ณ หมู่ตึกพลิกสวรรค์สาขาหลัก ที่เบื้องล่างนั้นมีสาขาถึงร้อยแปดหมู่ตึก นับจากลำดับที่หนึ่งไปจนถึงลำดับที่ร้อยแปด ต่างก็ใช้วิธีจัดอันดับโดยการต่อสู้ในทุกสามปี
การจัดอันดับของแต่ละหมู่ตึกในแต่ละครั้งนั้น จะเป็นตัวแบ่งแยกการได้รับทักษะลับ ยาโอสถ อาวุธ จนรวมไปถึงทรัพยากรอื่นๆเป็นต้น
การแบ่งสันปันส่วนด้วยวิธีเช่นนี้ จึงส่งผลต่อการแย่งชิงความก้าวหน้าของหมู่ตึกได้เป็นอย่างยิ่ง แต่กลับทำให้ทางหมู่ตึกได้รับผลกระทบที่หนักสองรูปแบบ
หมู่ตึกที่แข็งแกร่งก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ส่วนที่อ่อนแอก็ยิ่งอ่อนแอมากขึ้นเช่นกัน บุคคลที่จัดได้ว่าอยู่ในระดับยอดฝีมือจะได้รับทรัพยากรที่มากขึ้นเรื่อยๆ
ก็คล้ายกับหมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปดของหลงเฉิน หลายปีที่ผ่านมาผู้ที่จัดได้ว่าอยู่ในชนชั้นอันดับหนึ่ง ย่อมไม่มีผู้ใดมาสั่นคลอนได้อยู่แล้ว
ผลจากการแบ่งสันปันส่วนสวัสดิการจากทางหมู่ตึกในทุกๆปี เรียกได้ว่าลำบากยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง เมื่อไม่มีทรัพยากรที่ดี ต่อให้มีศิษย์ที่ยอดเยี่ยมก็ยากที่จะสร้างขึ้นมาได้
ในส่วนที่เชื่อมโยงของการอดตาย ถ้าจะเรียกให้ถูกก็คล้ายกับตายไปแล้ว แต่ว่านี่ก็เป็นกฎ จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
หากคิดที่จะกินอิ่ม เช่นนั้นก็ต้องมีความพยายามในระหว่างการจัดอันดับให้มากยิ่งขึ้น เพียงแค่การจัดอันดับเท่านั้นที่จะสามารถเพิ่มพูนสวัสดิการขึ้นมาได้
นี่เป็นความห่างชั้นจากหมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปดของหลงเฉินโดยสิ้นเชิง ในพื้นที่กว่าร้อยหมื่นลี้ในห้วงขุนเขาภายใต้ต้นไม้ที่ยิ่งใหญ่ รวมไปจนถึงเป็นจุดที่กำเนิดสัตว์ประหลาดมากมายขึ้นมา
และที่ด้านบนขุนเขาสูงแห่งนี้ ยังได้ปลูกสร้างตำหนักแห่งหนึ่งขึ้นมา ปกคลุมไปทั่วทั้งขุนเขา
สถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของหมู่ตึกที่หนึ่งนั่นเอง ภายในรอบบริเวณของขุนเขาในระยะหมื่นลี้ ยังได้มีการจัดตั้งค่ายกลพลังปราณสีม่วงอันยิ่งใหญ่เอาไว้
ถ้าหากศิษย์ของหมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปดได้มาที่นี่ ก็คงจะต้องหวาดผวาเมื่อได้พบเห็นพลังปราณในสถานที่แห่งนี้ เมื่อเทียบกับภายในถ้ำที่เปิดค่ายกลหินปราณของพวกเขาแล้วถือได้ว่าแรงกล้ากว่าอย่างมากมาย
และภายในจุดที่สูงที่สุดก็เลิศหรูอย่างไร้ที่เปรียบ ทั้งยังได้ปลูกสร้างหอคอยที่สูงใหญ่อยู่หลังหนึ่งเอาไว้ด้วย ในส่วนที่เป็นชั้นบนสุดของหอคอยสูง ก็ได้รวมผู้คนมากมายที่ในเวลานี้กำลังมองไปยังแผ่นภาพที่ปรากฏขึ้นบนกำแพง
หนึ่งในนั้นมีสตรีอยู่ผู้หนึ่งนั่นก็คือโล่วปิง ที่ข้างกายของโล่วปิงก็มีคนอายุประมาณสี่สิบปีอยู่ผู้หนึ่ง เป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับโล่วปิง เขาก็คือพี่ชายของโล่วปิง หรือก็คือเจ้าสำนักของหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกนามว่าโล่วฟ่งนั่นเอง
เบื้องหน้าของโล่วปิงกับโล่วฟ่งก็มีชายผู้หนึ่งที่มีใบหน้าเย็นเยือกแววตาคมกล้าดุจดั่งคมดาบ จนทำให้ผู้คนไม่อาจที่จะมองสบตาเข้าไปตรงๆได้
คนที่ยืนอยู่ในที่ตรงนั้นราวกับไร้ซึ่งการคงอยู่ จนให้ความรู้สึกเหมือนดั่งได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลกหล้าไปเลย
ชายหนุ่มผู้นี้มิใช่ใครอื่น แท้จริงแล้วคือเจ้าสำนักหมู่ตึกที่หนึ่งซาฉี่เทียนนั้นเอง ทั้งยังมีพลังจนถึงขั้นก่อฟ้าตอนปลายระดับสูงสุดแล้วอีกด้วย ถือเป็นดั่งหางเสือของหมู่ตึกที่หนึ่งเลยก็ว่าได้
ซาฉี่เทียนมีสถานะเป็นถึงเจ้าสำนักของหมู่ตึกที่หนึ่งมีฐานะที่สูงล้ำ ใช่ว่าบุคคลโดยทั่วไปจะสามารถเข้าพบได้โดยง่าย
แต่วันนี้กลับไม่เหมือนกัน โล่วฟ่งที่ได้นำเอาภาพบันทึกล้ำค่ามาด้วยชิ้นหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ทุกคนก็กำลังมองไปยังภาพบนกำแพงแบบที่ไม่อาจกระพริบตาได้เลย
บนภาพที่ฉายอยู่ตรงนั้นก็คือภาพที่หลงเฉินเปิดศึกกับเจียงอี้ฝ่านนั้นเอง วงแหวนเทวะบนแผ่นหลังที่สะท้านไปทั้งใต้หล้า เปี่ยมด้วยพลังการต่อสู้ที่สะท้านไปทั้งฟ้า แม้ว่าทั้งหมดต่างก็เป็นยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้าแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจขึ้นมา
ทันทีที่ภาพได้เลือนหายไป โล่วฟ่งกล่าวขึ้นมาอย่างเร่งร้อนว่า “เจ้าสำนักซา หลงเฉินผู้นี้เป็นคนที่ไม่อาจจะปล่อยเอาไว้ได้นะ ในภายหน้าจะต้องเป็นตัวก่อหายนะขึ้นมาอย่างแน่นอน”
ครั้งนี้โล่วปิงได้นำพาศิษย์มากมายเพื่อไปหยามเกียรติอีกฝ่าย กระนั้นผลสุดท้ายผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศผู้หนึ่งกลับได้ถูกทุบตีกลับมาอย่างน่าอนาถ อีกทั้งผู้อยู่เหนือขอบเขตอีกสองคนก็ถูกทุบตีจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเช่นกัน เวลานั้นทำให้โล่วฟ่งแทบคลั่งขึ้นมาเลยทีเดียว
ทว่าเมื่อได้ฟังคำอธิบายการต่อสู้จากปากโล่วปิง โล่วฟ่งก็ได้พาโล่วปิงมายังหมู่ตึกที่หนึ่งในทันที
เรื่องนี้ยังไงเสียก็ไม่ต่างอะไรไปจากการลงมือเพื่อหมู่ตึกที่หนึ่ง ความสูญเสียที่สาหัสในครั้งนี้ยังถือได้ว่าเป็นการสานไมตรี ยังไงก็ต้องหาวิธีไกล่เกลี่ยให้ได้
เจียงอี้ฝ่านกับลูกศิษย์คู่แฝดได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส จึงจำเป็นที่จะต้องให้ยอดฝีมือทางสาขาหลักช่วยลงมือจึงจะสามารถช่วยเหลือได้
ต่อให้ยอดฝีมือของสาขาหลักลงมือช่วยเหลือไปแล้ว พวกเขาก็ยังต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายอันมหาศาลก้อนหนึ่ง เพราะผู้อื่นย่อมไม่ช่วยเหลือโดยที่ไม่มีอะไรตอบแทนอยู่แล้ว
โล่วปิงเรียกได้ว่าเกลียดหลงเฉินเข้ากระดูกเลยก็ว่าได้ แทบอยากจะกินเลือดกินเนื้อเลยทีเดียว โล่วฟ่งเองก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปมากมาย สองพี่น้องเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะไม่ปล่อยให้น้องสาวกระทำเรื่องเช่นนี้
แต่โล่วฟ่งกลับมองการณ์ไกลกว่าโล่วปิง ว่าหลงเฉินนั้นเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่น่าหวาดกลัวผู้หนึ่งเลยทีเดียว เขาย่อมไม่อาจที่จะปล่อยให้หลงเฉินเป็นใหญ่ขึ้นมาได้
การมาในครั้งนี้อย่างแรกก็เพื่อที่จะสานไมตรีให้สำเร็จลุล่วง อย่างที่สองก็คือคิดจะยืมมือของหมู่ตึกที่หนึ่งเพื่อจัดการหลงเฉินทิ้งเสีย
“ในฐานะที่เป็นศิษย์ร่วมสำนัก เหตุใดถึงต้องมาฆ่าฟันกันด้วย? หมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปดได้มีผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างหลงเฉิน เราย่อมต้องยินดีไปกับพวกเขาจึงจะถูกต้อง จงอย่าได้มีจิตอิจฉาริษยาเลย” ซาฉี่เทียนส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวออกมา
โล่วปิงกับโล่วฟ่งถึงกับหน้าเปลี่ยนสี ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยที่พวกเขาได้พบเจอกับเจ้าสำนักแห่งหมู่ตึกที่หนึ่ง แต่สิ่งที่เขาแสดงออกมาให้ทั้งสองคนเห็นก็ทำให้เขาเกิดอาการปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมา
ภายในจิตใจก็ได้เกิดความหดหู่ขึ้นมา อะไรจะจิตใจคับแคบได้ถึงเพียงนี้กัน ตัวข้าเพื่อที่จะช่วยพวกเจ้าออกหน้าแล้ว กลับยังต้องมาตกที่นั่งลำบากเช่นนี้ สิ่งที่เจ้ากล่าวออกมาถึงกับไร้น้ำใจถึงเพียงนี้ เจ้ายังเป็นคนได้อยู่อย่างนั้นหรือ?
ถึงแม้ว่าจะไม่พอใจแต่พวกเขาก็ยังไม่กล้าที่จะแสดงอารมณ์ออกมาทำได้แต่เก็บไว้ในใจ
“ในเมื่อร่วมสำนักเดียวกันก็สมควรที่จะค้ำจุนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ได้ยินมาว่าศิษย์ของพวกเจ้าเองก็ได้รับบทเรียนกันไปแล้ว
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราสองหมู่ตึกก็ถือว่าดีมาโดยตลอด เรื่องของศิษย์พวกเจ้านั้น พวกเราไม่อาจที่จะยื่นมือเข้าไปแก้ไขได้” ซาฉี่เทียนกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเฉยชา
เมื่อโล่วฟ่งได้ยินเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะทอสีหน้ายินดีขึ้นมา เขาฉลาดกว่าโล่วปิงเป็นอย่างมาก ฟังไปฟังมาก็ทราบถึงต้นสายปลายเหตุขึ้นมาได้
“เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องขอขอบคุณเจ้าสำนักซามาก” โล่วฟ่งกล่าวขึ้นมาอย่างเปี่ยมมารยาท
“หลงเฉินผู้นั้น……” โล่วปิงกล่าวขึ้นมาด้วยความพะวง ถึงอย่างไรนางก็ต้องการให้หลงเฉินตาย เมื่อเห็นว่าไม่ได้รับการตอบรับ นางก็ไม่ยินยอมขึ้นมา
“หลงเฉินเป็นผู้มีพรสวรรค์ของทางหมู่ตึก ก็เป็นเหมือนดั่งรากฐานในอนาคตของฝ่ายธรรมะ ถือได้ว่าเป็นกำลังสำคัญที่สามารถต่อกรกับฝ่ายอธรรมได้ จงอย่าปล่อยให้เกิดศึกภายใน จนทำให้เกิดการสูญเสียผู้มีพรสวรรค์ไป” ซาฉี่เทียนกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเฉยชา
“นี่……”
โล่วปิงที่คิดจะกล่าววาจา ได้ถูกโล่วฟ่งหยุดเอาไว้จากนั้นก็หันไปกล่าวต่อซาฉี่เทียนว่า “เจ้าสำนักซาช่างจิตใจกว้างขวาง อีกทั้งยังนึกถึงประโยชน์ของฝ่ายธรรมะช่างเป็นที่เลื่อมใสของผู้น้อยยิ่งนัก ทว่าข้าน้อยยังมีเรื่องของศิษย์ในสำนักให้ต้องสะสาง ข้าไม่รบกวนทุกท่านแล้ว”
เมื่ออำลาซาฉี่เทียนแล้ว โล่วฟ่งก็ได้ฉุดลากโล่วปิงที่ทำสีหน้าไม่ยินยอมออกไปจากหมู่ตึกที่หนึ่ง
“เจ้าจะดึงข้ามาทำไมและยังไม่ปล่อยให้ข้าถามเขาอีก พวกเราต้องสูญเสียแทนพวกเขาไปมากถึงเพียงนั้น พวกเขากล่าวออกมาแค่สองประโยค แล้วก็ไล่พวกเราออกมางั้นหรือ? คิดว่าพวกเราเป็นสุนัขกันหรือยังไงกัน?” โล่วปิงกล่าวขึ้นมาด้วยโทสะ
โล่วฟ่งก็ได้ดุด่าว่ากล่าวเพื่อหวังว่าจะดีขึ้นมาบ้าง “ครั้งที่แล้วที่เจ้าถูกบีบให้ยอมรับว่าตนเองเป็นสุกร ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าช่างสมกับเป็นสุกรจริงๆ ช่างมีสมองดั่งสุกรเสียจริง เจ้าฟังความนัยของซาฉี่เทียนไม่ออกหรือไงกัน ?”
“ความนัยอันใดกัน ? ”
“เขาถึงแม้จะกล่าวเช่นนั้น เพื่อความสามัคคี แต่ว่าเมื่อรวมกับเรื่องของลูกศิษย์เข้ามาด้วย เขาก็ได้ยอมรับน้ำใจนี้ของพวกเราแล้ว ในส่วนอื่นๆนั้นเขาจะเป็นผู้สะสางด้วยตัวเองเอง” โล่วฟ่งก็ได้กล่าวออกมา
“เหตุใดข้าถึงหาได้ฟังเป็นเช่นนั้นไม่?” โล่วปิงกล่าวออกมาด้วยท่าทีที่ไม่ยินยอมอยู่บ้าง
“เพราะเจ้าเป็นสุกรไงเล่า” โล่วฟ่งกล่าวขึ้นมาด้วยโทสะ “ปกติก็รู้จักแต่ก่อเรื่อง รังแกคนนั้น เย้ยหยันคนนี้ อย่างเจ้าเรียกว่ามีสมองได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ”
“นั้น……แล้วเรื่องของหลงเฉินเล่า เขาน่าจะแสดงท่าทีอะไรออกมาบ้างสิ”
“เจ้าโง่ ไม่เห็นท่าทีของผู้อื่นหรือไง?” โล่วฟ่งด่ากราดออกมา
“ท่าทีอะไรกัน? เหตุใดข้าถึงมิได้พบเห็น” โล่วปิงก็ได้มีหน้าสงสัยขึ้นมา
โล่วฟ่งแทบอยากจะด่าว่าเป็นพวกหูหนวกตาบอด แต่ก็ยังอดกลั้นแล้วกล่าวออกมา “เขามิใช่กล่าวออกมาแล้วหรือไงว่า หลงเฉินเป็นผู้มีพรสวรรค์ของหมู่ตึก อีกทั้งยังเป็นดั่งรากฐานในอนาคตของฝ่ายธรรมะ ถือได้ว่าเป็นกำลังที่ไว้ใช้ต่อกรกับฝ่ายอธรรม จึงย่อมไม่อาจให้เกิดศึกภายในได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นสูญเสียผู้มีพรสวรรค์ไป”
“หาเข้าใจไม่”
“เหตุใดข้าถึงได้มีเมยเม่ยที่โง่เขลาได้ถึงเพียงนี้กัน ถ้าหากมิใช่ข้าเห็นเจ้าเติบโตขึ้นมากับมือ ข้ายังคิดว่าเจ้าเป็นสุกรขึ้นมาจริงๆ แล้ว
ความหมายของเขานั้นเป็นที่ชัดเจนถึงเพียงนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจที่จะปล่อยให้เกิดศึกภายในได้ และจงอย่าได้ทำให้สูญเสียผู้มีพรสวรรค์ไป หรือจะกล่าวก็คือ ขอเพียงเป็นชั่วเวลาของศึกภายนอก จึงสามารถที่จะลงมือได้ เข้าใจแล้วหรือไม่ ?” โล่วฟ่งกล่าว
ในขณะที่กำลังมองไปเห็นสีหน้าฉงนสงสัยของโล่วปิง โล่วฟ่งก็ทราบว่าที่ตนเองกล่าวออกไปนั้นช่างเปล่าประโยชน์สิ้นดี สู้ไม่กล่าวอะไรเลยดีกว่า แล้วก็พาโล่วปิงกลับไปที่หมู่ตึกของตนเองในทันที
หลังจากที่สองพี่น้องได้จากไป ซาฉี่เทียนและผู้อาวุโสทั้งสี่ที่อยู่ด้านหลังต่างก็นิ่งเงียบกันอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
กล่าวได้ว่าหมู่ตึกที่หนึ่งนั้นถือได้ว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ผู้อาวุโสทั้งสี่ท่านทั้งหมดต่างก็อยู่ในขอบเขตขั้นก่อฟ้าตอนกลาง ตลอดทั่วทั้งร่างยังได้แผ่แรงกดดันที่รุนแรงออกมา
“พวกเจ้าเห็นว่าอย่างไรกันบ้าง? ” ซาฉี่เทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงได้กล่าวออกมาว่า
“แข็งแกร่งยิ่งนัก”
ชายชราที่มีหนวดเคราสีขาวผู้หนึ่งก็ได้กล่าวขึ้นมา “ทว่าเจียงอี้ฝ่านผู้นั้นก็ช่างเป็นสุดยอดฝีมือที่มุทะลุเกินไป หากต้องตกมาอยู่ในมือเหล่าเด็กน้อยของพวกเรานั้น แน่นอนว่าย่อมหนีไม่พ้นภายในห้าสิบกระบวนท่าอยู่แล้ว
หากมิใช่เพราะสาขาเห็นว่าในสามพันปีมานี้ทางด้านของพวกเขายังไม่เคยมีการปรากฏของสุดยอดฝีมือขึ้นมาสักคน จนทางด้านของเขาต้องซบเซาลงไปทุกที แน่นอนว่าย่อมต้องไม่มอบแผ่นป้ายนี้ให้แก่พวกเขาอย่างแน่นอน”
“ถึงแม้จะบอกว่าเจียงอี้ฝ่านนั้นเป็นสุดยอดฝีมือชั้นปลายแถว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า หลงเฉินนั้นแข็งแกร่งอย่างแน่นอน การที่เขาสามารถล้มเจียงอี้ฝ่านได้ โดยมิได้มีอะไรเกินบ่ากว่าแรงเลย เช่นนี้ก็บอกได้แล้วว่าเขายังคงเก็บงำพลังเอาไว้อยู่อย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสอีกคนที่มีสีหน้าเคร่งเครียดกล่าวขึ้นมา
“มิผิด ที่น่ากลัวที่สุดก็คงจะเป็นเพราะเขาในตอนนี้ยังอยู่ในขอบเขตก่อโลหิตระดับสูงสุดเท่านั้น ด้วยพลังการต่อสู้เช่นนี้ เกรงว่าทั่วทั้งหมู่ตึกคงจะมีเพียงแต่เทียนยวูเท่านั้นที่จะมีพลังการต่อสู้เช่นนั้นได้” ผู้อาวุโสที่อยู่อีกทางด้านหนึ่งได้กล่าวเสริมขึ้นมา
พลังการต่อสู้ของหลงเฉินนับตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ก็คงที่เช่นนี้มาโดยตลอด ทั้งยังไม่เคยมีความหวาดหวั่นมาก่อน แม้ว่าในท้ายที่สุดแล้วเจียงอี้ฝ่านจะได้แปลงกลายเป็นร่างสัตว์ แต่ก็ยังคงต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าอนาถอยู่ดี
“น่าเสียดายหยกบันทึกภาพ สามารถบันทึกเอาไว้ได้แค่เพียงภาพและเสียงเท่านั้น จึงไม่ทราบว่าความแน่วแน่ของหลงเฉินนั้นเป็นเช่นไร ยากนักที่จะตัดสินว่าเขาจัดอยู่ในผู้มีพรสวรรค์ระดับใดได้”
ผู้อาวุโสผมขาวที่ก่อนหน้ากล่าวขึ้นมาเป็นคนแรก ก็ได้พยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าว “คงมีแต่ต้องเป็นเช่นนั้นแล้ว หากมิได้พบเห็นการต่อสู้ขึ้นด้วยตนเอง ก็ยังไม่อาจที่จะทำการตัดสินอะไรได้
จากคำกล่าวของโล่วปิง ความแน่วแน่ของหลงเฉินนั้นถือได้ว่าแข็งกล้าเป็นอย่างยิ่ง จนสามารถทำให้นางรู้สึกได้ถึงการคุกคามและยอมศิโรราบ
แม้จะรู้สึกว่าสิ่งที่นางกล่าวนั้นจงใจเกินเลย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการฆ่าหลงเฉิน เพื่อล้างแค้นที่ทำให้นางได้รับความอับอาย
ทว่าเรื่องเช่นนี้ ข้ากลับรู้สึกเชื่อในหนทางที่เลวร้ายเสียยิ่งกว่า ภัยคุกคามเช่นหลงเฉินสมควรที่จะต้องเฝ้าดูกันอย่างใกล้ชิด”
ผู้อาวุโสคนอื่นๆต่างก็ได้พยักหน้าไปมา นอกจากเทียนยวูแล้ว ก็ยังไม่เคยมีคนที่สามารถสร้างผลการรบเช่นนี้ขึ้นมาได้มาก่อน นี่จึงได้ทำให้พวกเขาเกิดความตื่นตัวกันขึ้นมา
หมู่ตึกที่หนึ่งที่ยังสามารถคงความเป็นอันดับหนึ่งมาได้ ในด้านของการควบคุมข่าวสารย่อมต้องถูกต้องแม่นยำอย่างถึงที่สุดอยู่แล้ว
โดยเฉพาะผู้มีพรสวรรค์ที่พอจะสามารถทำให้ตำแหน่งของพวกเขาสั่นคลอนขึ้นมาได้ หากสามารถที่จะดึงมาเป็นพวกก็จะดึงมาเป็นพวก หากดึงมาเป็นพวกไม่ได้ก็คงมีแต่ต้องทำให้พวกเขาหายไปเท่านั้น
หมู่ตึกอื่นๆทั้งสิบอันดับแรก การระวังป้องกันของพวกเขาถือได้ว่าเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังถึงขั้นปกปิดซ่อนเร้นผู้มีพรสวรรค์เอาไว้ รอคอยวันแห่งการต่อสู้มาถึงจึงคอยเผยออกมา
การกระทำเช่นนี้หาได้เหมาะสมต่อหมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปดไม่ การที่เป็นถึงหมู่ตึกที่รั้งอันดับสุดท้าย กลับปล่อยให้ผู้มีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดของฝ่ายตน ถูกเปิดโปงออกมาเพียงเพื่อต้องการยื่นคำร้องขอทรัพยากรที่มากกว่าเดิมก็เท่านั้น
ดังนั้นเมื่อหลงเฉินได้ถูกเปิดเผยออกไปแล้ว จึงกลายเป็นที่จับตามองของหมู่ตึกพลิกสวรรค์สาขาหลัก จนรวมไปถึงหมู่ตึกทั้งหมดเลยทีเดียว
ซาฉี่เทียนเองก็ได้พยักหน้าไปมาแล้วกล่าวขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ตัดสินใจกันได้แล้วว่า จะต้องให้หลงเฉินหายไปภายในขอบเขตแดนลับนพเก้าไปตลอดกาลเถอะ”