เคล็ดกายานวดารา (Lc by Novel Kingdom) – ตอนที่ 298 วิชาแห่งการผสานรวมสัตว์

 

“หลงเฉิน เจ้าหาที่ตายซะแล้ว”

 

พริบตานั้นเจียงอี้ฝ่านก็มีเพลิงโทสะคุกรุ่นขึ้นและระเบิดเสียงตะโกนออกมา พลองยาวในมือก็ได้ตวัดอยู่ตามอากาศ และกระแทกเข้าใส่หลงเฉิน

 

ครั้งนี้เจียงอี้ฝ่านเกิดโทสะขึ้นมาอย่างแท้จริงแล้ว หาได้มีความคิดที่จะค่อยๆจัดการหลงเฉินอีกต่อไป ในตอนนี้มีแต่จะใช้ไม้พลองฟาดหลงเฉินให้ตายคาที่เท่านั้น

 

เขาโตมาจนปานนี้ ไม่เคยมีครั้งใดที่ได้รับความอับอายเช่นนี้มาก่อน ? การถูกตบกรอกหูเช่นนี้แทบจะเรียกได้ว่าทำให้เขาเกิดความหดหู่ใจยิ่งกว่าถูกฆ่าเสียอีก

 

เมื่อไม้พลองได้ฟาดผ่านสุญญากาศ แรงระเบิดก็ได้สั่นสะท้านไปท้องฟ้า ราวกับว่าสภาพอากาศถูกสั่นคลอนไปตามแรงระเบิด นี่จึงถือเป็นพลังที่แท้จริงของเจียงอี้ฝ่าน

 

หลงเฉินส่งเสียงขึ้นมาอย่างเย็นชา ได้ยื่นมือออกมา

 

“เปรี้ยงปัง”

 

สภาพอากาศสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรงทั้งยังเกิดเสียงระเบิดดัง หลงเฉินได้ผนึกพลังอัสนีที่น่าหวาดกลัวเอาไว้ในมือ พริบตานั้นก็ได้กลายเป็นหอกยาวเล่มหนึ่ง

 

หอกยาวที่ถูกผนึกขึ้นมาจากพลังแห่งอัสนี แต่ว่าที่ด้านบนยังถูกปกคลุมไปด้วยตราอักขระคล้ายกับเป็นหอกที่แท้จริงขึ้น ด้านบนยังมีพลังอันมหาศาลปะทุขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งอยู่ จนทำให้สภาวะอากาศเริ่มที่จะเกิดความบิดเบี้ยวขึ้นมา

 

“ตูม”

 

หอกยาวอัสนีบาตในมือของหลงเฉิน ได้กระแทกเข้าใส่พลองของเจียงอี้ฝ่านอย่างหนักหน่วง หอกกับพลองปะทะเข้าหากัน เดิมทีบนพื้นเวทีที่เต็มด้วยรอยแตกร้าวก็ทนไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ถึงขั้นแตกระเบิดจนแหลกกลายเป็นชิ้นๆ

 

“แย่แล้ว”

 

เวทีนั้นถูกสร้างขึ้นมาจากเหล็กกล้าเชียวนะ นี่ถึงกับแหลกจนกลายเป็นเศษเหล็กลอยไปทั่วทั้งผืนฟ้า พร้อมทั้งยังได้พุ่งออกไปตามสายลมกรรโชก จนทำให้ผู้คนสูดหายใจได้ลำบาก

 

ถ้าหากเพียงแค่ไม่กี่ชิ้น ทุกคนยังสามารถที่จะหลบเลี่ยงได้บ้าง แต่ว่าเพียงแค่ชั่วพริบตาก็ได้ปรากฏออกมามากมายได้ถึงเพียงนี้ จนแทบไม่อาจที่จะหลบเลี่ยงไปได้เลย

 

ที่น่าแตกตื่นที่สุดก็คงจะเป็น เศษเหล็กบางส่วนมีขนาดใหญ่โตจนสามารถนำมาทำเป็นโต๊ะได้เลย หากว่าถูกชนเข้า ไม่ตายก็คงจะต้องพิกลพิการแล้ว

 

ผู้อาวุโสถู่ฟางที่มัวแต่จับตาดูการต่อสู้ของหลงเฉิน จนลืมไปว่ายังมีศิษย์คนอื่นๆอยู่อีก หมายที่จะยื่นมือเข้าช่วยต้านทาน แต่ก็สายเกินไปแล้ว

 

“บัดซบ”

 

ถู่ฟางสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

ทันใดนั้นถังหว่านเอ๋อก็ได้ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของทุกคน ผนึกรอยตราจนมีคมวายุปกคลุมไปทั่วทั้งผืนฟ้าอีกครั้ง มุ่งหน้าทำลายเศษเหล็กที่อยู่ทางด้านหน้าไปในทันที

 

เศษเหล็กเหล่านั้นเมื่อชนเข้าใส่บนคมวายุของถังหว่านเอ๋อ ก็ได้ระเบิดขึ้นในทันที ทว่ากลับยังคงมีเศษเหล็กชิ้นเล็กชิ้นน้อยเล็ดลอดไปได้อยู่ไม่น้อย

 

ระหว่างนั้นก็ได้มีกำแพงน้ำแข็งขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา ซึ่งถือได้ว่าเป็นกำแพงน้ำแข็งที่มีความหนาหลายสิบจั้ง ถึงกับหยุดเศษเหล็กเหล่านั้นไปได้ในทันที ทว่าเศษเหล็กเหล่านั้นแม้ว่าจะถูกต้านทานเอาไว้อยู่แต่แค่ภายนอกแล้วก็ตาม แต่ทุกคนต่างก็ยังคงต้องหลั่งเหงื่ออันเย็นเยือกออกมา

 

เมื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทุกคนก็ได้ถอยออกไปไกลยิ่งกว่าเดิม สถานที่แห่งนี้ก็ช่างอันตรายจนเกินไปแล้ว ปลอดภัยไว้ก่อนจะดีกว่า

 

เหล่าผู้คนก็ได้มองเข้าไปยังกลางสนาม พบเห็นว่าเวทีได้เลือนหายไปแล้ว หลงเฉินกับเจียงอี้ฝ่านที่ยืนอยู่บนพื้นมีระยะห่างออกจากกันกว่าร้อยจั้ง กำลังจับจ้องมองดูอีกฝ่ายอยู่

 

หลงเฉินที่ในมือถือหอกยาวอัสนีบาตอยู่ บริเวณสภาพโดยรอบก็ได้ถูกผลกระทบจากพลังแห่งอัสนีบาต จนเกิดการสั่นไหวขึ้นมาไม่หยุด ดั่งเป็นเทพเซียนลงมาจุติเปี่ยมไปด้วยพลังปกคลุมไปทั้งเก้าชั้นฟ้า

 

“เหอะเหอะ ในที่สุดก็มีอาวุธที่เหมาะมือเพิ่มขึ้นมาอีกชิ้นแล้ว”

 

บนใบหน้าหลงเฉินก็ได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา ถึงแม้ทลายมารจะแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ทลายมารนั้นกลับหนักจนเกินไป ย่อมส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขาเอง จนทำให้ไม่อาจจะสู้ศึกได้นาน

 

ก่อนหน้านี้ที่หลงเฉินผนึกอาวุธเพลิงขึ้นมา ถึงแม้พลังทำลายจะไม่เลว การนำมาใช้ต่อกรกับศิษย์สายตรงโดยทั่วไปย่อมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว

 

แต่ว่าหากใช้เพื่อต่อกรกับผู้อยู่เหนือขอบเขต ถือได้ว่าแทบจะไม่น่าดูเอาเสียเลย ทั้งยังถูกทำลายไปได้ภายในเสี้ยววินาที ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการนำมาใช้ต่อกรกับสุดยอดฝีมือเลย ตอนนี้เพลิงโอสถของหลงเฉินที่มีสามารถไว้ใช้เพียงหลอมโอสถเท่านั้น

 

ทว่าครั้งนี้เขาได้สะสมพลังอัสนีมาร่วมสองเดือน อักขระแห่งอัสนีบาตของเขาก็ได้แปรเปลี่ยนจนแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่าเดิมเป็นอย่างมาก ถึงกับสามารถต้านทานการโจมตีของเจียงอี้ฝ่านเอาไว้ได้ ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก

 

เมื่อมีหอกแห่งอัสนีเล่มนี้แล้ว ต่อให้ต้องสู้นานสามวันสามคืน เขาก็หาได้เกิดความรู้สึกเหน็ดเหนื่อย มีหรือที่จะไม่ทำให้เขาลิงโลดขึ้นมาได้ ?

 

เจียงอี้ฝ่านมีสีหน้าแตกตื่นมองไปยังหอกยาวของหลงเฉิน บนใบหน้าก็ได้แสดงอาการไม่อยากจะเชื่อขึ้นมา จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าหลงเฉินจะครอบครองพลังแห่งอัสนีบาตที่ยากจะพบได้

 

การโจมตีเมื่อครู่นั้น สามารถทำให้แขนของเขาเกิดอาการชาขึ้นมาเลยทีเดียว ในเวลาเดียวกันพลังแห่งอัสนีบาตก็ได้ปะทุขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ทั้งกำลังทำลายเกราะคุ้มกายของเขาอยู่อย่างต่อเนื่อง เขาสูญเสียพลังลมปราณอันมหาศาล เพื่อนำไปสลายพลังแห่งอัสนีบาตนั้น

 

“เหอะ ต่อให้เจ้ามีพลังแห่งอัสนีบาตแล้วอย่างไร ก็ยังคงไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเจ้าไปได้หรอกนะ” เจียงอี้ฝ่านตะโกนขึ้นมาเสียงดัง กระชับพลองยาวในมือแล้วก็พุ่งเข้าใส่หลงเฉิน

 

ใบหน้าหลงเฉินปรากฏความเย้ยหยันขึ้นมา เขาส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวออกมา “แต่ละคำแต่ละน้ำเสียงที่เอาแต่บอกว่าผู้อื่นเป็นสุกร เจ้าเองสิที่เป็นสุกร เจ้าสมกับเป็นแบบฉบับของพวกที่ไม่รู้จักเจ็บเลยทีเดียวนะ ใบหน้าไม่เจ็บแสบขึ้นมาแล้วหรือไง”

 

หอกยาวอัสนีบาตในมือของหลงเฉินก็ได้ปัดพลองยาวของเจียงอี้ฝ่านออกไป แล้วก็แทงเข้าไปบนหน้าอกของเจียงอี้ฝ่าน ถึงแม้หลงเฉินจะไม่เคยใช้หอก ทว่าเขาก็ทราบว่าอาวุธชนิดใดเหมาะแก่การโจมตีในลักษณะใด

 

เมื่อได้ยินคำพูดของหลงเฉิน วินาทีนั้นใบหน้าเจียงอี้ฝ่านก็ได้ร้อนผ่าวขึ้นมา ฝ่ามือที่ตบเข้ามาของหลงเฉินนั้นถือได้ว่าร้ายกาจมาก

 

“ไปตายซะ”

 

เจียงอี้ฝ่านตะโกนขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว พลองยาวในมือก็ได้ร่ายรำขึ้นมา แฝงเอาไว้ด้วยสายลมกรรโชก ทุบเข้าใส่หลงเฉินอย่างบ้าคลั่ง

 

หลงเฉินก็ไม่กล่าววาจาไร้สาระอีกต่อไป หอกยาวในมือสะบัดร่ายรำ ภายใต้การโจมตีหอกพลองของทั้งสองคนก็ได้ลอยระบำ จนเกิดการปะทุระเบิดขึ้นมาไม่หยุด ทำให้เศษดินลอยคละคลุ้งขึ้นมา จนก่อตัวคล้ายดั่งคลื่นพายุ

 

“พี่ใหญ่ยังไงก็เป็นพี่ใหญ่ ไม่ว่าจะในเวลาใด ที่ได้เห็นพี่ใหญ่ต่อสู้ ต่างก็เป็นที่เพลินตายิ่งนัก” กัวหรานทอสีหน้าชื่นชมแล้วกล่าวออกมา

 

ศิษย์คนอื่นๆต่างก็พยักหน้าไปมา เมื่อดูจากพลังการต่อสู้ของหลงเฉิน เป็นที่พึงพอใจเสียกว่าที่พวกเขาสังหารศัตรูเองเสียอีก หนึ่งวิถีหนึ่งกระบวนท่าถึงกับสามารถทำให้ผู้คนเดือดพล่านขึ้นมาได้เลย

 

ถู่ฟางมองไปกลางสนามอย่างไม่ละสายตา และเจียงอี้ฝ่านที่กำลังต่อสู้กับหลงเฉินอย่างบ้าคลั่งอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลงขึ้นในใจ

 

ผู้พิสดารยังไงก็ยังเป็นผู้พิสดาร ด้วยพลังการต่อสู้เช่นนี้ช่างบ้าเกินไปแล้ว ขอบเขตก่อโลหิตที่สามารถสู้กับผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้ นี่แทบจะเรียกว่าเป็นปีศาจได้แล้ว

 

อีกทั้งหลงเฉินในเวลาที่ได้ต่อสู้ มักจะสร้างความน่าสนใจขึ้นมาได้เป็นอย่างยิ่ง เมื่อหลงเฉินลงมือ ทั้งเด็ดขาดหมดจด แน่นอนว่าย่อมไม่เกิดความสะเพร่าขึ้นมา

 

ราวกับว่านับตั้งแต่ที่เขาได้เกิดมาก็ได้แฝงเอาไว้ด้วยความเชื่อมั่นที่ไร้ผู้ต้านมาด้วย ด้วยกลยุทธ์การต่อสู้เช่นนี้ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกสนใจขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง จนอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกว่าเลือดในกายกำลังเดือดพล่านขึ้นมา

 

“ตูมตูมตูม……”

 

ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง ไม่ว่าเจียงอี้ฝ่านจะโจมตีรุนแรงถึงเพียงใด ก็ยังไม่อาจที่จะทำอะไรหลงเฉินได้ ยิ่งไม่อาจที่จะชิงความได้เปรียบจากหลงเฉินได้ด้วยซ้ำ

 

นี้ได้ทำให้ศิษย์ทั้งหมดของหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกต่างก็ตกใจกันขึ้นมา เพราะเจียงอี้ฝ่านในหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกของพวกเขา ถือได้ว่าเป็นการคงอยู่ที่แข็งแกร่งที่สุดเลยทีเดียว

 

แต่ในขณะนี้กลับไม่อาจที่จะทำอะไรเจ้าหนูขอบเขตก่อโลหิตเพียงคนเดียวได้ นี่มันช่างน่าสะพรึงมากเกินไปแล้ว เด็กน้อยนี้แท้จริงแล้วยังเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือไม่ ?

 

แม้แต่โล่วปิงในเวลานี้ก็ยังต้องมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปจนไม่อาจจะสงบเอาไว้ได้ นางเกิดรู้สึกเสียใจที่เป็นต้นตอให้ทำภารกิจในครั้งนี้ขึ้นมาเสียแล้ว

 

ถ้าหากฆ่าหลงเฉินไปต่อให้มีการลงนามเป็นตายอยู่ เกรงว่าก็คงทำให้ทางสาขาหลักไม่พอใจขึ้นมา ถึงแม้ไม่ถึงขั้นทำให้พวกเขาเดือดร้อน แต่ว่าเบื้องหลังที่ไปหาเรื่องเองนั้น มีหรือที่จะไม่ทราบได้ ?

 

แต่ถ้าหากไม่ฆ่าหลงเฉิน พวกเขาก็ไม่อาจจะมีคำบอกกล่าวต่อหมู่ตึกที่หนึ่งได้ ผู้อื่นช่วยเหลือมามากถึงเพียงนี้ ถ้าหากยังไม่ตอบแทนกลับคืน ภายหลังก็อย่าหวังเลยว่าผู้อื่นนั้นจะมอบไมตรีมาให้อีก

 

ชั่วระยะเวลาหนึ่งโล่วปิงเองก็รู้สึกเหมือนกับนั่งอยู่บนหลังเสือยากที่จะลงมาได้ ทว่าเรื่องมาจนถึงขั้นนี้จะเสียใจไปก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่ต้องเข้าสู่เส้นทางความชั่วร้ายแล้ว

 

เมื่อได้ลองเปรียบเทียบกับทางเบื้องบนของสาขาหลักที่หากไม่พอใจขึ้นมา นางก็ยังคงสามารถที่จะทำให้หมู่ตึกที่หนึ่งพอใจ และยิ่งไปกว่านั้นกลับยิ่งให้ความสำคัญกับนางมากกว่าเดิม เพราะทางสาขาเองก็มีคนอยู่มากมาย ที่มีความสัมพันธ์กับทางหมู่ตึกที่หนึ่ง

 

ขอเพียงสามารถที่จะสานสัมพันธ์กับหมู่ตึกที่หนึ่งให้ช่วยกล่าววาจา และหากคิดที่จะสานความสัมพันธ์ ความตายของหลงเฉินก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

“ตูม”

 

แล้วก็ได้มีเสียงระเบิดก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งสองคนต่างก็แยกถอยออกไป เจียงอี้ฝ่านจ้องมองไปที่หลงเฉินอย่างเยือกเย็น “แน่นอนว่าเจ้ามีความสามารถพอตัวเลยทีเดียว ทว่าก็ยังห่างไกลยิ่งนัก ยังไงเสียก็ไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงความตายของเจ้าไปได้อยู่ดี”

 

หลงเฉินนำหอกยาวพาดไปที่หัวไหล่กล่าวต่อเจียงอี้ฝ่าน “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าใบหน้ายังเจ็บอยู่?”

 

“ตาย”

 

เจียงอี้ฝ่านที่คิดจะเย้ยหยันหลงเฉินอีกหลายประโยค แต่วาจาเพียงประโยคเดียวของหลงเฉินกลับสามารถที่จะทำให้โทสะที่สุมอยู่ในอกระเบิดออกมาได้แล้ว

 

เจียงอี้ฝ่านตะโกนขึ้นมาเสียงดัง บนหน้าผากก็ได้ปรากฏวิถีพลังจากต้นตระกูลขึ้นมา วิถีพลังจากต้นตระกูลนั้นเมื่อได้ปรากฎขึ้น พลังอันมหาศาลที่น่าหวาดกลัวขุมหนึ่งก็ได้ทะลักออกมาจากภายในร่างกายของเขา และสั่นสะท้านไปทั้งแปดด้าน

 

บนหน้าผากของเจียงอี้ฝ่านนั้น มีวิถีอักขระที่คล้ายกับภาพวาดอยู่ อีกทั้งยังน่าประหลาดเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมองดูอย่างละเอียดแล้ว ราวกับว่าเป็นเหมือนสัตว์ร้ายชนิดหนึ่ง ที่มีร่างเป็นพยัคฆ์มีหางเป็นอสรพิษ เรียกได้ว่าประหลาดอย่างถึงขีดสุดเลยทีเดียว

 

ในระหว่างที่วิถีพลังจากต้นตระกูลนั้นได้ปรากฏขึ้นมา สิ่งทำให้คนหลายคนต้องแตกตื่นขึ้นมาก็คือ เจียงอี้ฝ่านมีเขี้ยวงอกยาวออกมาจากปากทั้งสองข้าง จนยื่นออกมาด้านนอกของปากและมีความยาวถึงสามฉื่อ

 

นัยน์ตาของเขาก็เกิดแปรเปลี่ยนขึ้นมา เมื่อมองดูดีๆแล้วเป็นนัยน์ตาสีแดงที่คล้ายกับมารร้าย อีกทั้งรูม่านตาดำยังดูเรียวแหลมจนน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง

 

รูม่านตาที่เรียวแหลม โดยส่วนมากแล้วมักจะปรากฏขึ้นกับสัตว์มายาเลือดเย็น เมื่อเกิดขึ้นบนตัวของมนุษย์ กลับทำให้เกิดความรู้สึกขนลุกขนพองด้วยความหวาดกลัว

 

“ร่างสัตว์ ? ”

 

หลงเฉินงงงัน ในเวลานี้รูปลักษณ์ของเจียงอี้ฝ่านคล้ายกับผู้ฝึกยุทธ์พลังกายาสัตว์ที่ได้พบก่อนหน้านี้

 

หลงเฉินได้พบพานบุคคลเช่นนี้มาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกคือในเวลาที่อยู่ที่จักรวรรดิเมืองเฟิงหมิง ที่ได้พบกับหว่างซาน ครั้งที่สองนั้นพบกับจ้าวหวูในระหว่างการทดสอบของทางหมู่ตึก ทว่าทั้งสองคนนั้นต่างก็ถูกเขาสังหารไปแล้ว

 

ถึงแม้หลงเฉินจะฆ่าไปแล้วถึงสองคน แต่ว่าเขาก็ต้องยอมรับว่าหลังจากที่พวกเขากลายเป็นร่างสัตว์ พลังการต่อสู้ถือว่าแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก

 

หลงเฉินเองเคยศึกษาคัมภีร์เกี่ยวกับทางด้านนี้มาก่อนซึ่งได้กล่าวเอาไว้ว่า ร่างสัตว์ถือได้ว่าเป็นวิธีการฝึกปรือที่ป่าเถื่อนเป็นอย่างยิ่ง

 

ผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝึกปรือโลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายา แล้วใช้โลหิตบริสุทธิ์ของตนเองผสานรวมเข้ากับมันเอาไว้ จนสามารถที่จะได้รับพลังอันมหาศาลจากสายโลหิตของสัตว์มายามาใช้ได้

 

ทว่าหยาดโลหิตของมนุษย์กับสัตว์มายา แทบจะเรียกได้ว่าแตกต่างกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าต่างฝ่ายต่างก็สามารถที่จะทำร้ายกันและกันได้เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหยาดโลหิตของสัตว์มายาที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า หากไม่ระวังขึ้นมาก็มีแต่ถูกโลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายาเข้าครอบงำไปแทนที่ หรือไม่ก็ตายไปเสียก่อน

 

ดังนั้นที่ผ่านมาร่างสัตว์ ถือได้ว่าเป็นทักษะยุทธ์ที่มิได้สูงส่งอะไร จะมีก็แต่เพียงสำนักปลายแถวบางส่วนที่ไปฝึกฝนกัน

 

แต่เมื่อได้พบกับร่างสัตว์ที่อยู่ในกายของผู้ที่เป็นถึงสุดยอดฝีมือ จึงทำให้หลงเฉินนึกไม่ถึงเลยจริงๆ

 

“ร่างสัตว์ ? เหอะเหอะ นั้นเป็นเพราะเจ้ายังไม่ทราบว่า วิชาแห่งการผสานรวมสัตว์ของข้านั้นยิ่งใหญ่ถึงเพียงใด ยังไงก็เทียบไม่ได้กับวิชาทักษะขยะชนิดนั้น ในตอนนี้ถึงแม้ว่าข้าจะใช้พลังเพียงแค่ครึ่งเดียวมันก็เพียงพอที่จะทำให้เจ้าตายได้แล้ว ได้ตายด้วยวิชาแห่งการผสานรวมสัตว์ ก็ถือเป็นเกียรติยศความภาคภูมิของเจ้าได้แล้ว ! ” เจียงอี้ฝ่านกล่าว ในเวลาเดียวกันเสียงของเขาก็ได้แหบพร่าขึ้นมาคล้ายกับเสียงจากเสียงเหล็กกำลังเสียดสีกันอยู่

 

หลงเฉินมองไปที่เจียงอี้ฝ่าน ถามกลับไปเพียงประโยคเดียว “ใบหน้าไม่เจ็บแล้วอย่างงั้นหรือ ? ”

 

“อ๊าก”

 

ทันใดนั้นเจียงอี้ฝ่านก็ได้คำรามดุจสัตว์ร้าย เท้าก็ได้กระทึบลงบนพื้นจนสั่นสะเทือนขึ้นมา แล้วก็พุ่งเข้าไปประดุจสายฟ้า และใช้พลองยาวในมือทุบเข้าใส่หลงเฉิน

 

ระดับความเร็วของเจียงอี้ฝ่านในเวลานี้ถือได้ว่าเร็วเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าเพียงแค่ขยับร่างก็ได้มาถึงเบื้องหน้าของเขา อีกทั้งพลองยาวก็ได้มาถึงเหนือศีรษะของหลงเฉินไปแล้ว

“เร็วมาก”

 

หลงเฉินตกใจขึ้นมา เขาก็ได้ใช้หอกยาวอัสนีบาตในมือต้านทานเข้าไปด้วยความรวดเร็ว

 

“โครม”

 

เสียงระเบิดดังขึ้นมา สิ่งทำให้ทุกคนแตกตื่นตกใจกันขึ้นมาก็คือ หลงเฉินถูกเจียงอี้ฝ่านซัดจนลอยออกไปภายในกระบองเดียว หอกยาวอัสนีบาตในมือเล่มนั้นถึงกับได้ถูกทำลายลง

 

“รับความตายไปซะ”

เจียงอี้ฝ่านแสยะยิ้มขึ้น แล้วก็ได้พุ่งเข้าหาหลงเฉินอีกครั้ง พลองยาวใจกลางฝ่ามือก็ได้ทอประกายเจิดจ้าขึ้นมา พลังอันรุนแรงที่น่าหวาดกลัวขุมหนึ่งก็ได้ผนึกเข้ามาที่หลงเฉิน หนึ่งหอกปกคลุมกดทับลงมาที่หลงเฉินประดุจเขาไท่ซานถล่มทับ

 

หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าครั้งหนึ่ง ดูเหมือนว่าพลังแห่งอัสนีบาตของตนเอง ยังจำเป็นที่จะต้องสะสมพลังเพิ่มขึ้นอีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ควรที่จะเปลี่ยนไปใช้มันเพื่อออกศึกแทนก็แล้วกัน

.

.

ช่องทางการจัดจำหน่าย : https://novelrealm.com/detail.php?novel=22 <<< (ถึงตอนที่ 1031 แล้วครับ)

ฝากแฟนๆกดติดตามหรือกดLikeเพจเคล็ดกายานวดาราด้วยครับ >>> 9 ดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา
Status: Ongoing
เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset