เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 94 เร่งด่วน

หลงเฉินฉุดกระชากลากดึงขุนนางหมานฮวงมาตลอดทางนับหลายสิบลี้ ก่อนจะผลักร่างกึ่งตายนั้นลงกับพื้นจนขุนนางหมานฮวงที่บาดเจ็บสาหัสอยู่นั้นก็ได้กระอักโลหิตออกมาคำโต

ก่อนหน้านี้เขาถูกหลงเฉินใช้ลูกศรตรึงอยู่บนต้นไม้ด้วยพลังอันมหาศาลของชายหนุ่มก็ได้ทำลายอวัยวะภายในของเขาไปเกือบทั้งหมด ทว่าเขาเป็นยอดฝีมือพลังขอบเขตก่อโลหิตผู้หนึ่ง ฉะนั้นโลหิตภายในร่างกายยังคงหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อได้อยู่ทำให้เขารอดตายได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

“โจวฉางชิง เจ้าว่าข้าควรจะฆ่าเจ้าอย่างไรดี?”

หลงเฉินจ้องเข้าภายในดวงตาของขุนนางหมานฮวงผู้ที่เป็นถึงยอดฝีมือที่มีศักดินาเป็นโหวเยว่ผู้หนึ่ง พร้อมทั้งกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

หากเป็นเพียงความแค้นส่วนตัวระหว่างเขาและโจวฉางชิง เขาคงจะรวบรัดชีวิตของชายผู้นี้ไปแล้ว ทว่าตอนนี้เขาไม่ทราบว่าควรจะฆ่าโจวฉางชิงอย่างไรจึงจะสามารถลดทอนโทสะที่อยู่ภายในจิตใจของเขาได้

“หลง……หลงเฉิน อย่าได้ฆ่าข้าเลย ข้าจะบอกท่านถึงความลับทุกอย่างที่ข้ารู้ ขอเพียงท่านปล่อยข้าไปสักครั้ง ข้านั้นถูกบีบบังคับให้กระทำเช่นนี้”

จู่จู่ขุนนางหมานฮวงก็เกิดรักตัวกลัวตายขึ้นมาในทันที มีเพียงโอสถของหลงเฉินเท่านั้นที่จะสามารถช่วยชีวิตเขาเอาไว้ได้

“เจ้าจะมาอ้อนวอนในเวลาเช่นนี้นั้นจะมีความหมายอย่างไรกัน? ข้าทราบแล้วว่าแผนการทั้งหมดนี้เป็นขององค์ชายสี่ ฉะนั้นเมื่อข้ากลับไปยังจักรวรรดิ เรื่องราวทั้งหมดก็จะกระจ่างขึ้นมาเอง เหตุใดต้องรับฟังเสียงคร่ำครวญของเจ้าด้วย” หลงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ไม่ได้ ไม่ได้ เรื่องราวไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ท่านคาดคิดเอาไว้ ขอเพียงท่านสัญญาว่าจะปล่อยข้าไป รับรองว่าท่านจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน” ขุนนางหมานฮวงรีบกล่าวขึ้นมาอย่างร้อนรน

หลงเฉินจึงตอบรับความปรารถนาออกไปว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็บอกมา หากสิ่งนั้นสามารถช่วยเหลือข้าได้ ข้าก็จะไม่สนใจชีวิตของเจ้าอีก”

ขุนนางหมานฮวงเกิดความยินดีขึ้นมายกใหญ่ แล้วก็กล่าวขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า “ในตอนนี้คนในตระกูลของท่านถูกจองจำอยู่ในคุกสวรรค์กันทั้งหมดแล้ว รอเวลาที่จะประหารชีวิตอยู่ในไม่ช้านี้”

“อะไรกัน?”

หลงเฉินตะโกนออกมาด้วยความเกรี้ยวกราดอย่างถึงที่สุด “เจ้ากล้าล้อเล่นกับข้าอย่างนั้นหรือ?”

“ไม่บังอาจ……ข้าไม่อาจกล่าววาจาโป้ปดกับท่านได้อย่างแน่นอน” ขุนนางหมานฮวงยืนยันเสียงแข็ง

“อาหมานคงจะกลับไปยังจักรวรรดิแล้ว เช่นนั้นก็จะต้องสามารถคุ้มครองคนในบ้านของข้าได้อย่างแน่นอน และต่อให้อาหมานจะไม่ได้ไปบอกกล่าวต่อปรมาจารย์หวินฉี ทว่าจะเป็นไปได้อย่างไรว่าเขาจะไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ? เจ้าคิดว่าข้าโง่นักหรือไร?” หลงเฉินระเบิดบันดาลโทสะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“ซื่อจื่อ ข้าก็ไม่ทราบไปเสียทั้งหมด รู้เพียงว่าอาหมานผู้นั้นได้กลับไปที่จวนของท่าน ทว่าเขากลับไม่อาจปกป้องคนในจวนได้ก็เท่านั้น” ขุนนางหมานฮวงกล่าว

“เป็นเพราะเหตุอันใด?” ถึงแม้หลงเฉินจะพยายามอดกลั้นความโกรธแค้นเอาไว้ ทว่ากลับไม่อาจข่มความว้าวุ่นภายในจิตใจได้

“แค่กแค่ก……ข้า……” ขุนนางหมานฮวงกำลังจะกล่าววาจาออกมา จู่จู่ก็ได้สำลักโลหิตออกมาอย่างเจ็บปวดจนไม่อาจกล่าวต่อไปได้อีก

หลงเฉินรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ขุนนางหมานฮวงผู้นี้ก็ช่างเฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงนำโอสถเม็ดหนึ่งออกมาแล้วโยนให้ชายผู้นั้น “กลืนมันลงไป มันจะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บภายในของเจ้าได้”

“ขอบคุณซื่อจื่อ”

ขุนนางหมานฮวงกล่าวด้วยความยินดีปรีดาแล้วรีบกลืนโอสถลงอย่างรวดเร็ว ภายในจิตใจก็ทราบดีว่าหลงเฉินกับบิดาของเขาคงจะเป็นบุคคลจำพวกเดียวกัน นั่นก็คือผู้ที่ให้ความสำคัญต่อชีวิตของผู้อื่น

ทว่าหลงเฉินให้สัญญาว่าจะปล่อยเขาไปเท่านั้น ทว่าไม่ได้สัญญาว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขาด้วย เพราะหากเป็นเช่นนั้นเขาก็คงไม่อาจทนต่อพิษบาดแผลได้ และคงจะต้องสูญเสียพลังลมปราณจนตายไปในอีกสองสามชั่วยามอย่างแน่นอน

“ถ้าหากข้าบอกออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ขอซื่อจื่อโปรดรักษาสัญญาด้วย อย่าได้ทำให้ข้าลำบากเลย”

หลังจากกลืนโอสถลงไปแล้วขุนนางหมานฮวงก็ดีใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อพบว่าอวัยวะภายในเริ่มผสานเข้าด้วยกันบ้างแล้ว เห็นได้ชัดว่าโอสถที่หลงเฉินให้มานั้นส่งผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก

“วางใจเถิด ข้าขอใช้นามของตระกูลหลงให้คำสัญญาต่อเจ้า” หลงเฉินกล่าวออกมาอย่างเย็นชาเมื่อไม่อาจต่อรองอันใดได้อีกแล้ว

เมื่อได้ยินหลงเฉินให้สัตย์ปฏิญาณเช่นนี้ ขุนนางหมานฮวงจึงโล่งใจมากขึ้น ด้วยความความทระนงในศักดิ์ศรีของหลงเฉิน แน่นอนว่าโอกาสในการเปลี่ยนใจย่อมไม่สูงมากนัก

“หลังจากที่อาหมานของท่านได้กลับไปถึงจวน เขาก็ได้นำข่าวกลับไปแจ้งต่อมารดาของท่านเป็นอันดับแรก ทว่าพวกเขากลับไม่อาจออกไปจากจวนแห่งนั้นได้”

“ด้วยเหตุอันใด?”

