ต้นไม้สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ที่เบื้องหน้าของหลงเฉิน บนยอดของมันแผ่กิ่งก้านออกไปกว้างไกลราวกับได้ปกคลุมทั่วทั้งหุบเขาอย่างไรอย่างนั้น ด้านหน้าของต้นไม้ใหญ่มีลำธารสายเล็กที่ใสสะอาดจนมองเห็นก้นบึ้งไหลผ่านอยู่
ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ที่สูงชันนับร้อยช่วงตัวก็มีแท่นศิลาก้อนหนึ่งวางอยู่ สิ่งนั้นก็คือศิลาที่คนในหมู่บ้านได้ช่วยกันสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นแท่นบวงสรวงนั่นเอง
หลงเฉินสำรวจไปยังต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นก็สัมผัสได้ถึงขุมพลังแห่งชีวิตอันแข็งแกร่งอย่างหนึ่ง เรียกได้ว่าแผ่บารมีอันสูงล้ำได้ด้วยตัวของมันเองราวกับว่าต้นไม้ต้นนี้ได้รวมเจตจำนงแห่งอิสรภาพจากทั่วทั้งโลกหล้าเอาไว้อยู่อย่างไรอย่างนั้น
“นี่ก็คือเทพแห่งพงไพรของพวกเจ้าสินะ?” หลงเฉินถามออกไป
“ใช่ นี่คือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา ข้าจะพาเจ้าไปขอพบกับเทพแห่งพงไพรผู้ที่มีพระคุณต่อเจ้าอย่างแท้จริง” เสี่ยวฮวากล่าวจบก็ได้คุกเข่าลงกับพื้น แล้วเริ่มการกราบไหว้
หลงเฉินมองไปยังต้นไม้ใหญ่ที่เป็นผู้ช่วยชีวิตเขา ในช่วงเวลาที่เขาสลบไปนั้นไม่มีแม้แต่การจัดหาโอสถใดใดย่อมทำให้เขาหมดสิ้นเรี่ยวแรงและพลังจนอาจถึงตายได้ ต่อให้เขาต้องมาทำการกราบไหว้ต้นไม้เช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
ขณะที่หลงเฉินกำลังจะก้มลงกราบไหว้อยู่นั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาตามสายลมที่พัดผ่านกลางอากาศ
“ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ข้าไม่อาจรับไว้ได้”
ทันใดนั้นบนแท่นบวงสรวงก็ปรากฏเงาร่างของหญิงสาวนางหนึ่งที่สวมอาภรณ์ยาวสีขาว เส้นผมสีดำขลับที่ยาวถึงช่วงเอว ให้ความรู้สึกเหมือนกับเทพเซียนผู้หนึ่ง ทว่ารูปลักษณ์ของนางกลับดูเลือนรางคล้ายหมอกควันที่ไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“เทพแห่งพงไพร”
เสี่ยวฮวาที่กำลังจะคุกเข่าลงกับพื้น ก็ได้ปากอ้าตาค้างจ้องมองไปยังหญิงสาวที่เพิ่งจะมาเยือน ทุกครั้งที่นางมายังที่แห่งนี้นางจะได้ยินเพียงเสียงของเทพแห่งพงไพรเท่านั้น ยังไม่เคยพบเห็นร่างที่แท้จริงมาก่อน
อย่าว่าแต่นางเลย ผู้คนที่เล่าขานต่อกันมานานนับหลายร้อยปีก็ยังไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นร่างจำแลงของเทพแห่งพงไพรมาก่อนเลยด้วซ้ำไป
ทว่าหลงเฉินที่เพิ่งจะมาถึง อีกทั้งยังไม่ได้กราบไหว้ กลับทำให้เทพแห่งพวงไพรเปิดเผยร่างจำแลงออกมาได้ พร้อมทั้งเอ่ยวาจาไม่รับการกราบไหว้จากหลงเฉินอีก เสี่ยวฮวาจึงเกิดความสับสนขึ้นมาภายในจิตใจอยู่ไม่น้อย แม้แต่เทพยังไม่อาจรับการกราบไหว้ของหลงเฉินอย่างนั้นหรือ?
