เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 90 การมาเยือนของเสี่ยวเสว่ย

ผู้คนในหมู่บ้านต่างก็ถือหอกยาวมารวมตัวกันใกล้บ้านไม้หลังหนึ่ง แทบจะทั้งหมดมีสีหน้าร้อนรนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังบริเวณเดียวกันที่ตรงเบื้องหน้า

หมาป่าตัวเล็กราวสามเซียะตัวหนึ่งปรากฏตัวอยู่ที่เบื้องหน้าของพวกเขา ตลอดทั่วทั้งร่างของมันแผ่รังสีความดุร้ายออกมากดดันผู้คนโดยรอบจนทำให้เกิดบรรยากาศอันหนาวเหน็บถาโถมเข้ามา

ดวงตากลมโตของมันสาดประกายความเยือกเย็นออกมาอย่างถึงที่สุด มันแยกเขี้ยวคล้ายกับกำลังกระหายเนื้ออยู่ แม้ว่าคนในหมู่บ้านล้วนเป็นนักล่าที่ออกล่าสัตว์มายามาแล้วหลายปี ทว่าก็ยังต้องขนตัวลุกชันขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว ราวกับว่าเจ้าหนูน้อยตัวนี้ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าสัตว์มายาทั่วไปที่พวกเขาพบเจอมาเสียอีก

เสียงโหวกเหวกโวยวายดังสนั่นไปทั่วหมู่บ้าน เมื่อเจ้าหนูน้อยตัวนี้สามารถเล็ดลอดเข้ามาภายในหมู่บ้านที่มีกับดักพิษอยู่โดยรอบได้อย่างปลอดภัย หากเป็นสัตว์ปกติคงจะหลบหนีไปแล้ว อีกทั้งมันยังเป็นถึงสัตว์มายาที่ย่อมต้องดุร้ายมาตั้งแต่กำเนิดแล้ว ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่อาจอยู่อย่างเป็นสุขได้โดยเด็ดขาด

เมื่อสัตว์มายาตัวนี้สามารถเข้ามาได้อย่างไร้กังวล มันจึงตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งหมู่บ้าน พวกเขาเริ่มกระจายตัวห้อมล้อมไปยังร่างขนาดสามเซียะของหมาป่าเพื่อจัดการมันให้ทันท่วงทีเสียก่อนที่มันจะทำร้ายผู้คน

“หยุดก่อน”

เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังของพวกเขา จากนั้นก็มีเงาร่างสายหนึ่งลอยละล่องเข้ามาประดุจเหยียบสายลมเหินอากาอย่างไรอย่างนั้น แล้วก็ได้โอบอุ้มไปที่ร่างของสัตว์มายาที่ดุร้ายตัวนั้นเข้าไปไว้ในอ้อมอกทันที

เงาร่างสายนั้น ก็คือหลงเฉินนั่นเอง เขาไม่อาจเชื่อสายตาของตัวเองได้เลยว่าสัตว์มายาตัวนี้จะเป็นเสี่ยวเสว่ย ซึ่งในเวลานี้มันเติบใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม ทว่าขนสีขาวโพลนของมันกลับเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนตมสีดำ อีกทั้งยังส่งกลิ่นคาวตลบอบอวนไปหมด

อีกทั้งยังมีบาดแผลไม่ต่ำกว่าสิบแห่งตลอดทั้งร่างกาย บางแห่งก็ยังมีโลหิตไหลซึมออกมาอยู่ และสองสามบาดแผลก็สามารถมองเห็นถึงกระดูกได้เลย ช่างน่าตกใจยิ่งนัก

“โบร๋วโบร๋ว……”

เมื่อเสี่ยวเสว่ยเห็นหลงเฉินก็ได้ส่งเสียงครางออกมาอย่างแผ่วเบา ความดุร้ายภายที่เคยปรากฏอยู่ในดวงตาก็ได้สลายหายไปจนหมดสิ้น กลายเป็นความรักและความอบอุ่นเข้ามาแทนที่ แล้วก็ใช้หัวคลอเคลียไปมาอย่างรักใคร่ที่คางของหลงเฉิน

