจะมากเพียงใดก็ต้องดูที่อาการบาดเจ็บว่าหนักหรือเบา

ทว่าหลายปีที่ผ่านมานี้เทพแห่งพงไพรก็ไม่ได้รับสิ่งตอบแทนมากมายนักจนพบกับหลงเฉินในครั้งนี้ เทพแห่งพงไพรได้เรียกร้องสิ่งตอบแทนจำนวนมหาศาลจนน่าตกใจก่อนจะช่วยรักษาชีวิตของหลงเฉินเอาไว้

“มันต้องการสิ่งใด?” หลงเฉินถามออกมา

เสี่ยวฮวามองไปทางหลงเฉินแล้วตอบกลับออกไป “สัตว์มายาระดับหนึ่งสิบตัวสัตว์และมายาระดับสองหนึ่งตัว”

หลงเฉินเหม่อมองเข้าไปยังนัยน์ตาของหญิงสาว ต่อให้เสี่ยวฮวาใช้พลังทั้งหมดต่อกรกับสัตว์มายาระดับหนึ่งตัวเดียวก็ถือว่าแบกรับความเสี่ยงที่มากมายเป็นอย่างยิ่งแล้ว

ส่วนสัตว์มายาระดับสองหนึ่งตัวนั้น หากไม่ใช่ยอดฝีมือขอบเขตก่อโลหิตสองคนร่วมมือกันนั้นก็แทบจะไม่มีทางสำเร็จได้เลย สิ่งที่เรียกว่าเทพแห่งพงไพรช่างกล่าวออกมาอย่างง่ายดายยิ่งนัก นี่ถือว่าเป็นการกดขี่ผู้คนให้ตายทั้งเป็นเลยก็ว่าได้

สายตาของเสี่ยวฮวาจ้องมองไปยังใบหน้าที่เกรี้ยมกราดของหลงเฉิน ก็ได้รีบร้อนกล่าววาจาออกมา “หลงเฉิน เจ้าอย่าได้คิดเกลียดชังต่อเทพแห่งพงไพรโดยเด็ดขาด สิ่งตอบแทนนั้นถือว่ายุติธรรมแล้ว หลายปีที่ผ่านมานี้ไม่ว่าพวกเราจะได้รับบาดเจ็บมามากเพียงใด ต้นไม้ต้นนั้นก็ยังไม่เคยเรียกร้องสิ่งตอบแทนที่มากมาย ในครั้งนี้จะต้องการมากขึ้นก็ย่อมไม่ผิดแปลกอันใด

ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าก็ดีขึ้นมามากแล้ว ขอเพียงพวกเราร่วมมือกัน ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานก็คงจะตอบแทนเทพแห่งพงไพรได้

อย่าว่าแต่สัตว์มายาระดับสองเลย แม้แต่สัตว์มายาระดับสองสิบตัวพวกเราก็ยอมรับได้ ทว่าพวกเราไม่อาจมองดูผู้คนที่กำลังจะตายไปได้หรอก ฮือฮือ……”

หลังจากกล่าวออกมาจนถึงช่วงท้าย เสี่ยวฮวาก็มือน้ำเสียงสั่นเครือ แล้วก็ซบหน้าลงตรงหน้าอกของหลงเฉินพร้อมกับร่ำไห้ออกมาอย่างไร้ซุ่มเสียง เฒ่าชราที่นิ่งเงียบไปนานก็ได้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วกล่าวขึ้นมาว่า

“หลงเฉิน เทพแห่งพงไพรย่อมมีความยุติธรรมอย่างแน่นอน ต้นไม้ต้นนั้นย่อมต้องมีเหตุผล เจ้าอย่าได้จงเกลียดจงชังต่อสิ่งนั้นไปเลย”

“ข้าอยากจะพบกับเทพแห่งพงไพรสักครั้งหนึ่ง” หลงเฉินต้องการความกระจ่างแจ้งต่อสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเทพแห่งพงไพรว่าแท้จริงแล้วมันคือสิ่งใดกันแน่?

