“วิชาผลาญโลหิต”
ระหว่างที่เจียงอี้ฝ่านตะโกนขึ้นร่างกายของเขาก็ได้เกิดกระตุก เพียงแค่ครู่เดียวก็ผอมแห้งขึ้นมาราวกับว่าได้กลายเป็นโครงกระดูกขนาดใหญ่
ดูไปแล้วน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง ภายในพริบตานั้นเองพลังอันมหาศาลของเจียงอี้ฝ่านก็ได้ปะทุจนเข้าถึงขอบเขตที่ยังไม่เคยเข้าถึงมาก่อน
โล่วปิงที่มองดูการต่อสู้อยู่ในที่ไกลออกไป ครู่เดียวสีหน้าก็ขาวซีดขึ้นมา วิชาผลาญโลหิตนั้นนางก็รู้จัก ถือว่าเป็นวิชาลับที่เป็นการทำร้ายตนเอง เพื่อจะเพิ่มพูนพลังให้แข็งแกร่งขึ้นด้วยการเผาผลาญโลหิตบริสุทธิ์
ต่อให้เป็นผู้มีพรสวรรค์ก็ไม่ง่ายเลยที่จะใช้มันขึ้นมา เพราะผลที่ตามมานั้นเรียกได้ว่าน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง หาแย่ขึ้นมาก็จะทำให้พลังขอบเขตของพวกเขาหยุดอยู่กับที่จนไม่อาจที่จะก้าวหน้าขึ้นมาได้อีกเลย
โดยเฉพาะกับศิษย์สายตรง เหล่าชนชั้นเบื้องสูงต่างก็ได้กำชับเอาไว้ หากมิใช่ห้วงความเป็นความตาย จงอย่าได้ใช้การผลาญโลหิตโดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นแล้วจะได้รับผลกระทบที่หนักเป็นอย่างยิ่ง
และในเวลานี้เจียงอี้ฝ่านก็ได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไปเช่นกัน จึงไม่สามารถที่จะใช้หลักเกณฑ์ความคิดของคนตามปกติมาแยกแยะได้
ภายในพริบตานั้นเองหลงเฉินได้รู้สึกว่าที่ด้านบนของกระบองอีกฝ่ายนั้น ราวกับมีภูเขาไฟที่ระเบิดขึ้นมา ถึงขั้นซัดเขาให้ลอยห่างออกไปหลายร้อยจั้งในทันที
“ตายซะ”
กระบองด้ามนี้เมื่อซัดจนหลงเฉินลอยกระเด็นออกไปแล้ว เจียงอี้ฝ่านก็ตะโกนขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว แล้วก็ได้ทุบกระบองลงไปอีกครั้ง ผลของวิชาผลาญโลหิตนั้นสั้นเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงจำเป็นต้องฆ่าหลงเฉินให้เร็วที่สุด
หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าครั้งหนึ่ง ชี้ดาบยาวขึ้นฟ้าและหลับตาทั้งสองข้างลงรอคอยเวลาที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ภายในแววตาก็ปรากฏแผนผังของดวงดาวขึ้นมา
“กายาศึกกักวายุ——ปรากฏ”
ผึ่ง !
พลังที่น่าหวาดกลัวราวกับว่ามีความเร็วเพียงพริบตา ก็พุ่งขึ้นมาจนถึงขีดสุดจนสั่นคลอนไปทั้งหมอกเมฆา ทั้งยังทลายกลีบเมฆบนท้องนภาออกไป
ภายใต้เบื้องหน้าพลังขุมนั้น แม้ว่าโล่วปิงที่เป็นยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้า ก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องรู้สึกจิตใจสั่นไหวขึ้นมา คล้ายกับเกิดความรู้สึกที่อยากจะคุกเข่าลงไปกราบไหว้เลยก็ว่าได้
สิ่งนี้ได้ทำให้นางตกใจขึ้นมา นั้นถือได้ว่าเป็นพลังที่ทลายได้แม้กระทั่งเก้าชั้นฟ้าเลยทีเดียว ใช้ความแน่วแน่สังหารเทพประหารมาร ภายใต้เบื้องหน้าความแน่วแน่ขุมนั้น แม้แต่นางเองก็แทบรู้สึกว่าตนเองไม่ต่างอะไรไปจากมดแมลงตัวหนึ่งเลยทีเดียว
ความแน่วแน่เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ลี้ลับยิ่งกว่าลี้ลับเลยก็ว่าได้ ซึ่งหาได้เกี่ยวข้องกับการฝึกปรือไม่ เมื่อเทียบเปรียบกับโล่วปิง ถู่ฟางกับพวกกลับดูดีกว่าเป็นอย่างมาก
เพราะพวกเขานั้นยังมิได้เข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อฟ้า จึงหาได้มีความรู้สึกที่เฉียบคมเทียบเท่าขอบเขตขั้นก่อฟ้าไม่ และเหล่าศิษย์ธรรมดาเหล่านั้น กลับยิ่งไม่อาจที่จะสัมผัสได้เลย เพียงแต่รู้สึกแค่ว่าหลงเฉินในตอนนี้แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากเทพสวรรค์ผู้หนึ่งเลยก็ว่าได้
“ทลาย”
หลงเฉินตะโกนขึ้นมาเสียงดังกังวาน คล้ายดั่งเสียงคำรามจากเทพมาร แผ่กระจายสั่นสะเทือนไปยังเมฆหมอกทั้งแปดด้าน ทลายมารในมือก็ได้ฟันออกไปทางด้านหน้า
“ตูม”
“โครม”
ดาบของหลงเฉิน ได้ตัดพลองยาวที่จัดอยู่ในระดับอาวุธปราณในมือของเจียงอี้ฝ่านขาดในทันที อีกทั้งยังไหลเวียนพลังสภาวะที่น่าหวาดกลัวเข้าหาเจียงอี้ฝ่านจนต้องกระเด็นออกไป
“พรวด”
เจียงอี้ฝ่านกระอักโลหิตออกมาคำโต ตัวเขาเองก็พบว่าภายในเลือดที่กระอักออกมานั้น มีเลือดอยู่เพียงน้อยนิด โดยส่วนมากแล้วกลับเป็นอวัยวะต่างๆที่ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
เดิมทีเจียงอี้ฝ่านนั้นที่ตกอยู่ภายใต้การสูญเสียสติสัมปชัญญะ เรียกได้ยอมเผาผลาญโลหิตบริสุทธิ์ไปเป็นจำนาวนมาก เพื่อที่จะนำมาเปลี่ยนแปลงเป็นพลังการต่อสู้ที่เหนือล้ำขึ้นไปอีก ขณะนี้ภายในร่างกายเขาจึงเหลือเลือดอยู่อีกเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากที่เจียงอี้ฝ่านกระอักเลือดออกมา เพียงแค่ครู่เดียวก็ตกอยู่ภายใต้สภาวะที่อ่อนโทรมลง จนไม่อาจที่จะรั้งสภาวะเช่นเดิมเอาไว้ได้อีก จากนั้นจึงกลับคืนสู่สภาพเดิม
ในเวลาเพียงแค่ครู่เดียวเจียงอี้ฝ่านก็ได้สติกลับคืนมา แต่ทันใดนั้นคมดาบที่แฝงเอาไว้ด้วยจิตสังหารที่เข้มข้นรุนแรงก็ได้ฟันลงมา หมายจะตัดให้ลำคอเขาให้ขาดไปในดาบเดียว
“ไม่……”
เจียงอี้ฝ่านสีหน้าแตกตื่นขึ้นมา เขายังไม่อยากตาย เขาเป็นถึงผู้มีพรสวรรค์ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยด้วยซ้ำว่าความตายจะเข้ามาหาเขาได้เร็วถึงเพียงนี้
ขณะที่ความตายอยู่ตรงหน้า ความหวาดกลัวก็ได้เข้ามาแทนที่จนเนื้อตัวเขาสั่นเทาไปทั้งร่าง
“ไสหัวออกไป”
ในช่วงเวลาที่ดาบของหลงเฉินได้ฟันลงมาที่ศีรษะของเจียงอี้ฝ่าน เงาร่างของคนผู้หนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของหลงเฉิน และฟาดฝ่ามือเข้าไปที่ดาบยาวของหลงเฉิน
“โครม”
หลงเฉินเป็นห่วงพลังอันมหาศาลขุมใหญ่ที่ได้ไหลเวียนกันเข้ามา ทั่วทั้งแขนก็ได้กระจายออกไปเป็นฉากๆ ทลายมารหลุดออกมาจากมือ คนก็ลอยกระเด็นออกไป
“พรวด”
หลงเฉินรู้สึกเหมือนร่างกายคล้ายกับจะระเบิดขึ้นมา ได้กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง เขาเห็นโล่วปิงขึ้นไปอยู่ทางด้านหน้าของเจียงอี้ฝ่าน การโจมตีนั้นเป็นฝีมือของนางที่ลงมือออกมาเอง
“อายุอานามก็ยังน้อย กลับเข้าสู่วิถีมารทั้งยังหาญกล้าที่จะลงมือต่อคนร่วมสำนักได้อย่างโหดร้ายถึงเพียงนี้ ยังไม่รีบคุกเข่าสำนึกผิดอีก”
หลงเฉินที่เพิ่งจะหยุดร่างเอาไว้ได้ ก็ได้ยินเสียงของโล่วปิงตะโกนขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด และทันใดนั้นก็ได้มีพลังแห่งฟ้าดินขุมใหญ่ทำการกักขังเขาเอาไว้
เขารู้สึกว่ากำลังถูกสภาวะอากาศโดยรอบผนึกไว้ พลังแห่งฟ้าดินกำลังบีบเขาจนแน่น ทำให้ร่างกายเขาสั่นเทา ราวกับว่าทั้งร่างกำลังจะระเบิดขึ้นมา
ราวกับว่าบนร่างกายของหลงเฉินถูกพลังจากทั่วทั้งฟ้ากดดันเอาไว้ กระดูกทั่วทั้งร่างกายก็ได้เสียงดังระเบิดเปรี้ยงขึ้นมา พร้อมที่จะแหลกลานไปได้ทุกเมื่อ
หลงเฉินเกิดโทสะขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง สตรีที่ดุร้ายผู้นี้ ไม่แต่เพียงคดโกงช่วยเหลือเจียงอี้ฝ่าน กลับยังคิดที่จะทำลายวิถีจิตใจของตนเองอีก
ถ้าหากวันหนึ่งหลงเฉินถูกกดดันจนต้องคุกเข่าลง จิตใจที่ไร้ผู้ต้านของเขาก็คงจะต้องแปดเปื้อน จนอาจจะเข้าสู่วิถีแห่งจิตมารขึ้นมา ไม่เช่นนั้นทั้งชีวิตนี้หลงเฉินก็คงจะไร้ค่าแล้ว และไม่อาจที่จะข้ามขีดจำกัดของพลังไปได้อีกตลอดกาล
แววตาของหลงเฉินก็ได้คุกรุ่นไปด้วยพลังจิตสังหารที่รุนแรง แต่ว่าร่างกายของเขากลับถูกพลังแห่งฟ้าดินกดดันเอาไว้ ความรู้สึกที่คล้ายกับว่าร่างกายจะระเบิด แม้แต่คำพูดเพียงแค่ประโยคเดียวก็ยังไม่อาจที่จะกล่าวออกมา
หลงเฉินที่กำหมัดเอาไว้จนแน่น กัดฟันจนเลือดไหลออกมาจับจ้องมองไปที่พลังขุมนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วก็ได้ลอบสาบานเอาไว้ว่า ข้าหลงเฉินหากไม่สามารถฆ่าสตรีโสโครกนางนี้ได้ จะไม่ขอเป็นคนอีก
เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นถือได้ว่ากะทันหันจนเกินไป ไม่ว่าผู้ใดต่างก็คิดไม่ถึงว่าผู้ที่เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้า จะมาลงมือต่อศิษย์ที่มีพลังเพียงแค่ขอบเขตก่อโลหิตผู้หนึ่งเท่านั้น
เมื่อถู่ฟางรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ก็พบว่าแม้แต่ตัวพวกเขาเองก็ไม่อาจที่จะขยับเคลื่อนไหวได้ การที่ได้อยู่เบื้องหน้าพลังก่อฟ้าของยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้า ทำให้พวกเขาเองก็ไม่มีพลังพอที่จะต้านทานเอาไว้ได้ จนทั้งหมดต่างก็ถูกคุมเอาไว้
ในขณะที่หลงเฉินเกือบที่จะทนต่อไปไม่ไหว เท้าทั้งสองข้างเองแทบจะขาดออกจากกัน สภาพอากาศก็ได้เกิดความบิดเบี้ยวขึ้นมา ก็ได้ปรากฏเงาร่างของคนผู้หนึ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“คิดว่าสถานที่แห่งนี้เป็นบ้านเจ้าหรือยังไงกัน ? ”
น้ำเสียงที่เย็นชาก็ได้ดังขึ้นมา หลิงหวินจื่อปรากฏกายอยู่ที่เบื้องหน้าของโล่วปิง และภายในพริบตานั้นเองโล่วปิงก็พบว่า นางไม่อาจที่จะขยับเคลื่อนไหวได้อีกแล้ว
“เพียะ”
โล่วปิงได้แต่มองดูมือข้างหนึ่ง ที่ได้ทำการแนบไปบนใบหน้าของนางอย่างใกล้ชิด
“ตูม”
โล่วปิงได้ถูกมือของหลิงหวินจื่อตบจนลอยกระเด็นออกไป หลิงหวินจื่อที่เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้า ในระหว่างที่ออกกระบวนท่าต่างก็แฝงเอาไว้ด้วยพลังแห่งการก่อฟ้า
โล่วปิงลอยกระเด็นออกไปคล้ายกับกระสุนปืนใหญ่ เมื่อใบหน้าของโล่วปิงจมเข้าไปภายในดินโคลน ทำให้ทุกคนเดิมทีที่ต่างก็ถูกสยบเอาไว้ก็ได้หลุดพ้น
ทางด้านนอกบนพื้นดินอันกว้างใหญ่ ก็ได้มีรอยขูดคล้ายกับปากกาขีดเป็นเส้นลากยาวออกไป ดูเหมือนกับหลุมทุ่นระเบิด เป็นเส้นยาวห่างออกไปเป็นระยะทางหลายร้อยลี้ จนกระทั่งได้บรรจบเข้าหาภูเขาลูกหนึ่ง
เขาลูกนั้นมีความสูงอยู่หลายพันเชียะ เมื่อได้รับแรงกระแทกถึงกับสั่นสะเทือนทันที ทั้งยังคละคลุ้งเต็มไปด้วยหมอกควัน
โล่วปิงถูกซัดจนลอยออกไป จึงได้ทำให้ผู้คนต่างก็ได้คลายจากแรงกดดัน หลงเฉินไม่อาจที่จะทรงกายเอาไว้ได้ถึงกับนอนแผ่หายใจหอบ ความเจ็บปวดตลอดทั้งร่างที่แม้กระทั่งกระดูกเองก็ยังแตกไปเลย
“ช่างน่าเสียดายเสียจริง ระดับเจ้าสำนักกลับไม่ถนัดการตบหน้ากรอกหู ถ้าหากได้ทักษะของข้า จะต้องตบจนแม่มดเฒ่าผู้นั้นตายไปภายในฝ่ามือเดียวแล้ว ทว่าก็ดี ความแค้นนี้ทิ้งไว้ให้ข้าชำระเองก็แล้วกัน ! ” หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าไปครั้งหนึ่ง
“โครม”
ท่ามกลางดินโคลนที่ปะทุขึ้นมา ก็ได้มีศีรษะของโล่วปิงผุดออกมาพร้อมกับสีหน้าดุร้าย มุ่งหน้าเข้ามายังด้านของหลิงหวินจื่อ
“หลิงหวินจื่อ เจ้ากล้าตบข้า” เสียงที่เกรี้ยวกราดนั้นคล้ายกับวาจาของแม่ค้าในตลาดก็มิปาน
“เช้ง”
ในขณะที่โล่วปิงกำลังระเบิดโทสะ ในเวลาที่เตรียมที่จะสู้กับหลิงหวินจื่อ ทันใดนั้นดวงตาก็พร่ามัวขึ้นมา ช่วงคอเย็นวาบจนถึงขั้นไม่อาจที่จะขยับได้แม้แต่น้อย
“เจ้า……ถึงกับ……เข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อฟ้าตอนกลางแล้วอย่างงั้นหรือ ? ” โล่วปิงกล่าวด้วยสีหน้าหวาดผวา
หลิงหวินจื่อที่เพิ่งทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อฟ้าไปเพียงแค่ร้อยกว่าปี กลับเข้าถึงขอบเขตขั้นก่อฟ้าตอนกลางได้แล้ว
หากเมื่อได้เข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อฟ้าแล้ว การที่จะก้าวหน้าขึ้นมาแม้เพียงนิดก็ถือว่ายากเย็นเป็นอย่างยิ่ง โล่วปิงที่ทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อฟ้ามาได้ตั้งหลายปี กลับยังไม่อาจควบคุมพลังของตนเองเอาไว้ได้เลย
เดิมทีที่คิดว่าหลิงหวินจื่อนั้นแข็งแกร่งกว่านางไม่มากนัก จึงได้กล้าที่จะมารังควานถึงที่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิงหวินจื่อ ไม่เพียงทะลวงเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อฟ้าตอนต้นได้แล้ว แต่ยังถึงกับเข้าถึงตอนกลางไปแล้ว ทั้งยังกดดันนางไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย
ต่อให้ฝันก็ยังคิดไม่ถึงว่า หลิงหวินจื่อจะสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อฟ้าตอนกลางไปได้ แต่ความจริงแล้วกลับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้เท่านั้น
“ที่นี้ไม่ใช่หมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกของพวกเจ้า การมายังสถานที่ของข้า มาเหยียดหยามศิษย์ของข้า แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะไม่กล้าทำอะไรเจ้าอย่างงั้นหรือ ? ” หลิงหวินจื่อกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
“เฮอะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะกล้าทำอะไรข้า” ถึงแม้จะถูกหลิงหวินจื่อสยบเอาไว้ โล่วปิงเองก็ยังคงกล่าวออกมาด้วยความยโสโอหัง
พลังฝีมือของหลิงหวินจื่อถือได้ว่าสูงส่งกว่านาง ทว่าระหว่างหมู่ตึกทั้งสองกลับถูกจัดอันดับเอาไว้ได้อย่างห่างไกล นางจึงหาได้เกรงกลัวหลิงหวินจื่อไม่
ถึงอย่างไรหมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปดของหลิงหวินจื่อ ก็ถือได้ว่าเป็นการคงอยู่ที่ต่ำต้อยที่สุดของหมู่ตึกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหมู่ตึกใดต่างก็ไม่มีใครคิดที่จะสนใจพวกเขาอยู่แล้ว
หมู่ตึกของพวกเขากลับแตกต่างกัน เนื่องจากมีหมู่ตึกอยู่ไม่น้อยที่เข้าประจบหาพวกเขา หากเป็นหมู่ตึกที่สูงกว่า ก็มีอยู่ไม่น้อยที่มีความสัมพันธ์กันอยู่ ไม่เช่นนั้นแล้วนางก็คงจะไม่อาจหาญที่จะบุกเข้ามาโจ่งแจ้งเช่นนี้
“หลงเฉินเจ้ามาตัดสินเองเถอะ ขอเพียงเจ้าต้องการข้าจะเด็ดศีรษะของนางมาให้แก่เจ้า” หลิงหวินจื่อกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเฉยชา
เสียงที่กล่าวออกมานั้นเรียบเฉยเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความความเด็ดเดี่ยวไร้ซึ่งความลังเล จนทำให้โล่วปิงต้องมีสีหน้าเปลี่ยนไป
หลงเฉินคิดไม่ถึงว่า หลิงหวินจื่อจะกล้าหาญได้ถึงเพียงนี้ ยังกล้าที่จะสังหารโล่วปิงที่ถือได้ว่าเป็นสุดยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้า ถ้าหากฆ่าไปแล้วหลิงหวินจื่อจะต้องตกอยู่ภายใต้ความลำบากขึ้นมา จนถูกทางสาขาหลักลงโทษ ต่อให้เขาคิดหลบหนีก็หนีไม่พ้น
หลงเฉินสัมผัสได้ถึงการตัดสินใจของหลิงหวินจื่อ ขอเพียงตนเองพยักหน้า ศีรษะของโล่วปิงจะต้องร่วงลงพื้นอย่างแน่นอน
ทั่วทั้งสนามก็เงียบสงัดขึ้นมา มีเพียงใบหน้าหวาดผวาของโล่วปิงที่มองไปยังหลิงหวินจื่อ แล้วก็ส่ายหน้าไปมาพร้อมทั้งมองไปทางหลงเฉิน ทำให้ตอนนี้จิตใจของผู้คนราวกับกำลังถูกหินยักษ์ก้อนหนึ่งกดทับเอาไว้ จนยากที่จะทำให้ทุกคนหายใจได้อย่างสะดวก
ผู้ใดจะคาดคิดได้ว่าเพียงแค่การต่อสู้ระหว่างศิษย์ทั้งสองคน จะกลายเป็นการชักนำให้ยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้าลงมือได้ ถ้าหากหลงเฉินเกิดพยักหน้าขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นถือได้ว่าเป็นเรื่องที่สะเทือนไปทั้งฟ้าได้เลยทีเดียว
ถู่ฟางเองก็อดที่จะกังวลขึ้นมาไม่ได้ เขาเริ่มที่จะไม่เข้าใจแล้วว่าความเฉลียวฉลาดที่มีมาโดยตลอด เจ้าสำนักที่ไม่ว่าจะกระทำการใดต่างก็รอบคอบเป็นอย่างยิ่ง เหตุใดถึงได้เปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้กัน
แต่ที่เขาไม่ทราบก็คือ หลิงหวินจื่อในเวลานี้ได้เสาะหาความห้าวหาญในสมัยก่อนของตนเองกลับมาได้แล้ว แม้จะต้องพบเจอกับความตายก็ไม่ได้คิดใส่ใจ แล้วมีหรือที่จะมาสนใจว่าจะเกิดผลลัพธ์อะไรตามมา
“ช่างมันเถอะ ท่านเป็นถึงบุคคลระดับเจ้าสำนัก การฆ่าสตรีปากร้ายไปคนหนึ่ง ข้าเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของท่านได้” หลงเฉินส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวออกมา
แม้หลงเฉินคิดที่จะพยักหน้าก็ตาม เพื่อทำให้คนที่คิดจะคุกคามตนเองให้คุกเข่าลง อีกทั้งยังมีความตั้งใจที่โหดเหี้ยมจนถึงขั้นทำลายจิตวิญญาณของตนเองไป
แต่เขาก็ทราบว่า หากทำเช่นนั้นก็มีแต่จะทำให้หลิงหวินจื่อตกอยู่ในอันตราย เขาจึงไม่สามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ เรื่องนี้ให้ตนเองออกหน้ายังจะดีเสียกว่า
หลงเฉินค่อยๆเดินไปที่ข้างกายของเจียงอี้ฝ่าน ที่ในเวลานี้เองได้หมอบราบอยู่กับพื้น จนไม่อาจที่จะขยับเขยื้อนได้
“เพียะ”
หลงเฉินตบเข้าไปที่ใบหน้าของเขา จนถึงกับทำให้เขากระเด็นลอยออกไปถึงเบื้องหน้าของศิษย์หมู่ตึกที่สามสิบหก
“กล้าที่จะมาข่มขู่คนของข้าถึงที่ วันนี้ไม่ฆ่าเจ้าก็ถือว่าเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นเยียบ
เมื่อหันกลับมาหลงเฉินจ้องมองไปที่หน้าปั้นยากของโล่วปิงแล้วกล่าวขึ้นมา “ช่างสมกับเป็นยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้าจริงๆ ที่ฝึกปรือมาตั้งหลายปีสงสัยคงจะฝึกอยู่แค่บนใบหน้าแล้วกระมัง ?
เห็นๆกันอยู่ว่าเป็นการต่อสู้ตัดสินเป็นตาย อีกทั้งยังได้ลงนามเป็นตายไปแล้ว เจ้าก็ช่างเข้าใจหาข้ออ้างในการลงมืออย่างอำมหิตได้อีกนะ คนหน้าด้านอย่างเจ้าสามารถที่จะเข้าสู่ขั้นก่อฟ้าได้สวรรค์คงจะไร้นัยน์ตาไปแล้วจริงๆ เพ่ย ! ”
หลงเฉินกล่าวต่อว่า “ตอนนี้ข้าชนะแล้วพวกเราจะทำตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ กล้าเดิมพันก็ต้องกล้ายอมรับ ตอนนี้เจ้าก็สมควรยอมรับว่าเจ้านั้นเป็นสุกรได้แล้วละ
คำพูดของหลงเฉิน ทำให้สีหน้าของโล่วปิงเย็นเฉียบ แววตาทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยรังสีสังหาร จ้องมองที่หลงเฉินอย่างเอาเป็นเอาตาย