ผู้คนในหมู่บ้านแตกตื่นตกใจขึ้นมาเป็นอย่างมากเมื่อเห็นหลงเฉินอุ้มสัตว์มายาที่แสนจะดุร้ายตัวนั้นอย่างไม่เกรงกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นเลย

เจ้าหมาป่าตัวนั้นเป็นถึงสัตว์มายาเชียวนะ? อีกทั้งรอบตัวของมันยังมีขุมพลังต่อสู้แผ่ซ่านออกมาอย่างเข้มข้นคล้ายกับสัตว์มายาที่โตเต็มวัยแล้วอย่างไรอย่างนั้น แม้ตัวของมันจะยังเล็กอยู่ทว่าพลังการจู่โจมช่างแข็งแกร่งเกินกว่าสัตว์ป่าทั่วไปหลายเท่านัก

ยิ่งน่าตกใจมากขึ้นไปอีกก็คือสัตว์มายาตัวนั้นเป็นสัตว์มายามาจากแห่งหนใดกัน เหตุใดจึงได้กลับกลายเป็นเพียงสุนัขตัวน้อยเมื่ออยู่ภายในอ้อมอกของหลงเฉินไปได้

“เสี่ยวเสว่ย ลำบากเจ้ามากเลยทีเดียว” หลงเฉินกวาดสายตามองไปยังบาดแผลบนร่างกายของเสี่ยวเสว่ย ก็อดสะอื้นไห้ขึ้นมาไม่ได้

ไม่รู้ว่าเป็นอาหมานที่ลืมเลือนเสี่ยวเสว่ยไป หรือว่าเป็นเสี่ยวเสว่ยที่แอบหนีออกมาด้วยตัวเองก่อนแล้วทำการหยิบยืมสัญชาตญาณพิเศษของหมาป่าออกตามกลิ่นของผู้เป็นนายจนมาถึงยังสถานที่แห่งนี้ได้

ทว่าเส้นทางที่หลงเฉินได้จากมานั้นช่างยาวไกลนับพันลี้ได้ อีกทั้งยังมีสัตว์ป่าและสัตว์มายามากมายนับไม่ถ้วนที่อาจสร้างอันตรายได้รอบด้าน เห็นได้ชัดว่าตลอดทางมานี้เสี่ยวเสว่ยได้ประสบพบเจอกับอุปสรรคที่อันตรายมานับไม่ถ้วนด้วยเช่นกัน

ครั้งสุดท้ายที่เขาอยู่กับเสี่ยวเสว่ย มันมีขนาดตัวที่ยาวเพียงหนึ่งเซียะกว่าเท่านั้น ทว่าในตอนนี้กลับเติบโตขึ้นมาเป็นสามเชียะกว่าได้แล้ว ตลอดรายทางมานี้มันคงจะพึ่งพาตัวเองเป็นอย่างมากในการสังหารสัตว์ป่าแล้วกัดกินพวกมันจนทำให้เติบใหญ่ขึ้นมาถึงเพียงนี้

“โบร๋วโบร๋ว……”

เสี่ยวเสว่ยยังคงคลอเคลียหลงเฉินอย่างรักใคร่คล้ายกับกำลังปลอบประโลมความรู้สึกของหลงเฉินอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะกล่าวออกมาเป็นวาจาไม่ได้ ทว่าด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณของหลงเฉินที่เชื่อมถึงมันก็สามารถเข้าใจความรู้สึกของกันและกันได้

ยิ่งเจ้าตัวน้อยกระทำเช่นนั้นออกมายิ่งทำให้หลงเฉินละอายแก่ใจมากขึ้นไปอีก เขาพยายามอดกลั้นความเจ็บปวดใจเอาไว้ จากนั้นเขาก็อุ้มเสี่ยวเสว่ยไปทักทายผู้คนโดยรอบ พลางบอกกล่าวต่อพวกเขาว่าหมาป่าตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงของเขา ชาวบ้านจึงคลายความกังวลลงไปได้

หลงเฉินอุ้มเสี่ยวเสว่ยกลับมาที่บ้านไม้หลังหนึ่ง พลันก็ได้ตรวจดูบาดแผลของมันอย่างละเอียด มีทั้งรอยเขี้ยว รอยกรงเล็บ นี่คงจะเป็นรอยแผลจากการถูกสัตว์ป่าตัวอื่นทำร้ายมาอย่างแน่นอน

ที่ขาหลังข้างหนึ่งของมันมีอาการบวมเต่งขึ้นมามากกว่าปกติ อีกทั้งยังลุกลามเป็นแผลเน่าเปื่อยที่ส่งกลิ่นเหม็นสาบออกมา นอกเหนือจากนั้นก็เป็นบาดแผลเล็กที่มีโลหิตซึมไหลออกมาบ้างเท่านั้น

ขาที่บวมขึ้นมานั้นคงจะเป็นรอยเขี้ยวของงูพิษที่ฝังจมลึกลงไป ทว่ายังดีที่ร่างกายของเสี่ยวเสว่ยมีแกนผลึกอันแข็งแกร่งที่สามารถต้านทานพิษร้ายแรงเช่นนี้เอาไว้ได้ หากเปลี่ยนเป็นสัตว์ป่าตัวอื่น ก็คงจะหมดลมหายใจไปตั้งแต่แรกแล้ว

เมื่อตรวจดูบาดแผลทั้งหมดแล้ว หลงเฉินก็นำเสี่ยวฮวาไปชำระล้างร่างกายด้วยน้ำผสมโอสถเม็ดหนึ่ง หลังจากที่โอสถได้ละลายไปทั้งหมดแล้วเขาก็เริ่มทำความสะอาดบาดแผลให้แก่เสี่ยวเสว่ยอย่างระมัดระวัง

บาดแผลบนตัวของเสี่ยวเสว่ยนั้นมีมากจนเกินไป มีอยู่หลายแห่งที่กลายเป็นแผลเน่าเปื่อยไปแล้ว โดยเฉพาะอุ้งเท้ของมันที่มีเนื้อส่วนหนึ่งกำลังถูกกัดกินไปถึงแกนกระดูก ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องตัดทิ้ง

เสี่ยวฮวาที่ยืนมองหลงเฉินกำลังล้างแผลให้กับเสี่ยวเสว่ยอยู่นั้นก็อดขนลุกขึ้นมาไม่ได้ โดยเฉพาะตอนที่เห็นหลงเฉินใช้มีดสั้นกรีดเนื้อที่ขาและอุ้งเท้าของมันออกอย่างช้าๆ

ไม่ว่าจะถูกล้างบาดแผลหรือว่าตัดชิ้นเนื้อที่เน่าเปื่อยออกไปอย่างไร เสี่ยวเสว่ยก็ไม่ส่งเสียงร้องออกมาเลยแม้แต่น้อย มีเพียงร่างกายที่สั่นเทาจากความเจ็บปวดเท่านั้น

หลังจากเวลาได้ผ่านล่วงเลยไปกว่าครึ่งชั่วยาม หลงเฉินก็นำเสี่ยวเสว่ยขึ้นมาจากน้ำ เช็ดตัวให้แห้งอย่างแผ่นเบา แล้วทาโอสถไปทั่วทั้งร่างกายของเจ้าหนูน้อยอีกครั้ง จากนั้นก็พันผ้าพันแผลก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการการรักษาแล้ว เสี่ยวฮวาที่ดูอ่อนล้าโรยแรงก็ได้ทิ้งตัวลงนอนที่ข้างกายของหลงเฉินไปในทันที

หลงเฉินจ้องมองไปยังร่างของเสี่ยวฮวาที่เหมือนกับกำลังหนักอึ้งอยู่ข้างกายของเขา ก็ได้ยิ้มกว้างขึ้นมาอย่างอบอุ่นแล้วอุ้มเจ้าหนูน้อยไปวางไว้บนเตียงนอน พลันก็ได้ใช้มือใหญ่ข้างหนึ่งลูบไปที่หัวของมัน

“มันเป็นสหายของข้า เจ้าไม่ต้องกังวลไป”

เสี่ยวฮวามองไปยังหมาป่าตัวน้อยที่หลับสนิทอยู่บนเตียงนอนของนาง แล้วก็ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับกล่าวออกมาว่า “เมื่อครู่นี้มันทำให้ข้าตกใจแทบตายแล้ว มนุษย์กับสัตว์มายานั้นเป็นสหายกันได้หรือหรือ”

หลงเฉินยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “บางเวลามนุษย์ยังน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์มายาเหล่านี้เสียอีก ไม่เช่นนั้นแล้วเหล่าบรรพบุรุษของพวกเจ้าคงจะไม่หลบหนีมาจนถึงที่แห่งนี้หรอกกระมัง

อีกทั้งก่อนที่เหล่าสัตว์มายาจะทำการจู่โจมมนุษย์ โดยมากแล้วมันมักจะเปิดเผยตัวก่อน เพื่อให้เจ้าไปเตรียมการระวังภัย ทว่าหากเปลี่ยนเป็นมนุษย์แล้วเจ้าแทบไม่อาจได้รับชัยชนะได้เลย กว่าจะรู้ตัวว่าต้องระวังป้องกันเอาไว้ก็ถึงคราวที่อันตรายเข้ามาจวนตัวหรือเมื่อนั้นเจ้าอาจจะตายไปแล้ว

ด้วยเหตุนี้บรรพบุรุษของพวกเจ้าจึงหลบหนีมายังสถานที่แห่งนี้ สถานที่ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นอันตราย ทว่าความจริงแล้วกลับปลอดภัยเสียยิ่งกว่าที่ที่พวกเขาเรียกว่าบ้านเมือง ฉะนั้นการที่ไม่อาจพบเห็นอันตรายได้จึงเป็นสิ่งที่อันตรายมากที่สุดแล้ว”

เสี่ยวฮวาฟังไปก็ฉงนสงสัยไป เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้เข้าใจในความหมายที่หลงเฉินพูดออกมาเลย ทว่าก็จับใจความได้ว่าเขากำลังกล่าวชื่นชมต่อบรรพบุรุษของตัวเองอยู่ จึงอดเบิกบานใจขึ้นมาไม่ได้

“หวังว่าหลังจากที่พวกเรามีทารกด้วยกันแล้ว เขาจะฉลาดเฉลียวและกล้าหาญเฉกเช่นเดียวกับเจ้านะ หากเป็นเช่นนั้นจริงขาคงจะกลายเป็นผู้ที่มีความสามารถที่สุดของหมู่บ้านได้อย่างแน่นอน” เสี่ยวฮวากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว

วาจาของนางทำให้หลงเฉินอึ้งไปชั่วครู่หนึ่ง ทว่าเมื่อมองไปยังใบหน้าที่เบิกบานจนแทบจะโบยบินขึ้นไปบนฟากฟ้าของเสี่ยวฮวาแล้ว เขาก็ได้แต่ยิ้มขึ้นมาอย่างขมขื่น คาดว่านังหนูคนนี้คงจะไม่ทราบว่าการจะมีทารกคนหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากเพียงใด ต้องใช้กระบวนท่าที่ยากลำบากและสูงส่งจึงจะสามารถสร้างทารกขึ้นมาได้

เสี่ยวฮวาช่างเป็นเด็กน้อยที่ไร้เดียงสานางหนึ่ง ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะชื่นชอบนิสัยที่เปิดเผยจริงใจของนาง ทว่ากลับไม่ใช่ความรู้สึกรักใคร่ระหว่างหญิงชายที่เป็นคู่รักกัน

บัดนี้เขากำลังคิดตรึกตรองอยู่ว่าจะสามารถแอบออกไปจากหมู่บ้านแห่งนี้ได้อย่างไร ถึงแม้ว่าการกระทำเช่นนี้จะทำร้ายจิตใจของเสี่ยวฮวาเป็นอย่างมาก ทว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ และเขาจะต้องรีบไปแล้ว

และก่อนที่จะจากไปคงจะต้องตอบแทนน้ำใจของพวกเขาก่อน ด้วยการออกไปล่าสัตว์เพื่อนำไปเซ่นไหว้ต่อเทพแห่งพงไพร จากนั้นก็บอกต่อเสี่ยวฮวาถึงวิธีการใช้เงินทอง

เงินทองที่อยู่ในแหวนมิติวงนั้นมีมากถึงร้อยหมื่นตำลึงทอง เขาจำเป็นที่จะต้องให้นางเรียนรู้การใช้สอยเงินทองอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะการชักนำผู้คนจนเกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมา

เมื่อพวกเขาทราบถึงวิธีการใช้เงินและแหวนมิติก็จะสามารถจัดเก็บสิ่งของต่างๆ นานาไว้ใช้ได้แล้ว อีกทั้งยังกักตุนอาการให้คนทั้งหมู่บ้านเอาไว้ได้ถึงหนึ่งปีเต็มเลยทีเดียว

รุ่งเช้าของวันที่สอง เสี่ยวเสว่ยมีร่างกายที่แข็งแรงและดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเมื่อวาน จึงทำให้คนในหมู่บ้านต่างก็เกิดความระแวงขึ้นมายกใหญ่ กลัวว่ามันจะมีพลังแรงกล้าแล้วทำร้ายพวกเขา  ทว่าเสี่ยวเสว่ยกลับเอาแต่ตามติดอยู่ข้างกายของหลงเฉินตลอดเวลา จนพวกเขาเขาใจได้อีกครั้ง อีกทั้งยังเห็นว่าเสี่ยวเสว่ยนั้นเชื่องเป็นอย่างมาก

มีเด็กเล็กเด็กน้อยหลายคนพยายามแอบเข้ามาใกล้เสี่ยวเสว่ยเพื่อที่จะเล่นมันหมาป่าน้อยตัวนี้ โดยที่ไม่ฟังคำตักเตือนและห้ามปรามจากบิดามารดาของพวกเขาเลย

เสี่ยวเสว่ยไม่ได้สนใจที่จะเล่นกับเด็กเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย มันรอให้เด็กกลุ่มนั้นเดินเข้ามาใกล้เพียงหนึ่งเซียะเท่านั้น แล้วจู่จู่มันก็หันไปมองที่พวกเขาครั้งหนึ่ง

สายตาพิฆาตกวาดมองไปยังเด็กน้อยเพียงครู่เดียวก็ทำให้พวกเขาตกใจจนขนหัวลุกชันขึ้นมาอย่างยิ่ง คิดว่าเสี่ยวเสว่ยจะเขมือบพวกเขาเข้าไป จึงอ้าปากร้องตะโกนขอความช่วยเหลือกันเสียงดังเซ็งแซ่ บางคนก็รีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วจนล้มลงกับพื้น บ้างก็ร้องไห้เสียงดังระงมไปทั่วทั้งบริเวณ

พวกผู้ใหญ่ก็ต่างเอาแต่มองดูเท่านั้น หลงเฉินเองก็เอาแต่ส่งเสียงหัวเราะออกมาเสียงดัง พลันก็ได้ลูบไปที่ลำตัวของเสี่ยวเสว่ยอย่างเอ็นดู

เมื่อพบว่าเสี่ยวเสว่ยเพียงแต่ถลึงตาใส่พวกเขาเท่านั้น กลุ่มเด็กน้อยที่เคยตกใจจนร้องไห้ออกมาแทบจะพลิกฟ้าถล่มแผ่นดินไปนั้นก็อดหัวเราะดับความบ้าบอของตัวเองไม่ได้

นี่เป็นครั้งแรกที่มีสัตว์มายาเข้ามาอยู่ร่วมกับคนในหมู่บ้าน ไม่เพียงแต่เหล่าเด็กน้อยที่ตกใจเท่านั้น  ทว่าแม้แต่ผู้ใหญ่เองก็รู้สึกแปลกประหลาดใจขึ้นมาไม่น้อยด้วยเช่นกัน

“หลงเฉิน เจ้านี่เป็นสัตว์มายาอันใดกัน?” หญิงสาวผู้หนึ่งมองมาที่เสี่ยวเสว่ย แล้วถามออกมา “หมาป่าหิมะแดงเพลิง เมื่อมันโตเต็มวัยแล้วจะกลายเป็นสัตว์มายาระดับสาม” หลงเฉินตอบกลับไปในทันที

“สาม……ระดับสาม?”

เสียงจากฝีปากของผู้คนมากมายดังขึ้นมาพร้อมกัน อีกทั้งยังบังเกิดอาการใจเต้นระรัวขึ้นมาภายในอก ใบหน้าของพวกเขาดูในท่าทางปากอ้าตาค้างอย่างเห็นได้ชัด

พวกเขาเคยได้ยินแต่เรื่องเล่าของสัตว์มายาระดับสองจากผู้เฒ่าเท่านั้น ซึ่งสัตว์มายาระดับสองนั้นเรียกได้ว่าพบเจอได้ยากเป็นอย่างยิ่งแล้ว เมื่อร้อยกว่าปีก่อนที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้เข้ามายังภูเขาลูกนี้ก็บังเอิญพบเจอกับสัตว์มายาระดับสองตัวหนึ่ง

แม้ว่าพวกเขาจะมีนักล่าอยู่ด้วยกันทั้งหมดสามสิบกว่าคน ทว่าก็มีเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้นที่หนีรอดกลับมาได้ ส่วนคนอื่นนั้นต่างก็ตายไปจากการต่อสู้กับสัตว์มายาระดับสองตัวนั้น จึงถือเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของหมู่บ้าน

นับตั้งแต่กาลครั้งนั้นเป็นต้นมาคนในหมู่บ้านแห่งนี้จึงไม่กล้าย่างกรายเข้าไปยังป่าลึกของภูเขาลูกนั้นอีกเลย และยังกำชับต่อๆ กันมาว่าอย่าได้เข้าไปสำรวจภูเขาลูกนั้นตลอดไปอีกด้วย

ในช่วงเวลาที่เทพแห่งพงไพรต้องการสิ่งตอบแทนเป็นสัตว์มายาระดับสองตัวหนึ่ง พวกเขาต่างก็นึกถึงสัตว์มายาระดับสองในตำนานที่ทำให้หมู่บ้านเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่หลวงนั้นขึ้นมา

ความหวาดกลัวเข้าครอบงำความคิดของพวกเขาในทันที ทว่าเสี่ยวฮวามีความปรารถนาที่จะช่วยเหลือหลงเฉินเอาไว้ให้จงได้ จึงกำชับกับหลงเฉินว่าเมื่อเขาหายดีแล้วให้ร่วมมือกับทุกคนในหมู่บ้านออกไปสังหารสัตว์มายาระดับสองด้วยกัน

ทว่าอย่างไรก็ตามสัตว์มายาระดับสองก็ยังเป็นเหมือนกับฝันร้ายของพวกเขาอยู่ อีกทั้งหมาป่าตัวน้อยที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าของพวกเขาในตอนนี้กลับน่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าสัตว์ป่าทั่วไปเสียอีก แล้วพวกเขาจะมีจิตใจไปต่อกรกับพวกมันได้อย่างไรกัน

หลังจากที่ทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว หลงเฉินก็ได้ถามบางอย่างกับเฒ่าชราผู้หนึ่ง “หัวหน้าหมู่บ้าน ข้าอยากจะถามบางอย่างสักหน่อย ในแถบนี้มีสัตว์มายาระดับสองอยู่แห่งใดบ้าง?”

