“ไสหัวไป! หยุดมือของเจ้าซะ!”
ทันใดนั้นเองเสียงตะโกนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากที่ที่ห่างไกลออกไปไม่มากนัก
กลุ่มคนที่มีชายหนุ่มทั้งหมดเจ็ดคนวิ่งตะบึงหน้าตั้งเข้ามาพร้อมกับอาวุธครบมือ ชายหนุ่มที่วิ่งน้ำหน้ามานั้นมีร่างกายสูงใหญ่กว่าคนอื่นอีกทั้งในมือยังถือกระบี่ยาวเล่มหนึ่งเอาไว้ด้วย
ถัดจากร่างสูงใหญ่ก็เป็นชายหนุ่มสองคนที่คนหนึ่งนั้นอ้วนและอีกหนึ่งนั้นผอม ชายหนุ่มอ้วนท้วนผู้นั้นคล้ายกับจะเดินเข้ามาก็ไม่ใช่ หรือว่าจะกลิ้งเข้ามาก็ไม่เชิง
ส่วนชายที่มีรูปร่างผอมนั้นเรียกได้ว่าผอมจนเหลือแต่กระดูกเลยก็ว่าได้ ใบหน้าของเข้าคล้ายกับวานรตัวหนึ่ง ในมือของเขาถือดาบยาวด้วยเช่นกัน
การปรากฏตัวของผู้คนกลุ่มนี้ทำให้ประชาชนตกใจขึ้นมาอย่างมาก ยิ่งได้ดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นแล้วก็ยิ่งแตกตื่นขึ้นมากว่าเดิม
“นั่นใช่ชายหนุ่มผู้ที่ได้ตำแหน่งผู้กล้าแห่งเฟิงหมิงในปีนี้ไปไม่ใช่หรือ?”
“เป็นเขาจริงๆ ด้วย อีกทั้งยังติดตามมาด้วยเจ้าอ้วนและเจ้าผอม พวกเขาเหล่านั้นเป็นสหายสนิทของหลงเฉิน”
“พวกเขาคิดจะชิงตัวนักโทษอย่างนั้นหรือ?” คนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อในการกระทำของพวกเขา ซือเฟิงเป็นผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์ผู้หนึ่งของจักรวรรดิเฟิงหมิงรองลงมาจากหลงเฉิน แต่ถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งจะเข้าสู่พลังขั้นก่อโลหิตระดับที่ห้าเท่านั้น อีกทั้งพวกพ้องที่เหลือก็อยู่แค่ขอบเขตขั้นก่อรวมทั้งหมด สิ่งที่กำลังกระทำอยู่นี้ไม่ได้แตกต่างไปจากการมาหาที่ตายชัดๆ
“ช่างกล้าหาญยิ่งนัก ข้าได้ยินมาว่าหลงเฉินมีบุญคุณต่อพวกเขาอย่างมาก นี่คงจะเป็นการตอบแทนบุญคุณของพวกเขาอย่างแน่นอน ชายหนุ่มเหล่านี้เป็นชายชาตรีอย่างแท้จริง” ผู้คนกลุ่มหนึ่งกล่าวชื่นชมขึ้นมา อีกทั้งน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความนับถือต่อซือเฟิงและพวกพ้องอย่างถึงที่สุด
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของคนกลุ่มนี้ได้สร้างความฉงนสงสัยให้แก่องค์ชายสี่จนคิ้วเข้มคู่นั้นขมวดชนกัน เขาเองก็ทราบดีว่าซือเฟิงและพวกพ้องนั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหลงเฉิน
และเขาเห็นว่าซือเฟิงนั้นเป็นถึงยอดฝีมือรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของจักรวรรดิ เขาจึงหวังเอาไว้ว่าจะซื้อใจของชายหนุ่มผู้นี้ให้มาเป็นฝ่ายเดียวกับตน ฉะนั้นการประหารในครั้งนี้จึงไม่ได้จับกุมพวกเขาแม้แต่คนเดียว
ทว่าเขาไม่เคยคิดว่าซือเฟิงจะมีความกล้าหาญจนบังอาจเทียบชั้นฟ้ากับเขาได้ถึงเพียงนี้ แต่ถึงอย่างไรการคิดจะชิงตัวนักโทษต่อหน้าผู้กล้าทั้งสองจักรวรรดิช่างเป็นความคิดที่โง่งมจนเกินจะเยียวยาได้อีกแล้ว
เหล่าทหารที่อยู่ด้านข้างรีบกระจายตัวออกไปขวางหน้าซือเฟิงและพวกพ้องเอาไว้ในทันทีโดยไม่รีรอคำสั่งจากองค์ชายสี่เลยแม้แต่น้อย
“ผู้ใดขวางข้า ผู้นั้นต้องตาย”
เมื่อซือเฟิงถูกทหารเข้ามาขวางทางอยู่ด้านหน้าจึงได้ตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล พลันก็ได้ชักกระบี่ยาวพุ่งไปยังเบื้องหน้าก่อนใคร ร่างการของเขาในตอนนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังทำลายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“บุกเลย คุ้มครองครอบครัวของพี่หลง”
เจ้าอ้วนเองก็ตะโกนตามขึ้นมาติดๆ พร้อมทั้งวิ่งเข้าไปประชิดข้างกายของซือเฟิงในทันที เมื่อเหล่าทหารเห็นความเคลื่อนไหวของซือเฟิงก็ได้เพิ่มกำลังพลเข้าไปอีกเป็นร้อยคน
“หากว่ายังกล้าเข้ามา ก็จะฆ่าไม่ให้เหลือซาก”
ผู้นำทหารที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดลั่นวาจาข่มขู่ออกมา เมื่อเห็นว่าซือเฟิงและพวกพ้องไม่มีทีท่าว่าจะหยุดฝีเท้าและวางอาวุธลง
ทหารผู้นั้นก็หวังจะให้ซือเฟิงและพวกพ้องมีความยำเกรงต่อกองทัพที่แข็งแกร่งและน่าหวาดกลัวจนหยุดการกระทำที่สิ้นคิดเช่นนี้ไปเสีย หากปะทะกับความแข็งแกร่งที่อยู่เบื้องหน้าในตอนนี้เกรงว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตได้เลยแม้แต่น้อย
ทว่าแววตาของซือเฟิงกลับจ้องมองมาที่เขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาเองก็เป็นทหารที่พบเจอกับโลหิตของผู้คนมามากมายแล้ว ยิ่งเห็นแก่ความเป็นพี่น้องยิ่งมีแต่ต้องสูญเสียด้วยกันทั้งนั้น
“ตัง”
กระบี่ยาวของซือเฟิงปะทะเข้ากับปลายหอกยาวอย่างหนักหน่วงจนทหารที่เป็นยอดฝีมือขอบเขตเขตขั้นก่อโลหิตตอนกลางผู้นั้นกระเด็นถอยหลังออกไปไกลกว่าสิบก้าว
ชายผู้นั้นตกใจในพลังอันมหาศาลของซือเฟิง ทั้งที่อายุยังน้อยอยู่แท้ๆ ทว่ากลับมีพลังอันแกร่งกล้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ เมื่อหยุดร่างของตัวเองเอาไว้ได้แล้ว ผู้นำทหารผู้นั้นจึงได้ตะโกนออกมาเสียงดังแล้วแทงหอกยาวไปยังร่างของซือเฟิงอย่างรวดเร็ว
ซือเฟิงปะทุพลังโลหิตออกมาจนท้วมท้น พลังทำลายเพิ่มสูงขึ้นไปจนถึงขอบเขตขั้นก่อโลหิตตอนกลาง ประกายของคมกระบี่ยาวก็ได้สาดออกไปอีกครั้งหนึ่ง
ทหารผู้นั้นถูกฟันเข้าไปที่แขนจนเกิดบาดแผลฉีกขาดน่าสยดสยองขึ้นมา หอกยาวที่กำอยู่ในมือถูกซัดออกไปไกลนับสิบจั่งแล้วเสียบเข้าไปในซอกศิลา หางหอกเกิดการสั่นไหวไปมาอย่างรุนแรงและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