“เพราะว่าพวกเขาทั้งหมดต่างก็ต้องพิษไปแล้ว” ขุนนางหมานฮวงตอบกลับมาในทันที

หลงเฉินกัดฟันแน่นอย่างเอาเป็นเอาตาย “เป็นผู้ใดที่กระทำเช่นนั้น”

“เป็นญาติทางฝ่ายมารดาของท่าน พวกนางล้วนเป็นหูเป็นตาขององค์ชายสี่ที่ในการสอดส่องตระกูลหลงมาโดยตลอด

ในตอนที่อาหมานได้กลับไปถึงจวนก็อยู่ในสภาพที่อ่อนล้าโรยแรงเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังหิวโหยจนไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้

อีกทั้งพิษที่พวกเขาต้องไปนั้นไร้ทั้งสีและกลิ่น เมื่อได้เข้าสู่ร่างกายของคนผู้หนึ่งแล้วนั้นย่อมเป็นอย่างที่ซื่อจื่อคงจะทราบดีอยู่แล้ว ผลลัพธ์ของมันก็คือ ‘กระชากวิญญาณ’ นั่นเอง” ขุนนางหมานฮวงกล่าวออกมาอย่างระมัดระวัง

หลงเฉินแผ่ซ่านความเยือกเย็นออกมาจนท่วมทะลัก ขุนนางหมานฮวงได้กล่าวถึงการกระชากวิญญาณออกมาได้เต็มปากเต็มคำเช่นนั้นก็แสดงว่าสิ่งที่เขากำลังเล่าอยู่นั้นเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน

กระชากวิญญาณนั้นเป็นโอสถที่พบเห็นได้น้อยนัก โดยปกติแล้วพิษของมันนั้นไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ทว่าสามารถทำให้พลังแห่งจิตวิญญาณของผู้คนเกิดความสับสนขึ้นมาได้คล้ายกับเข้าไปในห้วงแห่งความฝันหรือมีร่างไร้วิญญาณราวกับตายไปแล้ว แม้ผู้ที่มีพลังแห่งจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งก็ยังยากที่จะต้านทานเอาไว้ได้

อีกทั้งโอสถชนิดนี้ไร้ซึ่งสีและกลิ่นจึงทำให้คนธรรมดาไม่อาจที่จะแยกแยะได้ เพียงสูดดมเข้าไปก็เพียงพอที่จะทำให้หลับใหลได้ในทันที

หลงเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าแผนการขององค์ชายสี่จะลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ทำให้ตอนนี้เขาเกิดความเป็นห่วงเป็นใยต่อมารดาและคนในจวนอย่างเอ่อล้น พลันก็ได้นึกถึงใบหน้าของพวกจอมปลอมขึ้นมาทีละคนที่กล้าลงดาบต่อตระกูลหลงในเวลาที่ไม่มีเขาเช่นนี้

“แล้วเหตุใดปรมาจารย์หวินฉีถึงไม่มีความเคลื่อนไหวอันใดเลย?” หลงเฉินรู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดบางอย่างขึ้นมาจึงถามออกไป

“ในเวลานั้นปรมาจารย์หวินฉีกำลังเก็บตัวหลอมโอสถอยู่ อีกทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็กระทำแบบลับๆ กว่าปรมาจารย์หวินฉีจะทราบเรื่อง คนในตระกูลของท่านก็ได้ถูกจับกุมไปที่คุกสวรรค์แล้ว

หลังจากนั้นปรมาจารย์หวินฉีได้เข้าไปในวังหลวงด้วยตัวเอง อีกทั้งยังเอ่ยปากข้อร้องต่อไทเฮาเพื่อปลดปล่อยคนของตระกูลหลงออกมา ทว่าไทเฮากลับแสดงหลักฐานที่ซื่อจื่อได้สังหารองค์ชายต้าเซี่ยให้ดูปรมาจารย์หวินฉีดู จนเขาเองก็ยังต้องอับจนปัญญาที่จะช่วยเหลือ” ขุนนางหมานฮวงกล่าว

เขาได้ใจมากเกินไปแล้ว ช่างเกลียดชังความโง่เขลาของตัวเองยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่ามีหยกบันทึกภาพอยู่ เหตุใดจึงปล่อยให้ยิงฮวานำกลับไปได้

“ฉู่เซี่ย”

หลงเฉินกำหมัดกันฟันจนแน่น ยิ่งนึกใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันขององค์ชายสี่ก็ยิ่งโกรธแค้นจนแผ่รังสีสังหารออกมาจนล้นทะลัก

“ยังมีอันใดที่ข้าต้องรู้อีก?” หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าเพื่อให้จิตใจสงบลงไปบ้าง

“ในตอนนี้พวกเขาน่าจะเตรียมการประหารกันแล้ว” ขุนนางหมานฮวงกล่าวออกมาอย่างระมัดระวังอีกครั้งหนึ่ง เพราะเห็นว่าหลงเฉินนั้นเยือกเย็นจนน่าตกใจ เขาเกรงว่าหลงเฉินจะไม่อาจข่มความโกรธแค้นเอาไว้ได้จนสังหารเขาให้ตายคามือลงไป

“ไม่อาจจับตัวข้าได้ก็ไปจับครอบครัวของข้าอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินกำหมัดทั้งสองข้างจนเส้นโลหิตปูดโปนออกมา ดวงตาคู่คมเกิดประกายของเพลิงแค้นลุกโชติช่วงขึ้นมาอย่างรุนแรง

“เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น” ขุนนางหมานฮวงกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ชิ เกรงว่าเป้าหมายที่กระทำเช่นนี้ก็เพื่อชักนำบิดาของข้าให้ออกมาอย่างนั้นสินะ” หลงเฉินสบถออกมาอย่างเหลืออด แม้ว่าจะแค้นเคืองเป็นอย่างมาก ทว่าหลงเฉินก็ยังสามารถแยกแยะถึงเป้าหมายขององค์ชายสี่ได้อยู่

ในสายตาขององค์ชายสี่แล้วหลงเฉินก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเพื่อเป็นกำลังให้เขาดึงหลงเทียนเซียวออกมา ฉะนั้นความรู้สึกของผู้ที่ถูกใช้เป็นหมากย่อมไม่ดีนัก ทว่าเพื่อฉู่เหยาแล้วนั้นเขายินยอมที่จะเป็นหมากตัวหนึ่งในแผนการ

ไม่คิดเลยว่าองค์ชายสี่จะน่าชิงชังได้ถึงเพียงนี้ ทั้งวางแผนต่อเขายังไม่พอ ยังมาดร้ายต่อคนของตระกูลจนถึงขั้นหมายเอาชีวิตพวกเขาด้วย จะให้เขาทนใจเย็นเห็นจะไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

“ฉู่เซี่ย เจ้ารอข้าก่อนเถิด หากไม่ได้ตัดศีรษะของเจ้า อย่าได้เรียกข้าว่าหลงเฉินอีกเลย”

หลงเฉินข่มกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ แล้วเค้นน้ำเสียงจากลำคอออกไปอย่างยากลำบาก “วันเวลาที่จะประหารเป็นช่วงใดกัน?”

ขุนนางหมานฮวงตกใจกับน้ำเสียงทุ้มต่ำอันน่าหวาดกลัวแล้วรีบตอบออกมาว่า “หากนับเวลาดูแล้วก็คือวันมะรืนนี้”

หลงเฉินสงบนิ่งไปชั่วครู่และไม่เอื้อนเอ่ยอันใดกับขุนนางหมานฮวงอีก จากนั้นก็ได้เรียกเสี่ยวเสว่ยพร้อมทั้งมุ่งหน้าสู่เส้นทางที่จะออกจากหุบเขาในทันที

“ฮูม” จู่จู่เสี่ยวเสว่ยก็คำรามออกมาเสียงดัง

หลงเฉินงุนงงขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าจะให้ข้าขี่เจ้าอย่างนั้นหรือ?”

ยังไม่ทันที่หลงเฉินจะยินยอม ศีรษะขนาดใหญ่ของหมาป่าก็ได้ช้อนร่างของหลงเฉินขึ้นไป เขารู้สึกว่าร่างกายเบาหวิวขึ้นมาในทันที แล้วก็ได้มานั่งอยู่บนหลังของเสี่ยวเสว่ยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ฮูม”

เสี่ยวเสว่ยส่งเสียงทุ้มต่ำออกมาอีกครั้งหนึ่ง

หลงเฉินลูบไปที่ลำตัวของเสี่ยวเสว่ยแล้วขานรับออกไปว่า “วางใจเถิด ข้าจะจับให้แน่นเลย ไม่ตกลงไปอยู่แล้ว……ไอ้หยา”

ทันทีที่กล่าวจบ เสี่ยวเสว่ยก็ได้เร่งฝีเท้าออกไปอย่างรวดเร็วประดุจฝนดาวตกสายหนึ่ง หลงเฉินจึงรีบคว้าจับไปที่เส้นขนสีขาวโพลนบนแผ่นหลังของเสี่ยวเสว่ยอย่างแน่นหนา

หลงเฉินจึงเห็นถึงความร้ายกาจของสัตว์มายาระดับสอง ต้นไม้ใหญ่ทั้งสองข้างทางได้ล้มระเนระนาดเป็นหน้ากลองลงไปจนทำให้เขาลืมตาได้อย่างยากลำบาก

“เสี่ยวเสว่ย เจ้าใช้ได้เลยนี่”

หลงเฉินส่งเสียงชมเชยออกมาอย่างจริงใจ เดิมทีเขาเป็นกังวลอยู่ว่าตัวเองจะกลับไปยังจักรวรรดิได้ทันกาลหรือไม่ ทว่าในขณะนี้สามารถเดินทางได้รวดเร็วขึ้นด้วยฝีเท้าของเสี่ยวเสว่ย เช่นนั้นย่อมไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไปแล้ว: จักรวรรดิเอ๋ย ข้ากำลังจะไปเยือนแล้ว

……

เมื่อขุนนางหมานฮวงเห็นว่าหลงเฉินได้จากไปจนลับสายตาแล้ว ภายในจิตใจที่เคยร้อนรนก็ได้ผ่อนคลายลงมาได้ ในที่สุดก็สามารถเอาตัวรอดปลอดภัยได้แล้ว ในขณะเดียวกันก็แปรเปลี่ยนเป็นความจงเกลียดจงชังขึ้นมอย่างท่วมท้น

ในช่วงที่เขายังเป็นชายฉกรรจ์อยู่นั้นได้ถูกน้ำมือของหลงเทียนเซียวจัดการเอาไว้จนจุดตันเถียนแข็งทื่อไป ทำให้การฝึกยุทธ์หยุดอยู่ที่ระดับพลังก่อโลหิตตอนต้นมาโดยตลอด

และสิบปีผ่านไป เขาก็ยังมาถูกบุตรชายของหลงเทียนเซียวจัดการอีก เรื่องราวเช่นนี้ช่างน่าอเนจอนาถเสียยิ่งกว่ามีชีวิตอยู่ก็ไม่สู้ตายไป

ขุนนางหมานฮวงจึงกัดฟันแน่นด้วยความโกรธแค้นที่ฝังลึกในจิตใจ ทว่าทันใดนั้นเองที่มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มเหยียดขึ้นมา ในเมื่อหลงเฉินกลับไปยังจักรวรรดิแล้ว เช่นนั้นก็คงจะไม่มีชีวิตรอดอยู่เป็นมารขัดขวางชีวิตของเขาได้อย่างแน่นอน

และในเวลาเช่นนี้เขาจำเป็นที่จะต้องกลับไปจัดการกับผู้คนในหมู่บ้านแห่งนั้นเสียก่อน เพราะหลงเฉินคงจะต้องทิ้งโอสถไว้ให้พวกเขาอย่างมากมายเลยทีเดียว

“อา”

จู่จู่ขุนนางหมานฮวงก็ร้องเสียงหลงออกมาด้วยความเจ็บปวดที่ปรากฏอยู่บนแผลที่แขน พลันก็มองไปที่ต้นตอของอาการบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใดที่มดหลายร้อยตัวได้ไต่ขึ้นมาตามร่างกายและเกาะกุมไปรอบแผลที่แขนของเขา

“มดกร่อนหัวใจ?”

ขุนนางหมานฮวงเบิกดวงตาโตจนแทบจะถลนออกมา ราวกับได้เห็นภูตผีปีศาจปรากฏอยู่ที่เบื้องหน้าอย่างไรอย่างนั้น เขาสามารถจดจำมดขนาดเล็กเหล่านั้นได้ทันทีเพราะมันเป็นหนึ่งในแมลงพิษที่น่าหวาดกลัวที่สุด

กล่าวกันว่ามดจำพวกนี้ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ขอเพียงมีภูมิต้านทานพิษจากการกัดแทะของมดได้ก็ไม่ถึงแก่ชีวิตแต่อย่างใด ทว่าความร้ายกาจของพวกมันคือช่วงเวลาที่ได้ฝังเขี้ยวลงไปนั้นจะทำให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างที่ถูกฟันนับพันครั้งก็ไม่อาจเทียบได้ ความเจ็บปวดที่คล้ายกับถูกบดขยี้เข้าไปที่หัวใจอย่างไรอย่างนั้น

ขุนนางหมานฮวงทั้งตบทั้งปัดไปที่มดนับหลายร้อยตัวนั้นจนตายคามือไป เมื่อขยับเคลื่อนไหวได้เล็กน้อย ภายในแววตาก็สะท้อนภาพต้นไม้ใหญ่ก็เต็มไปด้วยมดกร่อนหัวใจจำนวนมหาศาลเรียกได้ว่าครอบคลุมไปทั่วทั้งผืนดินและผืนฟ้าเลยก็ว่าได้

ขุนนางหมานฮวงจึงนึกย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่หลงเฉินส่งโอสถให้แก่เขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

“อา……”

ตอนนี้มดกร่อนหัวใจนับหมื่นตัวที่ได้กลิ่นพิเศษเฉพาะจากร่างกายของขุนนางหมานฮวงก็ได้ไต่ไปที่แผลของเขาแล้วกัดกินชิ้นเนื้ออย่างไม่คิดชีวิตจนลุกลามไปทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว ในสายตาของพวกมันคงเห็นว่าขุนนางหมานฮวงนั้นเป็นหยาดน้ำหวานขนาดยักษ์ที่มีรสชาติหอมหวานเป็นอย่างยิ่ง

เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บแสบก็ได้แผดดังไปทั่วทั้งผืนป่า แม้พิษของมดกร่อนหัวใจจะไม่แข็งแกร่งมากนัก ทว่าความเจ็บปวดที่ยากจะพรรณนาเหล่านั้นกลับไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างจนยากที่จะเคลื่อนไหวหรือหลบหนีไปได้

นี่คงจะเป็นการตายที่เจ็บปวดและทุกข์ทรมานที่สุดในโลก ความเจ็บปวดที่ไม่อาจเปล่งออกมาเป็นคำพูดได้ แม้ต้องตายลงไปก็คงจะรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปจนถึงอีกภพอย่างแน่นอน . . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset