หลงเฉินปีนป่ายขึ้นไปยังยอดเขาลูกหนึ่งในยามค่ำคืนที่มีแสงจันทร์สาดส่องลงมา เขาปีนขึ้นไปจนสูงลิบจนสามารถมองเห็นทิวทัศน์นับร้อยลี้ได้โดยรอบ
หลงเฉินในตอนนี้ไม่ใช่หลงเฉินที่ถูกยิงฮวาไล่ล่าในตอนนั้นอีกแล้ว เขาไม่ได้ยึดติดกับเรื่องเช่นนั้นอย่างมากมายเหมือนเมื่อก่อน ที่มุ่งมายังยอดเขาแห่งนี้ก็เพื่อหาสถานที่ที่เหมาะสมแก่การฝึกยุทธ์ก็เท่านั้น
นับตั้งแต่ทางเข้าป่าแห่งนี้ หลงเฉินก็สัมผัสได้ถึงพลังลมปราณฟ้าดินที่เข้มข้นเสียยิ่งกว่าภายในจักรวรรดิอยู่หลายเท่าตัว เขาจำเป็นจะต้องหยิบยืมพลังจากสิ่งแวดล้อมเพื่อทะลวงเข้าสู่อีกขอบเขตหนึ่ง
หลังจากที่เขาได้ลอบสังหารเซี่ยฉางเฟิงและพบกับยิงฮวาที่ดักรออยู่ อีกทั้งยังต่อสู้กันจนหลงเฉินอยู่ระหว่างเส้นแบ่งของความเป็นความตาย ทำให้ภายในจิตใจของเขาเต็มไปด้วยความร้อนรนที่จะเพิ่มระดับพลังให้มากยิ่งขึ้น
เขารู้สึกได้ว่าพลังในร่างกายกำลังอยู่ในช่วงสุดปลายของขีดจำกัด นี่คงจะเป็นโอกาสอันดีที่จะทะลวงเข้าสู่อีกขอบเขตหนึ่งได้แล้ว
เมื่อขึ้นมาถึงยอดของหุบเขา หลงเฉินก็เห็นว่าบริเวณโดยรอบทั้งสี่ด้านต่างก็เป็นหน้าผาที่สูงชันด้วยกันทั้งนั้น เขาจึงไม่ต้องเกรงกลัวว่าจะมีสัตว์ร้ายเข้ามารบกวน จากนั้นเขาก็ทอดร่างนั่งลงบนโขดศิลาก้อนหนึ่งเพื่อเข้าสู่สมาธิแล้วทำการชักนำพลังหนุนทั้งสิบสองสายขึ้นมา
บรรยากาศโดยรอบเกิดการสั่นไหวขึ้นมาเป็นสาย ที่แผ่นหลังของหลงเฉินปรากฏพลังหมุนวนขนาดใหญ่ทั้งสิบสองสายขึ้นมา เส้นผ่าศูนย์กลางกว่าร้อยจั่งของมันช่างน่าหวาดกลัวจนเกินไปแล้ว
นี่เป็นการปะทุพลังขึ้นมาทั้งสิบสองสายเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผ่านมานี้ เพราะหลงเฉินเกิดความหวาดกลัวภายในจิตใจว่าจะทำให้ศัตรูทราบถึงการเคลื่อนไหวของเขา ทว่าเมื่อมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้แล้วก็วางใจได้ หลงเฉินปล่อยวางมือเท้าลงอย่างผ่อนคลายจากนั้นก็ใช้พลังทั้งหมดดูดซับพลังลมปราณฟ้าดิน
พลังหนุนทั้งสิบสองสายถูกเพิ่มพูนความรุนแรงขึ้นมาประดุจสัตว์ดุร้ายในตำนานทั้งสิบสองตนที่กำลังสูดสายน้ำอยู่อย่างไรอย่างนั้น การดูดซับพลังลมปราณฟ้าดินเป็นไปด้วยความดุเดือดไหลทะลักเข้าสู่จุดดารากักวายุที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของหลงเฉิน
“ตูม”
เวลาผ่านไปแค่สามชั่วยามที่จุดดารากักวายุของหลงเฉินก็ได้บังเกิดเสียงปะทุดังขึ้นมาสนั่นหวั่นไหว พลังลมปราณกำลังไปถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดแล้ว ทันใดนั้นเองหลงเฉินก็ได้เข้าสู่ขอบเขตขั้นต่อไป
ทว่าเขากลับไม่ได้ยินดีขึ้นมาแต่อย่างใด เพราะนี่ยังเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ยังคงต้องใช้เวลาอีกนานเพื่อเข้าสู่อีกระดับหนึ่ง ช่วงเวลาเช่นนี้จำเป็นจะต้องรอคอยและพยายามต่อไป
เมื่อรวมพลังจากพลังหนุนทั้งสิบสองสายขึ้นมาแล้วนั้น หลงเฉินก็คล้ายกับจะได้เรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของระดับพลังที่ยากเย็นของเคล็ดกายานวดาราอันผิดแผกไปจากระดับขั้นพลังปกติจนเกิดเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว
ตามปกติเมื่อผู้ฝึกยุทธ์ได้ทะลวงพลังขึ้นไปแล้วก็จะสามารถผ่านไปได้ขั้นเดียว หากมีพลังที่แข็งแกร่งมากขึ้นก็จะสามารถทะลวงได้หลายครั้ง ทว่าแม้จะเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์มากเท่าใดก็สามารถทะลวงพลังจากขั้นก่อรวมติดต่อกันได้แค่เก้าครั้งเท่านั้น
การทะลวงพลังของหลงเฉินได้เข้าสู่ระดับพลังก่อรวมระดับที่สิบสอง ซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องทะลวงนับพันครั้งขึ้นไปอย่างแน่นอน และการทะลวงในสองครั้งหลังก็แทบจะไม่ได้จดจำเลยว่าได้ทะลวงไปทั้งหมดกี่ครั้งแล้ว เพราะไม่ว่าอย่างไรก็จำเป็นจะต้องทะลวงต่อไปไม่หยุดอยู่ดี หลงเฉินจึงทำได้แต่เพียงทะลวงพลังไปเรื่อยๆ โดยไม่หยุดหย่อนก็พอแล้ว
ในช่วงแรกที่จุดดารากักวายุของหลงเฉินนั้นแทบจะไม่มีปฏิกิริยากลับคืนมาเลยแม้แต่น้อย ทว่าก็ยังคงดูดซับพลังลมปราณฟ้าดินอย่างต่อเนื่องเอาไว้มหาศาล
เมื่อหลงเฉินเพ่งสมาธิก็ยิ่งทำให้พลังลมปราณฟ้าดินหลั่งไหลเข้าสู่จุดดารากักวายุมากขึ้น ทำให้ภายในจุดดารากักวายุมีพลังหมุนวนอย่างดุเดือดอีกทั้งยังปะทุออกมาไม่ขาดสาย
ทว่าหลงเฉินกลับไม่สนใจการปะทุของพลังอันมหาศาลนั้นเลยแม้แต่น้อย เขายังคงดูดซับพลังลมปราณฟ้าดินเอาไว้จนเมฆาวายุแปรปรวน สายพลังยังเกิดขึ้นมาประดุจท้องมหาสมุทรนับร้อยสายแผ่ซ่านไปทั่วทุกสารทิศ
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปได้อีกสักพักหนึ่ง หลงเฉินที่กำลังจะออกไปจากยอดเขาสูงแห่งนั้นก็เหลือบมองไปที่ยอดต้นไม้ที่สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่งก็ได้เห็นร่างของหญิงสาวที่กำลังจดจ้องมา
“เป็นบรรยากาศที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าเผ่ามนุษย์จะมีคนที่สุดยอดถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองแล้วร่างเบาบางก็ค่อยๆ เลือนหายไป
จุดดารากักวายุของหลงเฉินเองเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรงไม่หยุดจนผ่านพ้นไปถึงวันที่สาม จุดดารากักวายุก็ค่อยๆ ไหลเวียนอย่างเชื่องช้าลงไปจนกระทั่งเงียบสงบลงจนหมดสิ้น ทันใดนั้นเองหลงเฉินจึงบังเกิดความยินดีขึ้นมาภายในจิตใจเป็นอย่างยิ่ง เขาได้เข้าสู่การทะลวงพลังที่แท้จริงแล้ว
“ตูม”
พื้นดินถูกสั่นสะเทือนด้วยพลังหนุนทั้งสิบสองสาย จากนั้นหลงเฉินก็ได้เบิกพลังขึ้นมาอีกจนปรากฏพลังหนุนสายที่สิบสามในที่สุด