ทว่าสิ่งที่มันเรียกร้องมานั้นหลงเฉินกลับไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อตอนนี้ร่างกายของเขาได้ฟื้นพลังคืนกลับมาจนสมบูรณ์แล้ว การจะสังหารสัตว์มายาระดับหนึ่งนั้นไม่ได้ยากลำบากเลย ส่วนสัตว์มายาระดับสองขอเพียงมันไม่หนีไป เขาก็สามารถจัดการได้อย่างแน่นอน

สัตว์มายาระดับสองมีพลังเทียบเท่ากับผู้ที่มีพลังขอบเขตก่อโลหิตผู้หนึ่ง ทว่าสัตว์มายาบางชนิดมีพลังกายที่มากจนเกินไป มนุษย์ที่มีพลังในระดับเดียวกันย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมันด้วยเช่นกัน

นอกเสียจากยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นแล้ว หลงเฉินก็ไม่ได้เกรงกลัวผู้ใดอีกแล้ว อีกทั้งยังไม่ชมชอบการติดค้างใดใด หากแน่ใจขึ้นมาได้แล้วว่าเทพแห่งพงไพรไม่ใช่สิ่งหลอกลวง เช่นนั้นเขาก็จะชดใช้สิ่งของบวงสรวงที่ติดค้างกลับคืนไปทั้งหมด ฉะนั้นในตอนนี้เขาต้องการที่จะทราบเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่เรียกกันว่าเทพนั้นแท้ที่จริงแล้วคือสิ่งใดกันแน่

เมื่อได้ผ่านความเห็นชอบจากท่านปู่ของเสี่ยวฮวาแล้ว หลงเฉินก็ได้ติดตามหญิงสาวออกจากหมู่บ้านไปทันที เส้นทางที่ไปยังต้นไม้ศักดิ์สิทธ์ต้นนั้นต้องเดินไปตามเส้นทางสู่ขุนเขาอีกลูกหนึ่ง

เสี่ยวฮวามีความคุ้นเคยต่อสถานที่แห่งนั้นเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่ได้นำทางหลงเฉินอยู่นั้น ที่หลังของเสี่ยวฮวาก็ได้สะพายคันธนูเอาไว้ ช่วงเวลาที่เดินทางอยู่นั้นพวกเขาต้องหยุดบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อที่จะฟังเสียงที่อยู่โดยรอบอย่างระมัดระวัง

บางครั้งนางก็พาหลงเฉินไปสำรวจกับดักที่ได้ติดตั้งเอาไว้ เพื่อดูว่ามีสัตว์ป่าเข้ามาติดกับดักบ้างหรือไม่ ทว่าที่ก็พบแต่ความผิดหวังเมื่อทั้งหลายสิบกับดักตลอดรายทางนั้นไม่อาจดักจับสิ่งใดได้เลย

“น่าผิดหวังเสียจริง หลายวันมานี้ไม่มีเนื้อสัตว์เลย พวกเราจำเป็นจะต้องมีเนื้อสัตว์ไว้เป็นอาหาร มันช่วงเสริมพละกำลังของพวกเราได้มากทีเดียว ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเราก็คงไม่อาจออกไปได้ล่าสัตว์ได้” เสี่ยวฮวาถอนหายใจออกมาอย่างอดสู

พวกเขาเป็นนักล่าสัตว์เพื่อกินเนื้อสัตว์ สิ่งนั้นเป็นความสุขอย่างหนึ่งของพวกเขา การที่ไม่ได้ทานเนื้อสัตว์ติดต่อกันหลายวันย่อมส่งผลกระทบต่อร่างกายของพวกเขาเป็นอย่างมาก

“ไม่เป็นไร ภารกิจนี้จงมอบให้กับข้าเถิด ข้าเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดนี้ ฉะนั้นข้าจะเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง” หลงเฉินยิ้มกว้างแล้วเอ่ยวาจาสัตย์ออกไป

เสี่ยวฮวากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงโทสะเอาไว้ส่วนหนึ่ง “หมายความว่าอย่างไร เรื่องของเจ้าก็เป็นเรื่องของข้าด้วย แล้วเรื่องของข้าก็เป็นเรื่องของทั้งหมู่บ้าน พวกเราจะปล่อยให้เจ้าไปเผชิญหน้ากับอันตรายเพียงคนเดียวได้อย่างไรกัน”

หลงเฉินฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วสงบปากสงบคำลงไปในทันที ทว่าภายในจิตใจกลับรู้สึกปลื้มปริ่มขึ้นมาอย่างมากมาย เขาชื่นชอบความเป็นอยู่ของผู้คนในหมู่บ้านนี้ พวกเขาที่ไม่เห็นแก่ตัว มีแต่การแบ่งปัน เป็นสิ่งที่จักรวรรดิไม่มีแม้เพียงเศษเสี้ยวเสียด้วยซ้ำไป ที่แห่งนั้นมีแต่การแก่งแย่งชิงดีของเหล่าผู้คนทุกชนชั้น

แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะงดงามทั้งผู้คนและวัฒนธรรม ทว่าหลงเฉินก็ไม่สามารถที่จะอยู่ต่อได้อีก โดยเฉพาะการอยู่ร่วมกับผู้อื่นเพื่อมีบุตรร่วมกัน

ที่มีชีวิตรอดมาได้ในครั้งนี้เป็นเพราะคนทั้งหมู่บ้านช่วยเหลือเอาไว้ เพื่อไม่ให้ติดค้างต่อกันมากจนเกินไป เขาจึงจำเป็นที่จะต้องตอบแทนกลับคืนให้หมดก่อนแล้วค่อยจากไป

“รอสักครู่”

ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังเดินทางอยู่นั้น จู่จู่เสี่ยวฮวาก็หยุดฝีเท้าลงพลันก็ได้ก้มลงไปมองรอยเท้ารอยหนึ่งด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียดและจริงจังขึ้นมาอย่างไร้ที่เปรียบ

“เพิ่งจะมีหมีตัวหนึ่งเดินผ่านไป หากมองจากความลึกและความใหญ่โตของรอยเท้านั้นคงจะต้องเป็นหมีกัมปนาทที่โตเต็มวัยแล้ว เพราะหมีชนิดนี้มีร่างกายที่ใหญ่โตเป็นจุดเด่น และดูจากสีของร่องรอยแล้วคงจะผ่านไปได้เพียงหนึ่งชั่วยาม”

เสี่ยวฮวาเป็นนักล่าที่มีประสบการณ์ล้ำลึกอย่างมาก เพียงแค่รอยเท้าสัตว์ก็สามารถเจาะจงได้แล้วว่าสิ่งนั้นคือหมีกัมปนาทตัวหนึ่ง หมีชนิดนี้เป็นสัตว์มายาระดับหนึ่งที่มีนิสัยดุร้ายเลยยากจะต่อกรด้วย

ต่อให้พวกเขามากันทั้งหมู่บ้านก็ใช่ว่าจะจัดการกับหมีกัมปนาทตัวนี้ได้ ที่พวกเขาตัดสินใจเข้าสังหารกับหมีศิลาตัวนั้นก็เป็นเพราะว่ามันมีจุดเด่นอยู่ที่ความเร็วเพียงอย่างเดียว ส่วนพลังการโจมตีและการป้องกันนั้นไม่ได้แข็งแกร่งมากมาย ขอเพียงสังเกตความเคลื่อนไหวของมันได้ก็ย่อมสังหารได้เช่นกัน

ซึ่งต่างจากหมีกัมปนาทโดยสิ้นเชิง เพราะหมีกัมปนาทนั้นมีพลังป้องกันมหาศาลที่เรียกได้ว่าน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้พวกเขามีจำนวนคนมากกว่านี้อีกเท่าตัวก็ใช่ว่าจะสามารถสังหารมันได้

“ดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องเดินอ้อมกันแล้ว” เสี่ยวฮวากล่าวออกมา

“เพราะเหตุใด?” หลงเฉินถามตรงไปตรงมาด้วยความไม่เข้าใจ

“เจ้าโง่นี่ ยังต้องถามอีกอย่างนั้นหรือ? พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหมีกัมปนาทอยู่แล้ว ต่อให้รวบรวมผู้กล้ามาทั้งหมู่บ้านก็ยังไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยเลย” เสี่ยวฮวาตอบกลับมาด้วยความไม่สบอารมณ์

“ใครบอกกัน?”

“เจ้า……เจ้าอยากให้ข้าโกรธจนตายไปเลยหรืออย่างไร” เมื่อเห็นใบหน้าโง่งมของหลงเฉิน เสี่ยวฮวาจึงระเบิดโทสะขึ้นมายกใหญ่ แล้วจ้องเขม็งไปที่หลงเฉิน

“เจ้าคงไม่ได้คิดจะจัดการกับหมีกัมปนาทหรอกนะ”

“ใช่แล้ว” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

เสี่ยวฮวาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในห้วงแห่งความคิดของนางก็ได้นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่หลงเฉินต่อสู้กับหมีศิลา ชายหนุ่มของนางคล้ายกับเป็นเทพสงครามผู้หนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ความหาญกล้าของหลงเฉินไม่มีผู้ใดเทียบได้เลย

อีกทั้งท่านปู่ของนางยังได้บอกอีกว่าหลงเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนที่จะพบกับหมีศิลา ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะสังหารหมีศิลาไปได้อย่างง่ายดายแล้ว

เสี่ยวฮวาจดจ้องไปที่ใบหน้าของหลงเฉินนี้ ในที่สุดก็เข้าใจขึ้นมาได้ว่าหลงเฉินอาจจะมีพลังมากพอที่จะสังหารสัตว์มายาตัวนี้ได้จริงๆ

“ก่อนหน้านี้เจ้าเคยสังหารสัตว์มายาระดับหนึ่งมาก่อนแล้วหรือไม่?” เสี่ยวฮวาถามหยั่งเชิงออกมา

“ไม่เคย”

หลงเฉินส่ายหน้าไปมา นี่เป็นการเดินทางออกจากบ้านที่ไกลที่สุดของเขา เนื้อของสัตว์มายาที่ได้ลิ้มรสไปหลายมื้อก่อนหน้านี้ก็เป็นฝีมือของอาหมานทั้งหมดทั้งสิ้น

ภายในจิตใจของหลงเฉินก็ทราบดีอยู่แล้วว่า ‘ถึงแม้ว่าจะไม่เคยสังหารสัตว์มายาระดับหนึ่งมาก่อน ทว่าหากเทียบกับยอดฝีมือพลังขอบเขตก่อโลหิตแล้วนั้นก็คงไม่ต่างกันมาก’

เสี่ยวฮวาส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ช่างมันไปก่อนเถิด การสังหารสัตว์มายาย่อมไม่ดูแค่เพียงพลังฝึกยุทธ์ที่สูงล้ำหรือพลังกายที่มากมายมหาศาล ทว่ายังต้องอาศัยประสบการณ์การต่อสู้ที่ช่ำชอง

ในเมื่อเจ้าไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เช่นนั้นก็อย่าได้ไปหาใส่ตัวกันเลย นักล่าที่ดีย่อมไม่กระทำการเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นผู้ถูกล่าแทน”

“ไม่กระทำเรื่องเช่นนี้อย่างนั้นหรือ? แล้วในช่วงเวลาที่เจ้ายิงธนูออกไปนั้นใช่ด้วยหรือไม่กัน?” หลงเฉินถามหยั่งเชิงพร้อมกับส่งรอยยิ้มกริ่มออกไปด้วย

“ไร้ยางอาย เจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก” เสี่ยวฮวามีใบหน้าสีแดงก่ำขึ้นมา สองมือบีบเข้าหากันจนแน่นคล้ายกับข่มขู่หลงเฉินอยู่

“เอาเถิด ข้าไม่ล้อเล่นกับเจ้าแล้ว วางใจได้ ข้าไม่เอาชีวิตของพวกเราไปล้อเล่นของพวกมันหรอก” หลงเฉินเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบออกมา

เพียงพริบตาเดียวหลงเฉินก็ได้สงบลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่หลงเหลือเค้าของใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความหยอกเย้าแบบเมื่อครู่อีกต่อไป จนเสี่ยวฮวารู้สึกถึงความปลอดภัยชนิดหนึ่งขึ้นมา จิตใจของนางผ่อนคลายความกังวลลงไปอย่างมาก แม้แต่ภาพอันน่าหวาดกลัวของหมีกัมปนาทก็ยังมลายหายไปจากห้วงความคิดด้วยเช่นกัน

จากนั้นทั้งสองคนก็เดินทางต่อไปอีกหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ก็ได้พบกับถ้ำขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแห่งหนึ่งปรากฏอยู่ที่เบื้องหน้า

ปากทางเข้าถ้ำแห่งนั้นมีร่างยักษ์ใหญ่ของหมีกัมปนาทสองตัวอยู่ ตัวหนึ่งกำลังนอนหลับอยู่ทางซ้าย ส่วนอีกตัวหนึ่งนั้นกำลังจดจ้องมาที่พวกเขาทั้งสองคนอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะพวกเขากำลังจะเดินเข้าไปในเขตแดนของมัน

“ฮูม”

หมีกัมปนาทตัวนั้นดีดตัวลุกขึ้นมาในทันที รูปร่างสูงใหญ่กระโจนตัวพุ่งตรงเข้ามายังเงาร่างของผู้มาเยือนทั้งสองอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด

ทันทีที่หมีกัมปนาทวิ่งตรงเข้ามานั้น เสี่ยวฮวาก็ตื่นตกใจจนใบหน้าขาวซีดลงไปอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เผชิญหน้ากับสัตว์มายาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ช่างเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักการของนักล่าโดยสิ้นเชิง

เสี่ยวฮวาปรายสายตาไปมองหลงเฉิน ทว่าใบหน้าของชายหนุ่มไม่แสดงอารมณ์ใดใดราวกับว่ายังไม่เห็นหมีกัมปนาทอย่างไรอย่างนั้น ดวงตาคู่คมของหลงเฉินจ้องมองไปยังเบื้องหน้าอย่างนิ่งเฉย พลันมือข้างซ้ายก็ได้กวาดออกไปเมื่อเห็นหมีกัมปนาทเข้ามาจวนตัวแล้ว….

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset