“หยุดมือ”
ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงทุ่มต่ำดังขึ้น น้ำเสียงนั้นถูกถ่ายทอดออกมาอย่างนุ่มนวล หลงเฉินและพรรคพวกเมื่อได้ฟังต่างก็รู้สึกจิตใจผ่อนคลาย พลังกดดันที่ครอบงำพวกเขาอยู่สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลงเฉินรีบหันไปมองต้นเสียงในทันที ไม่ทราบว่านับตั้งแต่เวลาใด ที่ภายในลานกว้าง มีชายชราคิ้วขาวผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น ชายชราผู้นั้นกำลังจับจ้องมองไปที่ทุกคนด้วยสีหน้าราวกับกำลังเสียใจอยู่
ชายชราผู้นี้ดูไปแล้วกลับคล้ายเป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ตลอดทั่วทั้งร่างกายไม่มีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่เลยแม้แต่น้อย ยิ่งสภาวะแรงกดดันแล้วก็ยิ่งไม่สามารถรับรู้ได้จากชายผู้นี้แต่อย่างใด
ทว่า ณ ตำแหน่งที่เขายืนอยู่ตรงนี้ เขาดูราวกับเป็นคลื่นยักษ์จากมหาสมุทร ที่ตรึงสายตาของทุกผู้คนเอาไว้ และทำให้ผู้คนไม่อาจที่จะไม่เกิดความเกรงขามขึ้นภายในจิตใจได้
“คารวะรองพระอาจารย์”
เมื่อชายชราคิ้วขาวปรากฎตัวขึ้น ยอดฝีมือระดับเจ้าสำนักทั้งหมดที่อยู่ในที่แห่งนี้ ต่างก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับโค้งกายลงต่ำอย่างนอบน้อม เพื่อแสดงความเคารพนับถืออย่างมีมารยาทแก่ชายชราผู้นี้
ชายชรานั้นหันไปโบกมือให้แก่เจ้าสำนักเหล่านั้นเล็กน้อย พวกเขาจึงค่อยยืดตัวขึ้นยืนตัวตรงอย่างช้าๆ ทว่ากลับยังไม่กล้าที่จะนั่งลง
“เป็นถึงเจ้าสำนัก ทั้งยังเป็นดั่งศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน พวกเจ้ายังคิดที่จะสู้กันต่อหน้าต่อตาบรรดาลูกศิษย์มากมายอีกอย่างนั้นหรือ ไม่กลัวว่าจะกลายเป็นที่ครหาของเหล่าลูกศิษย์หรือยังไงกัน ? ” ชายชราผู้นั้นส่ายหน้าอย่างเสียใจแล้วกล่าว
“เรียนรองพระอาจารย์ เป็นหลิงหวินจื่อเขา……” โล่วฟ่งรีบกล่าวอธิบายออกมา
“ช่างมันเถอะ ข้าเองก็คร้านที่จะฟังเหตุผลที่ไม่เป็นเรื่องพวกเจ้าเหมือนกัน พวกเจ้าชมชอบที่จะสู้กัน นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเจ้า ตาแก่อย่างพวกเราหากไม่พบเห็นก็คงไม่เกิดความรำคาญใจขึ้นมาได้ ขอเพียงไม่ทำลายกฎเกณฑ์ของหมู่ตึกไปก็เพียงพอแล้ว” ชายชราคิ้วขาวผู้นั้น เมื่อข่มความรำคาญใจได้ ก็ได้กล่าวตัดบทโล่วฟ่งแล้วส่ายหน้า
เขาเบือนสายตาไปมองบรรดาลูกศิษย์ที่อยู่โดยรอบ ดวงตาชรานั้น เดิมทีที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่ายใจอย่างหนัก พลันก็ได้แปรเปลี่ยนไปเมื่อเห็นศิษย์ทั้งหมด ในดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยความสนใจอย่างมากและแฝงแววตื่นเต้นดีใจอยู่เล็กน้อย :