หลังจากที่พลังหนุนทั้งสิบสามสายปรากฏออกมา ทั่วทั้งท้องนภาที่เคยทอประกายแสงแดดเจิดจ้าอยู่ก็ถูกเมฆหมอกสีทมิฬเข้าครอบงำในทันที อีกทั้งยังเกิดประกายสายฟ้าฟาดลงมาอยู่รุนแรง ความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุมบรรยากาศโดยรอบกว่าหมื่นลี้ “เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
หลงเฉินแตกตื่นขึ้นมายกใหญ่ เมื่อพบว่าท้องฟ้ามืดครึ้มกำลังก่อตัวเป็นวังวนขนาดใหญ่ขึ้นมาที่เบื้องหน้า และใจกลางของวังวนขุมนั้นก็กำลังเผชิญกับเขาอยู่
สิ่งนั้นคล้ายกับดวงตาขนาดใหญ่ของมารร้ายตนหนึ่งที่กำลังจ้องมองไปที่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ ในเวลาเดียวกันก็ได้แผ่ซ่านพลังทำลายอันน่าหวาดกลัวออกมาระลอกหนึ่งเข้ากดดันมาที่ร่างของหลงเฉินในทันที
จู่จู่ร่างกายของหลงเฉินก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ แม้แต่ดวงตาทั้งสองข้างก็ยังไม่อาจกรอกไปมาได้ ยิ่งทวีความแตกตื่นขึ้นมาจนเข้าสู่ห้วงแห่งความคิดอันว้าวุ่นอีกครั้ง
“นี่มันเรื่องบ้าบออันใดกัน?”
หลงเฉินด่าทออยู่ภายในจิตใจเสียยกใหญ่พลันก็ได้จ้องเขม็งไปยังหมอกสีทมิฬที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ และที่ใจกลางของมันก็ยังไม่หยุดสาดประกายสายฟ้าออกมา “ต้องการจะผ่ามาที่ข้าอย่างนั้นหรือ?”
ต่อให้หลงเฉินจะโง่งมมากกว่านี้ก็ยังพอเดาออกว่าอีกสักครู่ก็คงจะมีบางอย่างที่น่าหวาดกลัวผ่าแสกกลางลำตัวของเขาอย่างแน่นอน
ทว่าทั่วทั้งร่างกายกลับหนักอึ้งคล้ายกับถูกขุนเขาขนาดใหญ่กดทับเอาไว้อยู่อย่างไรอย่างนั้น พยายามที่จะหลบหลีกอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วแต่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอันใดเกิดขึ้นนอกเสียจากอาการสั่นเทา
“กร๊อบ”
ศิลาก้อนหนึ่งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของหลงเฉินได้ถูกทำลายจนแหลกละเอียดเป็นผุยผงปลิวว่อนไปกลางอากาศ แม้เดิมทีศิลาก้อนนี้จะมีขนาดใหญ่และหนาแน่นมาก ทว่าก็ยังไม่อาจทนรับพลังกดดันอันมหาศาลจากหลงเฉินได้
“นี่คือทัณฑ์จากสวรรค์ เจ้าหนีไม่พ้นหรอก จงผนึกพลังที่มีทั้งหมดเพื่อต้านทานเอาไว้เสียเถิด”
จิตใจของหลงเฉินเกิดความวิตกกังวลขึ้นมาอย่างถึงที่สุด จู่จู่เสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังกึกก้องอยู่ในโสตประสาทของเขา
“เทพแห่งพงไพร?”
หลงเฉินจดจำเสียงนั้นได้ดี เสียงของหญิงสาวที่มาจากดินแดนหลิงเจี่ย เห็นได้ชัดว่านางกล่าวขึ้นมาเพื่อดึงสติของเขา
ทัณฑ์จากสวรรค์? หลงเฉินปะทุความโกรธเคืองขึ้นมาอย่างไม่อาจอดกลั้นได้ ภายใต้ผืนฟ้ายังมีคนเลวอยู่อีกตั้งมากมาย เหตุใดพวกเจ้ากลับไม่ลงโทษไปที่คนพวกนั้น มาลงโทษข้าหาพระแสงอันใดกันเล่า?
ทว่าเสียงของหญิงสาวย่อมตักเตือนขึ้นมาด้วยความหวังดีอย่างแน่นอน หลงเฉินจึงพยายามปล่อยวางโทสะลงไป พลันก็ได้ลูบไปที่แหวนมิติแล้วชักกระบี่หนักออกมา จากนั้นก็ได้ไหลเวียนพลังขึ้นมาจนถึงขีดสุด
ที่ด้านหลังของหลงเฉินมีพลังหนุนอยู่ทั้งหมดสิบสามสายที่กำลังลอยวนเวียนอยู่ พลังอันเปล่งประกายทั้งสิบสามสายนั้นเกื้อกูลให้หลงเฉินดูเด่นชัดมากขึ้นประดุจจักรพรรดิของสวรรค์ลงมาจุติบนโลกมนุษย์แล้วมองกลับไปยังผืนฟ้าของตัวเองด้วยความเหยียดหยัน
หญิงสาวจ้องมองไปยังประกายแสงเจิดจ้าที่อยู่ในมือของหลงเฉินจากที่ที่ห่างไกลออกมา พลังหนุนทั้งสิบสามสายอันทรงพลังกำลังดำดิ่งเข้าสู่หนทางแห่งความนึกคิด
หลงเฉินก่อรวมพลังหนุนทั้งสิบสามสายขึ้นมาด้วยพลังลมปราณฟ้าดินที่ยังคงหลั่งไหลเข้ามาภายในร่างกายอย่างไม่หยุดยั้ง เส้นโลหิตที่ถูกหญิงสาวเสริมความแข็งแรงให้ก็สามารถรองรับพลังอันมหาศาลได้มากกว่าเดิมหลายเท่าตัว
เมฆหมอกสีทมิฬทั่วทั้งน่านฟ้าซ้อนทับกันจนหนาแน่นมากขึ้น ประกายแสงจากสายฟ้าฟาดทวีความลี้ลับมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ช่องวางระหว่างฟ้าดินเสมือนเป็นดินแดนมรณะแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นเองเมฆทมิฬเหล่านั้นก็ได้ทะยานตัวลงมาใกล้ร่างของหลงเฉิน วังวนตรงใจกลางแฝงเอาไว้ด้วยพลังทำลายล้างที่มีอานุภาพรุนแรงที่พร้อมจะผลาญทำลายฟ้าดินที่อยู่โดยรอบ
หลงเฉินมองไปที่สายอัสนีที่กำลังทอดตัวลงมา เขาสัมผัสได้ถึงเจตจำนงแห่งการทำลายล้างที่มีอยู่นับไม่ถ้วน พลันที่มือทั้งสองข้างก็ได้กุมกระบี่หนักเอาไว้
“เบิกสวรรค์”
“ตูม”
พลังทำลายล้างกวาดสิ่งต่างๆ โดยรอบให้เลือนหายไปเป็นวงกว้างภายในรัศมีรอบด้านของภูเขาสูงนับร้อยจั่ง สายอัสนีนั้นฟาดลงมายังยอดเขาทั้งลูกจนกลายเป็นพื้นที่ราบแห่งหนึ่ง
หลงเฉินกระอักโลหิตติดต่อกันถึงสามครั้ง ทั่วทั้งร่างคล้ายกับถูกแผดเผาจนสามารถสูดดมกลิ่นเนื้อบนร่างของตัวเองได้
เขาใช้พลังทั้งหมดที่มีอยู่โจมตีออกไป ทว่าพลังของเขากลับเป็นเพียงความเคลื่อนไหวของมดแมลงฝูงหนึ่งเท่านั้น คิดที่จะต้านทานการเหยียบย่ำของคชสารตัวหนึ่งก็คงจะยากยิ่ง
หลงเฉินเกิดความท้อใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด ภายใต้ประกายแสงเจิดจ้าของสายฟ้าที่อยู่เบื้องหน้าทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองช่างต่ำต้อยยิ่งนัก นี่เพิ่งจะทะลวงพลังขั้นก่อรวมขึ้นไปถึงระดับที่สิบสามแล้วเชียว ทว่ากลับไม่ได้ทำให้เกิดความเบิกบานใจได้เลยแม้แต่น้อย
“เจ้าทำได้ดีมาก”
ทันใดนั้นเองท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิดก็ได้กลับคืนสู่ความสว่างไสวราวกับว่าเมื่อครู่นี้เป็นเพียงแค่ความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น ร่างอันบางเบาของหญิงสาวปรากฏขึ้นมายังเบื้องหน้าของหลงเฉินในทันที
หลงเฉินที่กำลังจะกล่าววาจาออกมาก็เปลี่ยนเป็นการกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่งแทน กระบวนท่าเบิกสวรรค์นั้นทำให้ร่างกายของเขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างถึงที่สุด
หญิงสาวโบกมือข้างหนึ่งขึ้นมา จากนั้นหยดน้ำสีเขียวหยดหนึ่งก็ลอยเข้าไปยังฝีปากของหลงเฉิน กลิ่นอันหอมหวานของมันไหลผ่านลำคอลงไปจนถึงใจกลางของร่างกายอย่างรวดเร็ว จากนั้นอาการบาดเจ็บทั่วทั้งร่างก็ดีขึ้นมาในทันที
ผิวหนังที่เคยดำไหม้ก็ค่อยๆ หลุดลอกออก การฟื้นฟูกลับคืนมากว่าเจ็ดแปดส่วนแล้ว นี่เป็นการรักษาที่ลี้ลับเสียยิ่งกว่าโอสถรักษาอาการบาดเจ็บของเขาเสียอีก
“ไม่ต้องตกใจไป ทัณฑ์จากสวรรค์ในขั้นแรกเพียงต้องการจะทำลายคนที่มีเจตจำนงต่อฟ้าดิน หากเจ้ามีเจตจำนงที่ไม่มั่นคงเพียงพอ ทัณฑ์จากสวรรค์คงจะแผดเผาเจ้าไปจนถึงจิตวิญญาณแล้ว” หญิงสาวกล่าวขึ้นมา
“ทัณฑ์จากสวรรค์คือสิ่งใดกัน?” หลงเฉินถามออกมาอย่างกระอักกระอ่วน
“สิ่งนั้นคือเจตจำนงแห่งสวรรค์ โดยปกติแล้วมักจะเกิดกับผู้ที่ฝืนกฎแห่งสวรรค์ไป การเพิ่มพูนพลังขึ้นมาถือเป็นสิ่งที่มีไว้รับมือกับผู้ที่คิดจะทำลายกฎแห่งสวรรค์”
เมื่อหลงเฉินได้ฟังก็อดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ พลังนี้คุกคามไปถึงกฎแห่งสวรรค์เลยอย่างนั้นหรือ? แท้ที่จริงแล้วกำลังพูดถึงเคล็ดกายานวดาราอยู่หรืออย่างไรกัน?
“มีอยู่บางเรื่องที่แม้แต่ข้าเองก็ไม่อาจกล่าวไปมากกว่านี้ได้ ไม่เช่นนั้นจะต้องส่งผลกระทบต่อท่านอย่างแน่นอน ท่านพักผ่อนเพื่อผนึกพลังเอาไว้สักครู่เถิด ข้าขอตัวกลับก่อน”
หญิงสาวไม่รีรอที่จะให้หลงเฉินตอบรับ ทันทีที่กล่าวจบเงาร่างของนางก็กลายเป็นหมอกควันสายหนึ่งที่ค่อยๆ เลือนหายไป
หลงเฉินเหม่อมองไปยังหุบเขาที่กลายเป็นเพียงที่ราบ แล้วก็หันกลับไปมองยังผืนฟ้าที่ไร้ซึ่งก้อนเมฆราวกับว่าความหนักหน่วงเมื่อครู่นี้เป็นเพียงแค่ความฝันวูบหนึ่งเท่านั้น
เมื่อหวนนึกถึงอัสนีสายนั้น หลงเฉินก็ปลุกสมาธิขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีอัสนีบาตไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใดตะสามารถต้านทานเอาไว้ได้ ทว่าเพราะเหตุใดสิ่งนั้นถึงฆ่าเขาไม่ได้กัน?
หรือจะเป็นจริงอย่างที่หญิงสาวได้กล่าวออกมา ทัณฑ์จากสวรรค์ขั้นแรกเพียงมุ่งเป้ามาที่เจตจำนงของเขาเท่านั้น ถ้าหากเจตจำนงของเขาพังทลายไปก็คงจะต้องตายไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ส่วนลึกภายในจิตใจของเขาคือคิดจะหลบหนีจากทัณฑ์จากสวรรค์ไป ทว่าหญิงสาวได้เตือนสติเขาให้เขามีความหาญกล้าพอที่จะทานรับพลังนั้นเอาไว้ หากไม่ได้หญิงสาวเตือนสติเอาไว้ เกรงว่าเขาคงจะมอดดับด้วยความหวาดกลัวไปแล้ว
ในเวลาเดียวกันหลงเฉินก็ได้เข้าใจถึงเจตจำนงของความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ว่าเหตุใดถึงได้มีความสำคัญมากถึงเพียงนี้ แท้ที่จริงแล้วการฝึกยุทธ์ก็เหมือนกับเส้นทางที่ไร้การหวนคืนสายหนึ่งเท่านั้น
“พรึบ”
สภาพอากาศโดยรอบเกิดการสั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง หลงเฉินจึงได้ชักนำพลังหนุนทั้งสิบสามสายออกมาอีกครั้งด้วยเช่นกัน เขาต้องการดูว่าพลังหนุนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่
“อะ”
และเขาก็พบว่าพลังหนุนทั้งสิบสามสายยังคงมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่าร้อยจั่งดังเดิม ทว่าความแปลกใจได้เกิดขึ้นหลังจากที่ได้เจอกับทัณฑ์จากสวรรค์ ระหว่างพลังหนุนทั้งสิบสามสายคล้ายกับมีเส้นทางเชื่อมต่อกันขึ้นมาสายหนึ่งผนวกให้พลังทั้งหมดผสานรวมเข้าด้วยกัน
ขณะนี้พลังหนุนทั้งสิบสามสายกลายเป็นประกายแสงที่มีรูปร่างเป็นวงแหวนเพียงวงเดียว ไม่สามารถแบ่งแยกออกเป็นสายได้อย่างชัดเจนอีกต่อไปแล้ว ส่วนพลังลมปราณภายในพลังหนุนนั้นก็ได้ไหลเวียนวนกลับไปกลับมา
“หูว”
พลังหนุนทั้งสิบสามสายไหลเวียนพลังอย่างรวดเร็วเป็นวังวนขนาดใหญ่มหึมาที่คอยดูดซับพลังลมปราณแห่งฟ้าดินเอาไปอย่างบ้าคลั่ง
หลงเฉินเกิดความลิงโลดขึ้นมายกใหญ่ ด้วยการดูดซับพลังที่มหาศาลเช่นนี้ต่อให้เขาต้องต่อสู้กับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าหลายขั้นก็มีพลังลมปราณกักเก็บไว้มากมายจนใช้ไม่หมดไม่สิ้นอย่างแน่นอน
เมื่อหวนนึกถึงช่วงเวลาที่เขาและอาหมานได้ร่วมกันต่อสู้กับยิงฮวานั้นเป็นเพราะสูญเสียพลังมากเกินไปจนไม่อาจชักนำพลังลมปราณมาใช้ได้เพียงพอจึงไม่สามารถทานรับยิงฮวาได้นานนัก ทว่าตอนนี้พลังหนุนทั้งสิบสามสายก็ได้เชื่อมต่อกันแล้วจึงไม่จำเป็นที่จะต้องพะวงเรื่องปริมาณของพลังลมปราณอันเคยเป็นปัญหาใหญ่อีกต่อไปแล้ว
หลงเฉินลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ พลันก็เข้าสำรวจทั่วทั้งร่างกายของตัวเอง ทันใดนั้นดวงตาคู่คมทั้งสองข้างก็เบิกกว้างขึ้นมาอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้….