เขาสะดุ้งตัวโยนขึ้นมาในทันทีเมื่อเห็นว่าซือเฟิงกำลังเดินเข้ามาใกล้ เพราะตอนนี้เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะต่อกรกับชายหนุ่มแล้ว จึงหลับตาลงเพื่อรอคอยความตายที่กำลังจะมาถึง
ทว่ากระบี่ยาวของซือเฟิงกลับไม่ได้ฟาดฟันลงมาแต่อย่างใด เพียงแต่ร่างกายถูกขยับอยู่ครั้งหนึ่งแล้วจากนั้นก็ถูกเตะจนกลิ้งคลุกพื้นดินออกไปไกล ถึงแม้จะรุนแรงทว่าก็ไม่ได้ทำให้บาดเจ็บสาหัส
ซือเฟิงใช้ออกมาเพียงสองกระบวนท่าก็สามารถล้มผู้นำทหารผู้นั้นไปได้แล้ว ทำให้เหล่าทหารที่อยู่แถวหน้าสุดต่างเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมา พลันก็ได้ป้องกันการโจมตีของซือเฟิงด้วยหอกยาวนับหลายสิบเล่ม
“ปึกปึกปึก”
ทว่าทหารเหล่านั้นเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีแม้แต่พลังขั้นก่อรวมเสียด้วยซ้ำไป มีหรือที่จะต้านทานซือเฟิงเอาไว้ได้ ร่างของพวกเขาต่างก็ลอยกระเด็นไปคนละทิศทางในทันที
เมื่อองค์ชายสี่เห็นถึงความกล้าบ้าบิ่นของซือเฟิง จึงได้โบกมือขึ้นแล้วกล่าวออกมาว่า “ขัดขวางพวกเขาเอาไว้ ทว่าปล่อยให้ซือเฟิงรอดพ้นไปคนเดียวก็พอ”
เมื่อสิ้นคำสั่งจากองค์ชายสี่ก็ได้มีทหารสามนายเข้าโอบล้อมซือเฟิงและพวกพ้องในทันที พวกเขาทั้งสามคนต่างก็เป็นยอดฝีมือขั้นก่อโลหิตตอนกลางด้วยกันทั้งหมด ในมือต่างก็ถืออาวุธในท่าพร้อมโจมตี
ซือเฟิงในตอนนี้ประดุจเทพสงครามลงมาจุติอย่างไรอย่างนั้น กระบี่ยาวในมือของเขาได้เริงระบำไปมาอยู่กลางอากาศ ถึงแม้จะถูกศัตรูปิดล้อมทั้งสามทางก็ยังไม่ทำให้เขาตกเป็นรองได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ทว่ากลับไม่อาจก้าวข้ามออกไปจากวงล้อมได้เลย
ส่วนเจ้าอ้วนและพวกพ้องคนอื่นก็ได้ถูกปิดล้อมด้วยทหารอีกกลุ่มหนึ่ง พวกเขานั้นไม่ได้มีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งเฉกเช่นซือเฟิง อย่างมากที่สุดก็แค่ขั้นก่อรวมระดับที่หกเท่านั้น
พวกเขาทั้งหมดพุ่งตัวออกไปประจันหน้ากับเหล่าทหารด้วยความรีบร้อน โดยไม่คำนึงเลยว่าประสบการณ์การต่อสู้ของพวกเขานั้นเท่ากับศูนย์ ในขณะที่กำลังจะออกรับกระบวนท่าก็ได้มีคนผู้หนึ่งถูกหอกยาวแทงเข้ามาจนได้รับบาดเจ็บ
เจ้าอ้วนถูกหอกยาวแทงไปที่แขนจนทำให้เขามีสีหน้าซีดเผือดขึ้นมา
“ตึง”
หอกยาวด้ามนั้นถูกกระบี่ยาวตัดจนสะบั้นออกเป็นสองท่อน ซือเฟิงเห็นว่าพวกพ้องของเขากำลังตกอยู่ในอันตรายจึงได้หลอกล่อทหารสามนายที่ปิดล้อมเขาอยู่จนสามารถหันกายกลับมาช่วยเจ้าอ้วนได้
ทว่าซือเฟิงกลับจดจ่ออยู่กับการช่วยเหลือเจ้าอ้วน จึงเผลอเปิดช่องว่างให้ทหารผู้หนึ่งใช้หอกยาวฟันไปที่หัวไหล่จนมีโลหิตอุ่นๆ ไหลออกมา
“พี่น้องทั้งหลายไม่ต้องกลัว อย่างมากก็แค่ตาย ยี่สิบปีมานี้พวกเราถือว่าเป็นลูกผู้ชายกันอย่างเต็มตัวแล้ว
หลงเฉินเป็นดั่งสหายและพี่น้องของพวกเรา แน่นอนว่าไม่สมควรปล่อยให้คนในครอบครัวของเขาต้องมาตายไปต่อหน้าได้ หากวันนี้พวกเราไม่อาจรอดพ้นจากความตายไปได้ก็ขอให้เกิดมาเป็นพี่น้องกันอีก มาร่ำสุราและกินเนื้อร่วมกันอีก” ซือเฟิงตะโกนปลุกเร้าขึ้นมาเสียงดังสนั่น เขาได้เตรียมใจมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าเรื่องเช่นนี้คงจะไม่เกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อพวกเขาอย่างแน่นอน
พวกเขาทั้งเก้าคนได้ติดตามอยู่ข้างกายของหลงเฉินมาโดยตลอด บุญคุณของหลงเฉินนั้นท้วมท้นอยู่ภายในจิตใจของพวกเขาด้วยเช่นกัน และที่ทำให้พวกเขามาถึงวันนี้ได้ต่างก็เป็นเพราะหลงเฉินได้มอบสิ่งดีดีให้แก่พวกเขา เป็นหลงเฉินที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล
ฉะนั้นเมื่อตระกูลหลงตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก แม้พวกเขาจะต้องตายไปก็ขอใช้โลหิตของตัวเองตอบแทนน้ำใจของหลงเฉินให้จงได้
พวกพ้องสองคนในกลุ่มมองไปยังเหล่าทหารที่ปิดล้อมเข้ามาด้วยร่างกายที่สั่นเทิ้มไปทั้งหมด เมื่อเห็นว่าซือเฟิงสามารถโค่นล้มผู้คนได้คราวละเจ็ดคนภายในครั้งเดียว ภายในจิตใจจึงได้เกิดความเสียใจและละอายใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
พวกเขาเองก็เป็นสหายที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ทว่ากลับไม่มีความกล้าหาญพอที่จะเข้าไปร่วมวงต่อสู้ เมื่อซือเฟิงเอ่ยถามถึงการบุกไปช่วงชิงตัวนักโทษ พวกเขาจึงเลือกที่จะเงียบต่อไป
ทว่าซือเฟิงกลับไม่ได้มีทั้งโทสะและความเกลียดชังต่อพวกเขาเลย มีเพียงคำกล่าวทีว่าหากมีเวลาก็ให้จุดธูปกราบไหว้ต่อหน้าหลุมศพของพวกพ้องแล้วเทสุราให้สักหลายชามหน่อย
เซี่ยโหยวอวี่มองไปที่การต่อสู้ของซือเฟิงแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ดูเหมือนว่ากำลังจะมีคนต้องการทำลายสัมพันธไมตรีระหว่างสองจักรวรรดิอยู่ และเหมือนว่าองค์ชายฉู่เซี่ยจะไม่มีจิตใจที่เ**้ยมโหดพอ ถ้าเช่นนั้นข้าจะช่วยเขาสักครั้งหนึ่ง ฮาฉีไปจัดการกับเจ้าเด็กที่มาก่อความวุ่นวายผู้นั้นเสีย”
“ขอรับฝ่าบาท”
เมื่อเซี่ยโหยวอวี่ออกคำสั่งเสร็จสิ้น หนึ่งในสามของกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังของเขาก็ได้ขยับเท้าแล้วทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว
องค์ชายสี่ทอสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เซี่ยโหยวอวี่คงจะอ่านความคิดของเขาออกแล้วเป็นแน่ การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการล้างแค้นให้กับบุตรชายของตัวเองอย่างนั้นสินะ ทว่าองค์ชายสี่กลับไม่ได้ห้ามปรามและขัดขวางแต่อย่างใด
อีกทั้งซือเฟิงเป็นคนที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวและแข็งกร้าว สิ่งที่ชายหนุ่มได้ตัดสินใจไปแล้วนั้นย่อมไม่มีการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง เดิมทีองค์ชายสี่ต้องการจะผูกมัดจิตใจของซือเฟิงด้วยเล่ห์เพทุบายอย่างที่เขาถนัด ทว่าหากใช้กับซือเฟิงคงจะไม่มีโอกาสสำเร็จเลยแม้แต่ส่วนเดียว
ฮาฉีเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด เพียงแค่พริบตาเดียวเงาร่างสายนั้นก็ได้ทะยานออกไปจนไปยืนอยู่ที่ข้างกายของซือเฟิง พลันก็ได้ฟาดฝ่ามือออกไปในทันที
เดิมทีซือเฟิงนั้นกำลังประจันหน้าอยู่กับทหารสามนายที่คอยขัดขวางเขาเอาไว้อยู่ ทว่าจู่จู่ร่างกายของเขาก็สั่นเทาขึ้นมา อีกทั้งสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารอันมหาศาลหอบหนึ่งปะทะเข้ามาที่ร่างของเขาอย่างรุนแรง
กลุ่มคนทั้งสี่ที่กำลังต่อสู้กันอยู่นั้นเกิดความหวาดผวาขึ้นมาในทันที พลันก็ได้หยุดความเคลื่อนไหวลงอย่างพร้อมเพรียงกัน พลังขุมหนึ่งแหวกผ่านสายลมเข้ามาด้วยความเร็วที่สูงส่ง ผู้คนทั้งหมดจึงรีบต้านทานฝ่ามือข้างนั้นเอาไว้อย่างชุลมุน
“ปึง”
ซือเฟิงสัมผัสได้ถึงความไม่ถูกต้องของขุมพลังบางอย่างจึงไม่ได้ต้านทานเอาไว้อย่างโจ่งแจ้งเหมือนกันสามทหารผู้โง่งมที่บัดนี้ได้กระเด็นถอยออกไปอยู่ด้านหลังทั้งหมดแล้ว
ทว่าพลังที่เกิดจากการปะทะกันเมื่อสักครู่ได้สร้างสายลมกรรโชกแรงสายหนึ่งขึ้นมาจนทำให้ร่างกำยำของเขาลอยออกไปไกลด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง
ซือเฟิงหันกลับไปมองยังร่างของทหารทั้งสามนายที่นอนแผ่อยู่บนพื้นดินด้านหลัง ก็ทราบได้ทันทีว่ากระดูกทั่วทั้งร่างของพวกเขาคงจะแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปแล้วอย่างแน่นอน
“ต้องขออภัยด้วยที่ออกแรงมากไป”
ฮาฉียิ้มเล็กน้อยพร้อมทั้งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ถึงแม้ว่าชายผู้นี้จะกล่าวขอโทษทว่าปฏิกิริยาอาการกลับไม่ได้เป็นไปตามความหมายเช่นนั้นเลย
การต่อสู้ของกลุ่มคนทั้งหมดได้หยุดลงพร้อมกันอย่างกะทันหัน ทุกผู้คนกวาดสายตามองไปยังต้นลมอันรุนแรงด้วยอาการตกตะลึง และยิ่งแตกตื่นมากขึ้นเมื่อหันไปสบสายตากับร่างไร้วิญญาณของทหารทั้งสามนายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
พวกเขาทั้งสามเป็นถึงทหารที่มียอดฝีมือขั้นก่อโลหิตตอนกลางแล้ว ทว่ากลับถูกซัดให้ตายไปด้วยฝ่ามือเดียว อีกทั้งยังพร้อมกันถึงสามคน จะไม่ให้แตกตื่นตกใจขึ้นมาได้อย่างไรกัน?
“ยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น”
ในที่สุดก็มีซุ่มเสียงของคนผู้หนึ่งโพล่งน้ำเสียงสั่นเครือขึ้นมา มีเพียงยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นเท่านั้นที่จะสามารถสังหารผู้คนอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้
“เจ้า……”
องค์ชายสี่ขมวดคิ้วชนกันเสียยิ่งกว่าเดิม เซี่ยโหยวอวี่ผู้นั้นจงใจให้เขาตกที่นั่งลำบากหรืออย่างไรกัน
“นั่นเป็นเพียงอุบัติเหตุ ยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นก็เป็นคนผู้หนึ่ง ฉะนั้นหมัดเท้าย่อมไร้นัยน์ตาเช่นเดียวกัน ข้าคิดว่าองค์ชายฉู่เซี่ยคงจะเข้าใจอยู่แล้วใช่หรือไม่” เซี่ยโหยวอวี่ยิ้มกริ่มแล้วกล่าววาจาเย้ยหยันออกมา
เขาจงใจจะให้ฮาฉีลงมือเช่นนั้น อีกทั้งยังเป็นการบอกถึงความนัยที่ว่า: ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีคนคอยหนุนหลังอยู่ทว่าก็ไม่อาจเป็นเช่นนั้นไปได้ตลอดชีวิต ฉะนั้นสมควรที่จะต้องมีขอบเขตและเกรงใจกันบ้าง อย่าได้ทำสิ่งใดให้เกินเลยอีก
มีหรือที่องค์ชายสี่จะไม่เข้าถึงความหมายของเซี่ยโหยวอวี่? ภายในจิตใจของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างมาก ทว่าไม่อาจกระทำการใดออกไปอย่างโจ่งแจ้งได้ จึงเก็บซ่อนความรู้สึกแค้นเคืองเอาไว้ก่อน
หลังจากที่ซือเฟิงกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่งก็ได้ยันตัวลุกขึ้นมายืนอย่างช้า บัดนี้เขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นผู้หนึ่ง ทว่าความฮึกเหิมภายในร่างกลับทะยานสูงขึ้น ไม่มีความคิดที่จะถอยกลับเลยแม้แต่ครั้งเสี้ยวเดียว
“ซือเฟิงหนีเร็ว อย่าได้เสียสละโดยเปล่าประโยชน์” ฮูหยินหลงที่มองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างมาตั้งแต่ต้นก็อดไม่ได้ที่จะเห็นพวกเขาต้องมาตายไปเช่นนี้
ซือเฟิงไม่ได้ตอบกลับไปแม้แต่คำเดียว ผู้คนรอบข้างต่างก็ร่นถอยไปยืนอยู่ทางด้านหลังของเขาทั้งหมดแล้ว ทำให้ในตอนนี้มีเพียงเงาร่างของชายทั้งสองที่กำลังจ้องตากันอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย
ฮาฉีกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันอย่างถึงที่สุด “ยอดมาก พวกเจ้าก็ฉลาดอยู่ไม่น้อย คิดที่จะเข้ามาตายทีละคนอย่างนั้นหรือ ข้าว่าตายไปพร้อมกันทั้งหมดคงจะสบายกว่า”
จากนั้นฮาฉีก็ได้ตะเบ็งเสียงหัวเราะออกมาดังกังวาน แล้วลากเท้าข้างหนึ่งออกไปพร้อมกับยกหมัดที่มีเส้นโลหิตปูดโปนขึ้นมามากมายไปทางซือเฟิงและพวกพ้องในทันที
ประชาชนของเฟิงหมิงที่ยืนดูอยู่จากที่ที่ห่างไกลออกไปต่างก็ไม่อาจสบสายตากับฉากการต่อสู้อันเ**้ยมโหดได้ อีกทั้งไม่อาจเห็นซือเฟิงและพวกพ้องถูกสับร่างจนกลายชิ้นเนื้อจึงพากันปิดหน้าปิดตากันไปจนหมดสิ้น
“เช้ง”
กระบี่ยาวเล่มหนึ่งถูกชักออกมาเสียงดังประดุจมังกรคำรามใต้พิภพ ประกายของคมกระบี่อันเย็นเยียบได้แผ่ซ่านไปทั่งทุกสารทิศ พลังกดดันอันมหาศาลที่คล้ายกับว่าถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดีแล้วได้พวยพุ่งเข้าไปหาฮาฉีอย่างรวดเร็ว….