หลงเฉินจดจ้องไปยังเงาร่างที่ปรากฏอยู่ที่เบื้องหน้า ทั่วทั้งร่างกายก็แข็งทื่อขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาทราบดีว่าเงาร่างนั้นย่อมไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน ทว่าเป็นจิตสำนึกแห่งวิญญาณสายหนึ่ง
การจะทำเช่นนี้ได้นั้นจะต้องมีพลังแห่งจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งในระดับสูงสุด ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะมีพลังแห่งจิตวิญญาณอันมหาศาลอยู่ภายในร่างกาย ทว่าเมื่อเทียบกับเทพแห่งพงไพรแล้วกลับเป็นเพียงลำคลองขนาดเล็กสายหนึ่งกับมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพรศาลอย่างไรอย่างนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองช่างกระจ้อยร่อยเสียจริงๆ
“ท่านก็คือเทพแห่งพงไพร?” หลงเฉินเอ่ยถามออกไปเพื่อยืนยันตัวตน
หญิงสาวยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ได้กล่าวตอบกลับมาแต่อย่างใด พลันก็ได้มองไปยังเสี่ยวฮวาที่กำลังคุกเข่าอยู่แล้วส่งเสียงแผ่วเบาว่า “ขอเจ้าจงหลับใหลไปสักครู่ก่อน”
ทันใดนั้นร่างของเสี่ยวฮวาก็ได้ฟุบลงไปกับพื้น เสียงของลมหายใจที่หนักแน่นกระเพื่อมขึ้นมาระลอกหนึ่ง จากนั้นก็เข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปในที่สุด
หลงเฉินแตกตื่นขึ้นมายกใหญ่ นี่มันพลังฝีมืออันแข็งแกร่งอย่างแท้จริง ไม่จำเป็นจะต้องใช้พลังวิญญาณออกมาเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่นึกคิดขึ้นมาก็สามารถทำให้ผู้คนหลับใหลไปได้แล้ว
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวฮวาผล็อยหลับไปแล้ว หญิงสาวจึงกล่าวขึ้นมาอย่างแผ่วเบาว่า “บทสนทนาระหว่างพวกเราไม่สามารถให้นางได้ยินได้ ฉะนั้นทางที่ดีจึงต้องทำให้นางหลับใหลไปก่อน
ข้าไม่ใช่เทพอันใด เพียงแต่เป็นคำเรียกขานจากพวกเขาก็เท่านั้น แท้ที่จริงแล้วข้านั้นไม่ใช่สิ่งที่อาศัยอยู่ในโลกหล้าแห่งนี้”
“ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในโลกหล้าแห่งนี้อย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินตกใจมากเสียยิ่งกว่าเดิม
“ข้ามาจากดินแดนหลิงเจี่ย (แดนปราณ灵界) อันไกลโพ้น ทว่าคงไม่ไกลมากนักสำหรับท่าน ข้าทราบว่าด้วยพรสวรรค์เช่นท่านคงจะใช้เวลาไม่นานก็จะทราบได้เอง” หญิงสาวตอบกลับไป
วาจาเอื้อนเอ่ยของหญิงสาวทำให้หลงเฉินเกิดความตื่นเต้นขึ้นมาส่วนหนึ่ง ทว่าเมื่อนางกล่าวถึงดินแดนหลิงเจี่ยจบก็ได้ปิดปากไป เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการที่จะกล่าวอันใดออกมามากมาย
ดินแดนหลิงเจี่ยเป็นชื่อที่แปลกชื่อหนึ่ง ทว่าเมื่อได้ยินออกมาก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับเคยได้ยินมาก่อน อีกทั้งยังเป็นความรู้สึกที่ลี้ลับในความเร้นลับบางอย่างอยู่
เมื่อหญิงสาวไม่ยินยอมเอ่ยวาจาอันใดออกมาอีก หลงเฉินเองก็ไม่กล้าที่จะถามออกไป จึงกล่าวเปลี่ยนบรรยากาศที่อัดอั้นขึ้นมาว่า “ในเมื่อท่านเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต หลงเฉินก็จะจดจำเอาไว้จนขึ้นใจ”
“ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว ความจริงแล้วท่านไม่จำเป็นจะต้องขอบคุณข้าหรอก ท่านควรขอบคุณคนในหมู่บ้านเหล่านั้นเสียมากกว่า ตามข้อตกลงแล้วนั้นไม่ว่าพวกเขาต้องการสิ่งใด ข้าก็จะทำให้มันสมหวังทั้งหมดเอง
เช่นนั้นก็ต้องมีการตอบแทนกลับมาด้วยเช่นเดียวกัน นั้นเป็นข้อตกลงของพวกเรา ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องขอบคุณข้าหรอก” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา “ไม่ทราบว่าข้าสมควรจะถามออกไปได้หรือไม่ เพราะเหตุใดท่านจึงทำข้อตกลงกับคนธรรมดา?” หลงเฉินถามด้วยความใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง
นี่เป็นความสงสัยที่ยังคงค้างคาอยู่ภายในจิตใจของหลงเฉินมาเนิ่นนานแล้ว สิ่งที่นางกระทำช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยกล่าวออกมาช้าๆ “เพราะว่าข้าต้องให้พวกเขาช่วยเหลือ”
“ให้พวกเขาช่วยเหลืออย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ การคงอยู่ขอนางช่างน่าหวาดกลัวและแข็งแกร่งอยู่แล้ว เพราะเหตุใดถึงต้องขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ธรรมดาด้วย
“ข้าบอกไปแล้วว่าข้านั้นไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในโลกหล้าแห่งนี้ ข้าถูกช่วงชิงรอยแตกร้าวระหว่างช่องว่างแห่งกาลเวลาของชีวิตไปจึงหลบหนีออกมาได้ เดิมทีแล้วข้าควรจะตายไปแล้วเสียด้วยซ้ำ
ถึงแม้ว่าจะยังคงมีชีวิตอยู่ต่อมาได้ ทว่ากายเนื้อนั้นกลับได้รับความเสียหายอย่างหนักหนาสาหัส จึงจำเป็นที่จะต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน ข้าจึงจะสามารถกลับไปเป็นเช่นเดิมได้
และการที่ข้าจะกลับไปยังโลกของข้าได้นั้นจำเป็นต้องทำการบวงสรวงด้วยโลหิตและเนื้อที่เพียงพอเท่านั้น เพื่อที่จะเปิดช่องว่างของมิติออกแล้วเดินทางกลับไปยังโลกเดิมที่ข้าจากได้มา
เจ้าคงจะแปลกใจว่าเหตุใดข้าจึงไม่ออกไปล่าสิ่งมีชีวิตด้วยตัวเอง แต่กลับหยิบยืมกำลังของพวกเขาใช่หรือไม่” หญิงสาวล่วงรู้ถึงความคิดขอหลงเฉินได้ในทันที
“นั่นก็เป็นเพราะว่าเผ่าหลิงอย่างพวกเรานั้นมีข้อจำกัดของตัวเอง พวกเราไม่อาจใช้ความต้องการส่วนตัวของตัวเองไปเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตอื่นได้ ฉะนั้นพวกเราจึงไม่อาจสังหารพวกมันด้วยมือของตัวเอง”
“เป็นเพราะเหตุใด?”
“นี่เป็นผลเกี่ยวเนื่องมาจากความลับของพลังการฝึกยุทธ์ของพวกเราเผ่าหลิง ถ้าหากผู้ใดไปสังหารสิ่งมีชีวิตจนตายไปแล้วดูดซับโลหิตและเนื้อติดต่อกัน ก็คล้ายกับได้ดูดซับความเกลียดชังเข้ามาด้วย สิ่งนี้ไม่ต่างไปจากโอสถพิษที่ไร้ซึ่งโอสถถอนพิษอย่างหนึ่งเลยทีเดียว” หญิงสาวอธิบายออกมา
เมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องราวของหญิงสาวที่เป็นเสมือนเรื่องที่อยู่นอกเหนือความจริงไปแล้ว ทว่าหลงเฉินก็ยังสัมผัสได้ว่านางไม่ได้หลอกลวงเขา
บรรยากาศของพลังแห่งชีวิตอันบริสุทธิ์ได้ปกคลุมบนร่างกายของนางทำให้หลงเฉินบรรลุความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าเพราะเหตุอันใดนางจึงได้ร่วมมือกับบรรพบุรุษของเสี่ยวฮวา
“ท่านเองก็เป็นถึงยอดฝีมือที่มีพลังอย่างไร้ขีดจำกัด การบาดเจ็บของท่านในครั้งนี้ ข้าไม่ได้เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูเส้นลมปราณของท่านเท่านั้น ทว่ายังขยายเส้นลมปราณให้ด้วย ฉะนั้นท่านก็สามารถใช้พลังดั่งเดิมได้แล้วและยังมีเส้นลมปราณที่แน่นหนาขึ้นด้วย ค่ารักษาของท่านย่อมต้องมีราคาสูง” หญิงสาวกล่าวอธิบายออกมา
หลงเฉินเบิกดวงตาขึ้นมาจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า แท้ที่จริงแล้วก็เป็นเช่นนี้นี่เอง หลังจากที่เขาฟื้นคืนสติกลับมาได้ก็รู้สึกว่าร่างกายมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ส่วนหนึ่ง ทว่ากลับไม่อาจที่จะสังเกตได้
เมื่อได้ฟังจากฝีปากของหญิงสาวพลันดวงตาก็เกิดความร้อนรนขึ้นมาอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะเกิดความลิงโลดขึ้นมาภายในจิตใจอย่างถึงที่สุด เส้นลมปราณของเขาขยายขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัวอย่างนั้นเลยหรือ
ถ้าหากเส้นลมปราณของเขาทั้งเหนียวทั้งแข็งแรงประดุจหนังสัตว์ขึ้นมาแล้วนั้น คงจะสามารถแบกรับการทะลวงของพลังลมปราณได้อย่างมากมายมหาศาลเลยทีเดียว
กระนั้นหากได้ปะทะกับยิงฮวาอีกครั้ง แน่นอนว่าย่อมไม่จำเป็นที่จะต้องหวาดระแวงว่าเส้นลมปราณจะฉีกขาดอีกต่อไปแล้ว เมื่อเวลานั้นมาถึงเขาต้องสังหารยิงฮวาได้อย่างแน่นอน
“ต้องขอบคุณเป็นอย่างมาก” หลงเฉินกล่าวออกมาอย่างจริงใจ ทว่าเมื่อนึกถึงตอนที่ได้ยินเรื่องราวของหญิงสาวในครั้งแรกแล้วเดือดดาลขึ้นมานั้น ก็ทำให้เขารู้สึกละอายใจขึ้นมาไม่น้อยเลย เขาช่างเป็นคนที่มีจิตใจคับแคบเสียจริงๆ
หญิงสาวส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าวออกมาว่า “คนของเผ่าหลิงยึดถือเพียงคำมั่นสัญญาเท่านั้น ฉะนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า”
หลงเฉินยิ้มกว้างแล้วเอ่ยต่ออีกว่า “ข้าต้องการที่จะทราบอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อท่านได้รักษาข้าจนหายดีแล้ว ทว่าข้ากลับสะบัดก้นแล้วเดินจากไป จะเป็นเช่นไรกัน?”
ร่างกายของหญิงสาวขยับอย่างแผ่วเบาอยู่ครู่หนึ่งคล้ายกับกำลังหัวเราะอยู่ พลันก็ได้ส่ายหน้าไปมาแล้วตอบกลับมาว่า “ท่านไม่ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน พวกเราเผ่าหลิงมีการตอบสนองต่อผู้คนที่มีความคิดและจิตใจที่ดีงาม หากท่านเป็นคนที่ไม่รักษาสัจจะ ข้าย่อมต้องสัมผัสได้ตั้งแต่แรกและย่อมไม่ช่วยรักษาให้อย่างแน่นอน
หากท่านจากไปจริงๆ ก็ยังมีเหล่าผู้คนยินยอมจะทำภารกิจของท่านให้สำเร็จอยู่เช่นเดียวกัน หรือไม่ข้าเองก็อาจจะยกเลิกภารกิจก่อนหน้านี้ไปเสีย”
“เช่นนั้นท่านก็ขาดทุนแล้วไม่ใช่หรือ?” หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าว
“ช่างเถิด ไม่เป็นไร นี่คือกฎของเผ่าหลิง ทุกครั้งที่จะมีการสร้างข้อตกลงก็ย่อมต้องมีการจ่ายก่อนอยู่แล้ว” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เฉกเช่นบรรพบุรุษของคนในหมู่บ้าน?” ทันใดนั้นหลงเฉินก็นึกถึงเรื่องเล่าที่เสี่ยวฮวาได้เล่าให้ฟังเมื่อก่อนหน้านี้
“อือ นี่คือความเคยชินของพวกเรา”
ความเคยชินช่างเป็นสิ่งที่ดีมากเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหากหญิงสาวได้ไปอยู่ในโลกแห่งความจริงอย่างภายในจักรวรรดิ รับรองได้เลยว่านางจะต้องขาดทุนอย่างย่อยยับแน่นอน สิ่งที่นางกำลังกระทำอยู่นี้เรียกว่าเป็นการใช้ใจแลกใจอย่างหนึ่ง ในการทำข้อตกลงเช่นนี้ย่อมได้ผลลัพธ์ที่ดีเสียกว่าการเขียนหนังสือสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นมา
“ใช่แล้ว ท่านยังต้องการโลหิตและเนื้อของสัตว์มายาอีกมากเพียงใดกัน” เมื่อหลงเฉินกล่าวจบก็ได้นำร่างไร้วิญญาณของหมีกัมปนาทออกมาวางบนพื้น
ทันใดนั้นเองรากต้นไม้ที่วางเรียงรายอยู่บนพื้นก็ได้เสียบแทงเข้าไปในร่างของหมีกัมปนาทอย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งลมหายใจร่างของหมีกัมปนาทก็ได้ถูกสูบจนแห้งเ**่ยวลงไปไม่เหลือแม้แต่เศษกระดูก
หลังจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นนั้นได้ซึมซับร่างของหมีกัมปนาทเข้าไปแล้ว หลงเฉินก็เห็นว่าต้นไม้นั้นมีพลังชีวิตที่เข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งหญิงสาวก็มีใบหน้าที่มีชีวิตชีวามากขึ้นด้วย
“เพื่อที่จะรักษาอาการบาดเจ็บของท่านให้หายดี ร่างกายของข้าจึงได้รับความเสียหายไปจนถึงแกนหลัก ฉะนั้นข้าจึงจำเป็นจะต้องใช้สัตว์มายาระดับหนึ่งสิบตัวและสัตว์มายาระดับสองอีกหนึ่งตัวเพื่อให้พลังกลับคืนมาดังเดิม” หญิงสาวตอบข้อสงสัยภายในจิตใจของหลงเฉิน
“หากเป็นเช่นนี้ท่านก็ถือว่าไม่ได้กำไรเลยไม่ใช่หรือ?” หลงเฉินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงนสงสัย
หญิงสาวยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้ายังคงต้องขอใช้คำพูดเดิม ข้อตกลงย่อมต้องมีการมอบให้ก่อนอยู่แล้ว”
“เข้าใจแล้ว ข้าเองก็ไม่ชื่นชอบการติดค้างน้ำใจของผู้ใด อีกทั้งบุญคุณของท่านในครั้งนี้นั้นมากมายมหาศาล ข้าจะจดจำเอาไว้จนขึ้นใจ” หลงเฉินพยักหน้าไปมาแล้วกล่าว
หลงเฉินไม่ชื่นชอบการติดค้างน้ำใจของผู้อื่น ในทางกลับกันผู้คนที่ได้ช่วยเหลือเขามาก่อน เขาเองก็ย่อมต้องตอบแทนกลับคืนไปเป็นสิบเท่า เสมือนกับพวกเจ้าอ้วนและพวกพ้องของเขานั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เส้นลมปราณก็ได้ถูกขยายใหญ่ขึ้นมา ทำให้การฝึกยุทธ์ในวันข้างหน้าของเขาคงจะเป็นทักษะยุทธ์ที่มีระดับที่ลึกล้ำมากขึ้นไปได้อย่างแน่นอน สิ่งนี้จึงเป็นเสมือนพรที่สวรรค์มอบให้แก่เขาเลยก็ว่าได้
เมื่อการสนทนาของเขากับเทพแห่งพงไพรได้เสร็จสิ้นลงแล้ว หลงเฉินก็ได้ปลุกเสี่ยวฮวาที่นอนอยู่ข้างๆ แล้วพวกเขาก็ได้ออกไปจากอาณาเขตของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อกลับไปยังหมู่บ้าน
เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้าน เสี่ยวฮวาก็ได้กระโดดโลดเต้นไปมาพร้อมกับมือที่ถือหมูป่าอยู่ อีกทั้งยังเล่าถึงฉากที่หลงเฉินได้สังหารหมีกัมปนาทลงอย่างง่ายดาย รวมไปถึงการปรากฏตัวของเทพแห่งพงไพร จนทุกผู้คนที่ได้ยินได้ฟังเกิดอาการอ้าปากตาค้างกันไปจนหมดสิ้น
หลังจากที่ฟังจนจบแล้ว ผู้คนในหมู่บ้านต่างก็หันหน้าออกไปทางต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเทพแห่งพงไพรแล้วคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อทำการกราบไหว้ด้วยความเคารพนบนอบ
ด้วยข้อตกลงบางอย่างของหลงเฉินและเทพแห่งพงไพร หญิงสาวจึงยอมชดเชยให้แก่คนในหมู่บ้าน คืนวันนั้นพวกเขาต่างก็ได้กินเนื้อหมูป่าอย่างอิ่มหนำสำราญกันไปถ้วนหน้า
เสี่ยวฮวาเองก็เริ่มใช้แหวนมิติออกมาให้ทุกคนในหมู่บ้านได้ดู นางนำอาวุธออกมาแสดงจนทำให้ทุกคนเกิดความยินดีปรีดาขึ้นมาไม่น้อย
หลังจากทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว หลงเฉินก็ได้ปลีกตัวออกไปท่ามกลางความมืดมิดยามวิกาล เพื่อสะสางเรื่องราวอีกเรื่องหนึ่ง….