เฒ่าชราผู้นั้นมีสีหน้ากังวลขึ้นมาในทันที “เจ้าคิดที่จะ……”

“อือ ข้าจะไปสังหารสัตว์มายาระดับสองเพื่อตอบแทนบุญคุณของเทพแห่งพงไพรเอาไว้แต่เนิ่นๆ  ข้าไม่ชอบการติดค้างอันใดต่อผู้ใดทั้งนั้น” หลงเฉินพยักหน้าพร้อมกับกล่าวออกมา

เมื่อผู้คนทั้งหมู่บ้านได้ยินคำกล่าวของหลงเฉินต่างก็แตกตื่นกันยกใหญ่ บางคนทอแววตาเป็นประกายขึ้นมาคล้ายกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง

“เด็กเอ๋ย แน่นอนว่าข้าทราบถึงบริเวณที่มีสัตว์มายาระดับสองอยู่ ทว่ามันยากเกินไปที่จะต่อกรด้วย” เฒ่าชรากล่าวออกมาด้วยความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใย

“โปรดวางใจได้ ข้าหายดีแล้ว หากเป็นสัตว์มายาระดับสองโดยทั่วไปแล้วคงจะไม่เป็นปัญหาอันใดกับข้าเลยแม้แต่น้อย” หลงเฉินยิ้มน้อยๆ แล้วตอบกลับไป

ต่อให้เขายังไม่ได้ทะลวงเข้าสู่พลังขอบเขตก่อโลหิต สัตว์มายาระดับสองก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี ยิ่งในขณะนี้เขาได้เข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังไม่ใช่ก่อโลหิตขั้นที่หนึ่งเสียด้วยซ้ำไป  ทว่าหยาดโลหิตในร่างกายกลับไหลเวียนไปมาด้วยตัวของมันเอง และในทุกครั้งที่เขาสูดลมหายใจเข้าออกก็สัมผัสได้ว่าหยาดโลหิตได้เพิ่มระดับความเข้มข้นขึ้นจนพลังเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างมหาศาลไปด้วย

หลงเฉินจึงใคร่ที่จะออกไปจัดการกับสัตว์มายาระดับสองเพื่อทดสอบพลังที่เพิ่งได้มาเมื่อไม่นามานี้ อีกทั้งยังต้องการทราบว่าลี้ลมของเขานั้นจะสามารถใช้ออกมาได้กี่รูปแบบกันแน่

เมื่อเห็นว่าหลงเฉินยังคงยืนยันเสียงแข็งออกมา เฒ่าชราจึงกัดฟันตอบออกไปว่า “ได้ ขอให้ผู้กล้าทั้งหมู่บ้านมารวมตัวกันให้หมด พร้อมทั้งตระเตรียมอาวุธที่ดีที่สุดออกมาด้วย พวกเราจะไปไล่ล่าเจ้าสัตว์นรกตัวนั้นเพื่อเป็นการแก้แค้นให้แก่บรรพบุรุษของพวกเรา”

“ได้”

เหล่านักล่าทั้งหมดต่างก็ขานรับออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นก็ได้แยกย้ายกันกลับเข้าไปในบ้านของตัวเอง แล้วกลับออกมาพร้อมอุปกรณ์ยุทธ์และสิ่งของจำเป็นต่างๆ นานา

“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านได้รบกวนทุกคนมากเกินไปแล้ว ท่านเพียงระบุตำแหน่งของมันให้แก่ข้าก็พอแล้ว ข้าจะไปด้วยตัวคนเดียวเท่านั้น” หลงเฉินกระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา

“อะไรกัน?”….

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset