ในขณะที่เสี่ยวฮวากำลังตกอยู่ในอาการแตกตื่นอยู่นั้น หมีกัมปนาทตัวโตเต็มวัยก็ได้พุ่งจู่โจมเข้ามาที่หลงเฉินอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งยื่นอุ้งเท้าที่มีขนาดใหญ่เท่าแท่นโม่หินของมันกวาดไปมาที่เบื้องหน้าในทันที
ความแข็งแกร่งมากที่สุดของหมีกัมปนาทอยู่ที่กรงเล็บอันแหลมคมของมันที่สามารถตัดผ่านหินศิลาได้อย่างง่ายดาย นี่จึงเป็นเหตุผลที่เสี่ยวฮวาและคนในหมู่บ้านไม่คิดที่จะไล่ล่าเหล่าหมีกัมปนาทมาก่อน เพราะการโจมตีของพวกเขานั้นแทบจะไม่อาจสร้างความบาดเจ็บให้แก่หมีกัมปนาทได้เลย อีกทั้งหากถูกหมีกัมปนาทจู่โจมมาเพียงครั้งเดียวอาจคร่าชีวิตของผู้คนไปได้ไม่น้อยเช่นกัน
“ปึก”
เสียงปะทะกันดังขึ้นมาที่ข้างกายของเสี่ยวฮวา หญิงสาวยกมือขึ้นปิดไปที่ริมฝีปากอย่างแน่นหนาแววตาทั้งสองทอประกายเจิดจ้าขึ้นมาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นได้เลย
การโจมตีอันรุนแรงของหมีกัมปนาทถูกหลงเฉินต้านทานเอาไว้ได้จนพื้นดินโดยรอบเกิดการสั่นไหวขึ้นมาเป็นระลอก ทว่าเท้าของหลงเฉินกลับไม่ได้ร่นถอยไปทางด้านหลังเลยแม้แต่ก้าวเดียว
หมีกัมปนาทมีขนาดใหญ่โตกว่าหลงเฉินนับสิบเท่าได้ ทว่ากลับถูกต้านเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย กระแสลมจากการประทะกรรโชกไปมาอย่างรุนแรง ภาพเบื้องหน้าของเสี่ยวฮวาประดุจมีเทพสงครามมาจุติอย่างไรอย่างนั้น นางรู้สึกได้ถึงความยำเกรงที่บังเกิดขึ้นมาภายในจิตใจอย่างมหาศาล
เพียงหมัดเดียวก็สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของหมีกัมปนาทได้แล้ว ที่มุมปากของหลงเฉินจึงปรากฏรอยยิ้มเหยียดขึ้นมา นอกเสียจากยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นแล้วก็ไม่มีสิ่งใดทำให้เขาเกรงกลัวได้อีกต่อไป ต่อให้เป็นหมีกัมปนาทที่ถูกขนานนามว่าทรงพลังมหาศาลก็ยังไม่สะทกสะท้านกับเขาเลยแม้แต่น้อย
จากการโจมตีของหมีกัมปนาทแล้วคงจะมีเรี่ยวแรงกว่าหนึ่งหมื่นชั่งได้ หากเปลี่ยนเป็นยอดฝีมือพลังขอบเขตขั้นก่อรวมโดยทั่วไปแล้วคงถูกฟาดจนตายคาฝ่ามือไปเลยทีเดียว
และหากเปลี่ยนเป็นยอดฝีมือพลังขอบเขตก่อโลหิตก็จำเป็นจะต้องอยู่ในระดับตอนกลางถึงตอนปลายเท่านั้นที่จะรับการโจมตีเช่นนี้เอาไว้ได้ พละกำลังอันแกร่งกล้าเช่นนี้จึงถือเป็นความน่ากลัวอย่างถึงที่สุดของสัตว์มายา
ทว่าเมื่อพวกมันอยู่ต่อหน้าของหลงเฉินแล้ว การโจมตีเพียงเท่านี้ย่อมไม่ส่งผลคุกคามต่อร่างกายแต่อย่างใด ห้วงความคิดของหลงเฉินก็ได้นึกถึงอาหมานขึ้นมาวูบหนึ่ง หากมีเด็กชายผู้โง่งมติดตามมายังที่แห่งนี้ด้วยคาดว่าคงจะพุ่งตัวออกไปบีบคอของหมีกัมปนาทจนหักไปแล้ว
“ซูม”
หมัดของหลงเฉินหยุดอุ้งเท้าของหมีกัมปนาทเอาไว้ด้วยท่าทีที่เงียบสงบ จากนั้นเขาก็ชักจูงหมีให้ซวนเซไปมา พลันในมือข้างหนึ่งก็ปรากฏกระบี่หนักเพิ่มขึ้นมา เขากวาดฟันคมกระบี่ออกไปอย่างไม่รีรอ
“ฉับ”
สายโลหิตพุ่งกระฉูดเหนือศีรษะของเขา บ้างก็ไหลอาบคมกระบี่หนัก แล้วก็ฟันเข้าไปที่ศีรษะของหมีกัมปนาทอีกครั้งด้วยพลังอันน่าหวาดกลัวจนศีรษะใบโตถูกผ่าเป็นครึ่งซีก จากนั้นร่างอันมหึมาของหมีกัมปนาทก็ล้มตึงลงกองอยู่บนพื้น ความตายกร่ำกรายเข้ามาอย่างรวดเร็วจนมันไม่ทันที่จะส่งเสียงร้องออกมา
เสี่ยวฮวาเบิกดวงตากลมโตมากกว่าเดิม เรื่องราวที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไปคล้ายกับว่ากำลังอยู่ในฝันกลางวันอย่างไรอย่างนั้น นางไม่เคยสังหารสัตว์มายาซึ่งหน้าเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่เห็นวิธีการจู่โจมอย่างไร้ที่ติเช่นนี้ด้วย
โดยปกติก่อนที่พวกเขาจะสังหารสัตว์มายาสักตัวหนึ่งจะต้องมีการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าเกือบหนึ่งเดือนเต็มๆ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีและปลอดภัย พวกเขาจะต้องติดตั้งกับดักและใช้พิษเคลือบอาวุธสังหารจึงจะสำเร็จในการต่อกรกับสัตว์มายาตัวหนึ่ง ทว่าบางครั้งการรวมพลังของผู้คนทั้งหมู่บ้านเพื่อสังหารสัตว์มายาตัวหนึ่งก็ยังมีผู้คนได้รับบาดเจ็บจนถึงตายไปเลยก็ยังมี ฉะนั้นทุกครั้งของการออกล่าจึงจะต้องวางแผนการการต่อสู้ด้วยความระมัดระวัง
ทว่าสิ่งที่นางกำลังพบเจออยู่นี้นั้นช่างเหลือเชื่ออย่างถึงที่สุด หลงเฉินสามารถสังหารหมีกัมปนาทได้อย่างง่ายดายประดุจกำลังสับพืชผักอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“จะจัดการเจ้านี่อย่างไรดี?”
เสียงของหลงเฉินที่เอ่ยถามขึ้นมาทำให้เสี่ยวฮวามีสติกลับคืนมา นางหันไปมองร่างอันใหญ่โตของหมีกัมปนาทแล้วตอบกลับไปว่า “พวกเรานำกลับไปที่หมู่บ้านกันก่อนแล้วค่อยนำมันไปบวงสรวงต่อเทพแห่งพงไพรกัน”
“นำมันกลับไปที่หมู่บ้านก่อน รอคอยจนล่าสัตว์ตัวใหม่ได้แล้วค่อยนำไปบวงสรวงอีกที” หลงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวออกมา
ผู้คนในหมู่บ้านต่างก็ทานแต่ข้าวต้มเพื่อประทังชีวิตมาหลายวันแล้ว ทว่าในเมื่อสามารถสังหารสัตว์มายาได้โดยไม่จำเป็นที่ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงของคนในหมู่บ้านก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว
“เป็นไปไม่ได้ พวกเราไม่อาจเสียสัตย์ที่มีต่อเทพแห่งพงไพรได้ นั่นเป็นสิ่งที่เรียกว่าการไม่เคารพ” เสี่ยวฮวามีใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“เช่นนั้นก็ได้”
หลงเฉินเองก็อับจนปัญญา พลันก็ได้ยื่นมือใหญ่ข้างหนึ่งออกมาแล้วนำร่างใหญ่ของหมีกัมปนาทเข้าไปในแหวนมิติ “เจ้า……เจ้าทำได้อย่างไรกัน? นี่เจ้าก็เป็นเทพอย่างนั้นหรือ?” เสี่ยวฮวามีสีหน้าแตกตื่นแล้วมองไปที่แหวนมิติของหลงเฉิน
เมื่อเสี่ยวฮวาเห็นหลงเฉินโบกมือไปมาแล้วจู่จู่ร่างของหมีกัมปนาทนั้นก็หายวับไปในพริบตา ในเวลาเดียวกันก็นึกถึงกระบี่หนักที่จู่จู่ก็ปรากฏขึ้นมาอยู่ในมือของหลงเฉินขณะต่อสู้เมื่อครู่นี้
อีกทั้งเมื่อหลายวันก่อนตอนที่นางพาหลงเฉินกลับมาด้วยนั้น ก็ได้นำกระบี่หนักเล่มนั้นกลับมาด้วยเช่นกัน ทว่ากระบี่เล่มนั้นช่างหนักหน่วงมากจนเกินไปจนต้องให้คนถึงสองคนช่วยกันแบกยกจึงจะนำกลับหมู่บ้านได้
หลงเฉินมองไปยังใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแตกตื่นตกใจของเสี่ยวฮวาที่ จึงอดหัวเราะเสียงดังขึ้นมาไม่ได้ “ข้าเป็นเทพเซียนอันใดกันเล่า นี่คือแหวนมิติ มันสามารถกักเก็บวัตถุสิ่งของเอาไว้ภายในได้”
เมื่อกล่าวจบ หลงเฉินก็ลูบไปยังแหวนมิติที่บนนิ้วอีกครั้ง พลันร่างของหมีกัมปนาทตัวเดิมก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งด้วยเช่นกัน เสี่ยวฮวายิ่งเกิดความแตกตื่นขึ้นมา จ้องมองไปที่แหวนพร้อมทั้งเอ่ยวาจาชมเชยขึ้นไม่หยุดปาก
เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวฮวานั้นไม่เคยพบเห็นสิ่งของที่แปลกประหลาดจำพวกแหวนมิติมาก่อนเลย หลงเฉินคาดเดาว่าพวกเขาคงจะอาศัยการขายขนสัตว์และแกนผลึกอันมีค่าเพื่อแลกเป็นเงินทองได้ ฉะนั้นสิ่งของฟุ่มเฟือยจำพวกแหวนมิติจึงไม่เคยอยู่ในสายตาของพวกเขา
“เสี่ยวฮวา ข้าจะมอบของขวัญให้กับเจ้าอย่างหนึ่ง”
หลงเฉินก็หยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งออกมาจากแหวนมิติ สิ่งนั้นเป็นสิ่งของที่ได้จากการสังหารเซี่ยฉางเฟิงไปในครั้งก่อน เขาเคยสำรวจดูสิ่งของที่อยู่ภายในแหวนมิติของเซี่ยฟางเฉิงในช่วงเวลาที่ถูกยิงฮวาไล่ล่าอยู่ นอกจากเงินทองแล้วก็มีอาวุธอยู่อีกส่วนหนึ่ง ทว่าในมุมมองของหลงเฉินกลับไม่ได้มีประโยชน์แต่อย่างใด
ทว่ายังมีของดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือคัมภีร์ลับ——ลี้ลมสามรูปแบบ (离风三式) นั่นคือสมบัติที่เซี่ยฉางเฟิงได้มาจากการประมูลนั่นเอง
ทั่วทั้งจักรวรรดิใหญ่หลายแห่งนั้นทักษะยุทธ์ระดับพสุธาถือเป็นทักษะยุทธ์ชั้นสูง เซี่ยฉางเฟิงจึงสูญเสียเงินทองถึงห้าอี้ตำลึงทองเพื่อประมูลทักษะยุทธ์เล่มนี้มาได้ นั่นจึงเป็นเรื่องที่โชคดีเป็นอย่างยิ่ง ทว่าความโชคดีในครั้งนั้นกลับเป็นโชคดีของหลงเฉินในครั้งนี้
“ไม่ ข้าไม่อาจรับสิ่งของจากเจ้าได้” ทันทีที่เสี่ยวฮวาพบว่าหลงเฉินได้ยื่นแหวนมิติวงหนึ่งให้นาง ก็ยิ่งแตกตื่นขึ้นมาพลันปัดแหวนกลับไปอย่างรีบร้อน
“เพราะเหตุใดเล่า? เจ้าบอกว่าข้าเป็นชายหนุ่มของเจ้าไม่ใช่หรือ? ชายหนุ่มของเจ้าได้มอบสิ่งของให้แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่รับกัน?” หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมา
ถึงแม้วาจาที่เอื้อนเยออกมานั้นคล้ายกับการพูดเล่นอยู่ส่วนหนึ่ง ทว่ากลับทำให้หญิงสาวมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยมคล้ายกับมีพลังแห่งชีวิตปกคลุมไปทั่วทั้งร่าง ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะรู้สึกดีอยู่ภายในใจทว่ากลับไม่ใช่ความรู้สึกดีในแบบที่หญิงสาวคาดฝันไว้
“นี่มัน……นี่มัน……” เสี่ยวฮวายังเป็นหญิงสาวที่อยู่ในวัยแรกแย้มอยู่ เมื่อก็เหลือบมองไปยังแหวนมิติที่สวมอยู่ที่นิ้วมือของหลงเฉินกลับเกิดความรู้สึกตรงกันข้ามจนไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป
“รับไว้เถิด ถือว่าเป็นของขวัญสำหรับเจ้า”
หลงเฉินยิ้มแล้ววางแหวนมิติวงนั้นไปบนฝ่ามือของเสี่ยวฮวา เมื่อหญิงสาวได้สวมแหวนลงไปบนนิ้วข้างหนึ่งก็ทำให้ข้อนิ้วที่หนาเกิดความเด่นชัดขึ้นมา นี่คงจะเป็นลักษณะของนักล่าสัตว์อย่างแน่นอน ร่องรอยแห่งความทรงจำจากการเหนี่ยวสายธนูมาโดยตลอด
เสี่ยวฮวาเขินอายจนใบหน้าแดงก่ำเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาลูบไล้ไปที่แหวนมิติไม่หยุด นี่เป็นครั้งแรกที่หลงเฉินสัมผัสได้ถึงความรู้สึกขวยเขินของเสี่ยวฮวา “ข้าจะสอนวิธีใช้ให้กับเจ้าเอง เริ่มจากรวบรวมสมาธิทั้งหมดไปยังกลางอก แล้วชักนำมันมาที่แหวน ในเวลาเดียวกันก็ให้เจ้าใช้มือที่ไหลเวียนพลังลมปราณส่วนหนึ่ง……”
ที่ผู้คนธรรมดาสามัญไม่อาจเปิดแหวนมิติออกมาได้นั้นก็เพราะว่าพวกเขาแตกต่างกัน ขอเพียงเข้าสู่ขอบเขตพลังขั้นก่อรวมได้แล้วก็สามารถใช้พลังลมปราณได้ เมื่อผนึกรวมเข้ากับพลังแห่งจิตวิญญาณก็จะสามารถเปิดแหวนมิติได้แล้ว
เพียงแต่ว่าพลังแห่งจิตวิญญาณของเสี่ยวฮวาจำเป็นที่จะต้องให้หลงเฉินทำการชักนำให้สักครู่หนึ่ง ทว่าเสี่ยวฮวานั้นฉลาดหลักแหลมเป็นอย่างยิ่ง ทดลองไหลเวียนเพียงแค่ไม่กี่ครั้งก็สามารถเข้าใจถึงวิธีการเปิดแหวนได้อย่างรวดเร็ว
ถ้าหากอาหมานมีความฉลาดเฉลียวได้สักครึ่งหนึ่งของเสี่ยวฮวา เขาก็คงจะเบาใจไม่น้อย หลงเฉินเองก็อดเป็นห่วงไม่ได้เช่นั้น ไม่รู้ว่าอาหมานจะพาเสี่ยวเสว่ยกลับไปด้วยหรือไม่ แล้วตอนนี้ได้กลับปถึงจักรวรรดิกันแล้วหรือยัง
ขอเพียงอาหมานกลับไปขอความช่วยเหลือจากปรมาจารย์หวินฉีเพื่อคุ้มครองตระกูลหลงได้ เช่นนั้นก็ย่อมคลายความกังวลใจของเขาไปได้มากแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นแผนการใดก็ย่อมไม่มีความสมบูรณ์แบบไปทั้งหมด ในตอนนี้เขาจึงต้องรีบเดินทางกลับไปยังจักรวรรดิให้เร็วที่สุด
และก่อนที่จะกลับไปก็จะต้องสะสางเรื่องที่สำคัญนั่นก็คือตอบแทนบุญคุณของผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขาคงจะต้องไปล่าสัตว์มายาระดับสองจาตัวตายอย่างแน่นอน
ส่วนอีกข้อหนึ่งก็คือเขาจะต้องเพิ่มระดับพลังให้ได้ เห็นได้ชัดว่าในช่วงที่ได้ต่อสู้กับยิงฮวานั้นเขายังมีพลังไม่เพียงพอที่จะยืนอยู่เบื้องหน้าของยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น “ยอดเยี่ยม นี่เป็นของดีชิ้นหนึ่งเลยล่ะ”
เมื่อเสี่ยวฮวาได้ลองลูบไปที่แหวนมิติอยู่หลายครั้งในที่สุดก็เปิดมันออกมาได้ เมื่อสำรวจสิ่งของที่อยู่ภายในก็ส่งเสียงกรีดร้องอย่างตื่นตระหนกออกมาเสียงดัง
ภายในแหวนมิติมีสิ่งของมากมาย ทั้งเงินทองที่กองเท่ากับภูเขาลูกหนึ่ง ทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ นี่เป็นครั้งที่เสี่ยวฮวาได้เห็นอาวุธที่งดงามถึงเพียงนี้จึงทำให้นางเกิดความลิงโลดขึ้นมาอย่างมาก
โดยปกติแล้วพวกเขาจะออกเดินทางไปจากหมู่บ้านทุกสองปี เดินทางกว่าครึ่งเดือนไปยังเมืองอันไกลโพ้นออกไปเพื่อนำผลึกแกนและหนังสัตว์ไปแลกเป็นสิ่งของที่จำเป็นและเหล็กกล้า รวมไปถึงอาหารเป็นจำนวนมาก ฉะนั้นเงินทองจึงไม่จำเป็นสำหรับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
ฉะนั้นเมื่อเสี่ยวฮวาได้เห็นอาวุธที่ทอแสงประกายสว่างไสวเหล่านั้น นักล่าอย่างนางจึงประทับใจอย่างถึงที่สุด นั่นเปรียบเสมือนเป็นสิ่งของที่รักมากเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้มองไปที่อาวุธแต่ละชิ้น เสี่ยวฮวาก็มีความสุขจนแทบจะสลบไปในทันที
“พลังลมปราณเป็นกุญแจสำคัญสำหรับเปิดแหวนมิติ หากเจ้าต้องการที่จะเอาสิ่งของออกมาหรือจะจัดวางสิ่งของกลับเข้าไปก็ต้องผสานลมปราณเข้ากับพลังแห่งจิตวิญญาณก่อน ลองทำดูสิ” เมื่อมองไปยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดีของหญิงสาว หลงเฉินจึงยิ้มตามไปด้วย
“อือ”
เสี่ยวฮวาควบคุมพลังแห่งจิตวิญญาณขึ้นมาหลายครั้งด้วยตัวเองทว่าก็ยังไม่สำเร็จ เป็นเพราะพลังแห่งจิตวิญญาณของนางยังอ่อนแอเกินไป ย่อมไม่ใช่ทุกคนที่จะเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณที่มากล้นอย่างผู้หลอมโอสถผู้หนึ่งได้
ถ้าหากเสี่ยวฮวาสามารถใช้แหวนมิติได้ ก็จะสามารถนำอาวุธที่อยู่ภายในออกมาใช้เพื่อเพิ่มพลังการต่อสู้ของคนในหมู่บ้าน อีกทั้งยังลดทอนการสูญเสียผู้คนจากการล่าสัตว์ได้อีกด้วย อีกทั้งพวกเขายังสามารถพกพาสิ่งของไปไหนมาไหนได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องลำบากแบกหามกันอีกต่อไปแล้ว
“กริ๊งกร๊าง”
ผ่านไปเพียงหนึ่งก้านธูปไหม้ ในที่สุดเสี่ยวฮวาก็สามารถใช้พลังแห่งจิตวิญญาณชักนำกระบี่ยาวเล่มหนึ่งออกมาจากแหวนมิติได้แล้ว ทว่าเป็นเพราะพลังแห่งจิตวิญญาณยังไหลเวียนได้ไม่ต่อเนื่องกันจึงยังไม่สามารถใช้ออกมาได้ตามความต้องการ กระบี่ที่เพิ่งจะชักนำออกมาเมื่อครู่ก็ได้ร่วงหล่นลงไปบนพื้นเสียแล้ว
“ยอดไปเลย ข้าสามารถใช้แหวนพิศดารวงนี้ได้แล้ว”
เสี่ยวฮวาคว้าไปที่กระบี่ยาวเล่มหนึ่ง พลันก็กระโดดกอดหลงเฉินด้วยความยินดีปรีดา
“เหวย เหวย ระวังหน่อย กระบี่ของเจ้าจะแทงโดนข้าแล้ว” หลงเฉินฝืนยิ้มออกมาด้วยความขมขื่นที่มีอยู่เต็มเปี่ยม
เสี่ยวฮวายังคงอยู่ในอาการดีใจไม่เสื่อมคลาย นางมองกระบี่ยาวในมือไปทางซ้ายทีทางขวาที แล้วก็ได้ยื่นคมกระบี่ไปฟันที่กิ่งไม้ที่อยู่ด้านข้างในทันที
“เช้ง”
เสียงตัดผ่านของกิ่งไม้กับคมกระบี่ดังขึ้นมาแผ่วเบา เสี่ยวฮวารู้สึกว่าการออกอาวุธในครั้งนี้กลับไม่ได้ทำให้นางสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อยก็ยิ่งบังเกิดความยินดีขึ้นมายกใหญ่ ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะมีการแลกเปลี่ยนเหล็กกล้าตามเมืองใหญ่ต่างๆ ทว่าสิ่งของพวกนั้นกลับไม่อาจเทียบชั้นได้กับอาวุธชิ้นนี้ได้เลย
จากนั้นทั้งสองคนก็ได้ออกเดินทางต่อ เมื่อเดินไปได้ไม่นานก็พบเจอกับหมูป่าหนักสามร้อยกว่าชั่งตัวหนึ่งกำลังพุ่งตัวเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง เพราะว่าในตอนนี้พวกเขาได้เดินเข้ามายังอาณาเขตของมันเสียแล้ว
เมื่อเสี่ยวฮวาเห็นหมูป่าตัวนั้นก็ได้ยกหอกยาวในมือขึ้นมา แล้วใช้ปลายแหลมคมของมันแทงทะลุชั้นผิวหนังของหมูป่าผ่านหัวใจแล้วก็ทะลุโผล่ออกไปอีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว เสี่ยวฮวาแสดงความปลื้มปิติขึ้นมาอย่างเปี่ยมล้น ทั้งชีวิตของนางยังไม่เคยฟาดฟันกับหมูป่าโตเต็มวัยด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว นี่จึงเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
แล้วพวกเขาก็ได้เดินทางต่ออีกครั้ง จนเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงกลางวันของวันที่สอง หลงเฉินก้าวฝีเท้าจนมาถึงปลายทางของลำธารแห่งหนึ่งที่เบื้องหน้านั้นมีต้นไม้ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่..