“ไม่เลวเลย คิดไม่ถึงว่าเก็บตัวมาตั้งร้อยปีแล้ว เพียงไม่นานก็เกิดต้นกล้าที่ดีมากมายถึงเพียงนี้ เอ๊ะ ? ”
ขณะที่ชายชราคิ้วขาวกวาดตามองบรรดาศิษย์ทั้งหลาย สายตาของเขาก็มาสะดุดยังจุดที่หลงเฉินยืนอยู่ เขาร้องเอ๊ะออกมาเบาๆ แล้วจับจ้องหลงเฉินไม่วางตา
หลงเฉินนั้น ทันทีที่ถูกชายชราคิ้วขาวผู้นั้นจับจ้อง เขาก็เกิดความรู้สึกอึดอัดชนิดหนึ่งขึ้นมา เป็นความอึดอัดที่คล้ายกับว่ากำลังถูกชายผู้นั้นล้วงความลับอยู่ และคล้ายกับเขาเองก็ยินยอมสารภาพทุกสิ่งต่อชายผู้นั้นด้วย เป็นความรู้สึกที่ไม่เป็นตัวเองเลยแม้แต่น้อย
“ท่านผู้อาวุโส ท่านจ้องดูศิษย์เช่นนี้ จะทำให้ศิษย์รู้สึกเคอะเขินได้นะขอรับ” ในที่สุดหลงเฉินก็อดทนไม่ได้ กล่าวขึ้นมาด้วยความกระอักกระอ่วน
พลังการฝึกปรือของชายชราผู้นั้น เรียกได้ว่าเกินกว่าที่หลงเฉินคาดคิดเอาไว้แล้ว แต่ทหว่าต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ ก็ไม่สามารถทำการตรวจจับความลับของเขาได้อยู่ดี
“อะแฮ่ม เจ้ากลับเข้าไปในกลุ่มเถอะ” จบคำของหลงเฉิน ชายชราคิ้วขาวก็ส่งเสียงกระแอมไอออกมาด้วยความกระอักกระอ่วนเช่นกัน เมื่อครู่นั้นเขาเกิดความประหลาดใจขึ้นมาเมื่อมองเห็นศิษย์ผู้หนึ่ง จนทำให้ต้องเบิกเนตรปราณออกมาเพื่อทำการตรวจสอบเส้นลมปราณของศิษย์ผู้นั้น
ถึงแม้หลงเฉินจะเป็นเพียงแค่ชายหนุ่ม ที่ดูไปแล้วก็เพียงแค่ ทะลึ่งทะเล้น และไม่ค่อยมีมารยาทมากนัก ทว่าหลังจากที่ชายชราคิ้วขาวมองดูเขาแล้ว ด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์นั้น ภายในจิตใจกลับเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเดิมทีที่ไม่มีจุดตันเถียน พลังทั้งหมดของหลงเฉินนั้นแฝงเร้นมาจากใต้ฝ่าเท้าข้างขวาของเขา ถ้าหากเป็นเพียงแค่นี้ก็ยังแล้วไป เพราะยังมีวิชาทักษะที่แปลกประหลาดที่สุดในโลกหล้าได้ เรื่องแค่นี้จึงยังนับว่าน้อย
ทว่าสิ่งที่ทำให้ชายชราคิ้วขาวต้องแตกตื่นขึ้นมาก็คือ ขุมพลังอันมหาศาลที่ใต้ฝ่าเท้าของหลงเฉินนั้น ถึงกับคอยสอดส่องระวังภัยให้แก่เขาอยู่ ดังนั้นเมื่อครู่เพียงแค่ทำการสอดส่องอยู่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ก็ทำให้ดวงตาสวรรค์ของเขาเกิดความรู้สึกขมขื่นอย่างหนึ่งขึ้นมาเลยทีเดียว
ด้วยพลังการฝึกปรือของชายชราคิ้วขาวนั้น ต่อให้บุคคลที่สอดส่องเป็นยอดฝีมือระดับเจ้านักผู้หนึ่ง ต่างก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้แสดงถึงความรู้สึกตัวแต่อย่างใด
“เด็กหนุ่มผู้นี้แปลกประหลาดยิ่งนัก เจ้าคนตัวโตผู้นั้นก็น่าแปลกเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน เด็กน้อยที่ดี ร้อยปีมานี้ยังไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ทางหมู่ตึกได้มีตัวประหลาดมากมายถึงเพียงนี้ ? ”
ชายชราคิ้วขาวพึมพำขึ้นในใจ ทว่าบนใบหน้ายังคงอยู่ในสีหน้าสงบเสงี่ยมอยู่ จากนั้นเขาก็เอ่ยปากกล่าวต่อทุกคนขึ้นมาว่า
“ขอบเขตแดนลับนพเก้าจะเปิดขึ้นมาในทุกๆร้อยปี ในทุกครั้งจะมีเวลาจำกัดอยู่ที่หนึ่งปี สิ่งพื้นฐานเหล่านี้ ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าต่างก็คงจะเข้าใจกันดีอยู่แล้ว ดังนั้นข้าก็จะไม่กล่าวจู้จี้ในเรื่องนี้แล้ว
ทว่ามีอยู่หลายข้อ ที่ยังจำเป็นที่จะต้องเตือนพวกเจ้าเอาไว้ ข้อแรก : ความลึกลับของขอบเขตแดนลับนพเก้า จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่มีคนที่มีความสามารถมากพอที่จะทำความเข้าใจได้ ภายในนั้นถึงแม้ว่าจะมีวาสนาให้เจ้าหยิบฉวยอยู่นับไม่ถ้วน แต่ว่าก็เปี่ยมไปด้วยภยันอันตรายที่หนักหนาเป็นยิ่งนัก ดังนั้นพวกเจ้าทุกคนจะประมาทไม่ได้เลยแม้แต่สักวินาที มิเช่นนั้นก็มีแต่เอาชีวิตไปทิ้งเท่านั้น จำเอาไว้พวกเจ้าอย่าได้ปล่อยวางจิตใจไปโดยเด็ดขาด
ข้อที่สอง : ภายในนั้นมีอันตรายอยู่มากมาย อีกทั้งยังมีพื้นที่มีอันตรายในรูปแบบแตกต่างกัน และยังมีอันตรายร้ายแรงที่สามารถสังหารได้แม้กระทั่งยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้าอีกด้วย
ทว่าอันตรายจากในเขตแดนลับเหล่านี้ ยังสามารถที่จะระวังป้องกันได้ แต่อันตรายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเจ้า ความจริงแล้วล้วนแล้วมาจากฝ่ายอธรรมทั้งสิ้น
ทางเข้าสู่ขอบเขตแดนลับนพเก้านั้นเรียกได้ว่ามีอยู่ในหลายรัฐ ทั้งธรรมะและอธรรม ต่างก็ยึดครองไปคนละส่วน หมู่ตึกของพวกเรายึดครองได้แต่เพียงทางเข้าทางด้านรัฐโจวเท่านั้น
ดังนั้นหลังจากที่ได้เข้าสู่ขอบเขตแดนลับนพเก้า พวกเจ้าจะต้องพบกับยอดฝีมือจากขุมกำลังอื่นอีกด้วย แต่จงจำไว้ ให้มั่นศัตรูของพวกเจ้าก็คือศิษย์ของฝ่ายอธรรมเท่านั้น
อย่าได้กลายเป็นว่า เพราะช่วงชิงสมบัติจนถึงขั้นที่ต้องมาเข่นฆ่ากันเอง โดยเฉพาะหากเป็นการฆ่าฟันกันเองของศิษย์หมู่ตึก หากเกิดเรื่งเช่นนี้จะต้องถูกลงโทษตามกฎของหมู่ตึก ไม่มีข้อยกเว้นเป็นอันขาด”
ชายชราคิ้วขาวกล่าวคำสอนยืดยาว พร้อมกับทอใบหน้าเคร่งเครียดมองไปยังทุกคน หลงเฉินที่กำลังมองดูอยู่ก็ปรากฏสีหน้าเย้ยหยันขึ้นมาเป็นสาย : จะกล่าวให้ผู้ใดหวาดกลัวได้กัน ?
เขาทราบมาจากปากของหลิงหวินจื่อว่า การเปิดขึ้นของขอบเขตแดนลับนพเก้าในทุกครั้ง ย่อมมีผู้คนไม่น้อยที่ได้ตายตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของฝ่ายอธรรม แต่ผู้ที่ตายไปนั้นโดยส่วนมากแล้วต่างก็ตายตกไปด้วยเงื้อมมือของฝ่ายตนเองเสียเองมากกว่า มิใช่หรือไงกัน ?
มากล่าวสิ่งเหล่านี้ในตอนนี้ ถ้าหากว่าขวัญอ่อนจนทำให้หวาดกลัวขึ้นมาได้จริง หากว่าเป็นอย่างที่ชายชราคิ้วขาวกล่าวออกมาแล้วละก็ เช่นนั้นก็มิใช่กลายเป็นว่าศิษย์ของสำนักจะฆ่ากันเองไม่ได้หรอกหรือ เช่นนั้นต่อให้ตายไปจริงก็คงจะไม่ทราบว่าตายเช่นไรแล้ว
หลงเฉินก่อนหน้านี้ ได้บอกกับถังหว่านเอ๋อและพรรคพวกแล้วว่า นอกเสียจากคนของหมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปด ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ไม่อาจที่จะเชื่อใจได้ ศิษย์ของหมู่ตึกอื่นๆนั้นก็คงจะคิดไม่ต่างกันนัก
ถึงอย่างไรก็คงไม่มีใครเชื่อคำพูดของชายชราผู้นั้น เมื่อมองดูไปบนสีหน้าของคนเหล่านั้นก็พอที่จะทราบได้ คาดว่านี่คงจะหลอกได้แต่ผีสางแล้วเท่านั้น เจ้าสำนักคนอื่นๆต่างก็หาใช่ตัวโง่งมกันไม่
ทว่ายังมีอีกข้อหนึ่งที่พอจะสามารถเชื่อถือได้ นั่นก็คือถ้าหากต้องลงมือต่อคนสำนักเดียวกัน ก็มีแต่ต้องฆ่าให้ตายเท่านั้น ต่อให้ฆ่าไม่ตายก็ไม่อาจปล่อยให้สามารถกลับไปเล่าเรื่องราวได้ หรือแม้แต่พยานที่เห็นเหตุการณ์ก็ไม่อาจปล่อยให้รอดชีวิตได้ ไม่เช่นนั้นเมื่อออกจากแดนลับแล้ว กลายเป็นว่ามีคนออกมาเป็นพยาน ชี้ว่ามีการลอบทำร้ายกันเองอยู่ภายในแดนลับ เช่นนั้นโทษที่ได้รับก็คงจะหนักหนาสาหัสแล้ว สถานเบาก็คงจะต้องถูกทำลายพลังฝีมือไป และสถานหนักก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น
ดังนั้นถ้าหากสมบัติชิ้นนั้นมิได้เป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นต่อชีวิต ก็อย่าได้ไปต่อสู้แย่งชิงเสียเลยดีกว่า เพราะนั่นเท่ากับการหาเรื่องใส่ตัวเพียงเท่านั้น เรื่องการต่อสู้แย่งชิงกันนั้น แม้แต่ระหว่างคนในสำนักเดียวกันก็ยังเป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ แต่การตั้งกฏข้อห้ามก็ยังสามารถที่จะลดทอนโอกาสในการฆ่ากันเองของศิษย์ได้อยู่บ้าง
“และถ้าหากมีศิษย์ฝ่ายธรรมะจากขุมกำลังอื่นมาลงมือต่อพวกเจ้า การต่อสู้ปกป้องตัวเองย่อมทำไปได้เลยไม่มีอะไรให้ต้องหวาดกลัว แต่ถึงอย่างไรจงจำไว้ว่าเจ้าไม่อาจที่แย่งชิงสมบัติกับผู้ใดได้
ทว่าทุกคนไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ต้องจดจำเอาไว้ให้มั่น ว่าศัตรูเพียงหนึ่งเดียวของพวกเจ้า ก็คือฝ่ายอธรรม ในช่วงเวลาคับขัน จงเฝ้าระวังทุกสิ่งทุกอย่างจากภายนอกเอาไว้ให้ดี”
หลงเฉินเมื่อได้ยินวาจาของชายชราคิ้วขาว ก็แทบจะหัวเราะออกมา นี้มันเหตุผลอะไรกัน สมองมีปัญหาหรือไง ทุกคนต่างก็ลงมือสู้กันเพื่อแย่งสมบัติอันยิ่งใหญ่ ยังมัวแต่คิดถึงการรวมพลังเพื่อเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เจ้าคิดที่จะทำให้ข้าขบขันหรือไงกัน ? คิดว่ากำลังสนทนากับเหล่าทารกน้อยงั้นหรือ ?
“สุดท้าย ที่อยากบอกต่อทุกคนนั่นก็คือ สมบัติที่อยู่ท่ามกลางขอบเขตแดนลับนพเก้าเรียกได้ว่ามีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน เป็นธรรมดาที่หากไม่กล้าตัดสินใจที่จะปลดผนึกมัน ก็ขอให้นำกลับมาด้วย เหล่าผู้อาวุโสของทางหมู่ตึก จะคอยช่วยพวกเจ้าจัดการเอง
ถ้าหากเป็นสิ่งที่แม้แต่ตัวของพวกเจ้ายังไม่อาจที่จะสามารถใช้ได้ ทางหมู่ตึกจะประเมินราคาของสมบัติ แล้วจะชดเชยเป็นแต้มคะแนนหรือรางวัลให้แทน” ในที่สุดชายชราคิ้วขาวก็กล่าวจนจบความ
การเปิดขึ้นของขอบเขตแดนลับนพเก้าจะเกิดขึ้นทุกร้อยปี นี่หาใช่เป็นเพียงแค่ค่าสวัสดิการของเหล่าลูกศิษย์เท่านั้น แต่ยังเป็นสวัสดิการของทั้งหมู่ตึกได้อีกด้วย
เล่าลือกันว่าบนโลกใบนี้ ได้ประสบเหตุเปลี่ยนเปลี่ยนครั้งใหญ่ขึ้น ในทางประวัติศาสตร์ได้มีการบันทึกเอาไว้ถึงวิชาทักษะที่แปลกประหลาดและสมบัติล้ำค่ามากมาย โดยส่วนมากต่างก็ได้หายสาปสูญไปแล้ว
และสมบัติภายในแดนลับนั้นมีอยู่นับไม่ถ้วน ขุมทรัพย์ฟ้าสมบัติพสุธาต่างก็มีอยู่เกลื่อนกลาน เพียงแต่น่าเสียดายที่มีศิษย์มากมาย แทบจะไม่รู้จักสิ่งของเหล่านี้
และที่ทำให้ตาแก่เหล่านี้ ร้อนรนได้เช่นนี้ จนแทบมีความต้องการที่จะบุกเข้าไปด้วยตัวเอง เพื่อที่จะได้ไปแสวงหาสมบัติที่อยู่ภายในแดนลับกันซักครา
ด้วยความคิดที่บ้าคลั่งเช่นนี้ ก็ย่อมต้องมีคนที่บ้าพอที่จะทำการทดลอง ผลสุดท้ายยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้าผู้หนึ่ง พึ่งจะก้าวเข้าไปได้เพียงแค่ปากทาง ก็ถูกพลังประหลาดอันมหาศาลบดขยี้จนกลายเป็นฝุ่นผง
ทว่าแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ก็ยังไม่อาจที่จะทัดทานพวกบ้าคลั่งที่จะเข้าไปได้เลย ในระหว่างหลายพันปีมานี้ ได้มียอดฝีมืออยู่นับไม่ถ้วนที่ต่างก็ไม่ยอมรับ ยังคิดว่าตนเองสามารถที่จะสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาได้ ผลสุดท้ายปาฏิหาริย์กลับหาได้ปรากฏไม่ ทั้งหมดมีแต่กลายเป็นเพียงฝุ่นผงไปเท่านั้น
ความจริงเป็นสิ่งที่โหดร้าย ภายใต้ความบ้าคลั่งต่างๆนาๆที่เกิดขึ้น หลังจากที่มียอดฝีมือระดับขั้นก่อฟ้าหลายร้อยคนถูกฆ่าไป ความบ้าคลั่งเช่นนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นอีก
ดังนั้นขุมกำลังใหญ่แต่ละแห่ง ต่างก็มีการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดขึ้นมาของขอบเขตแดนลับนพเก้าในแต่ละครั้ง เพราะมีศิษย์อยู่ไม่น้อย ที่สามารถนำเอาสมบัติระดับพลิกฟ้าออกมาจากแดนลับได้
มีชิ้นส่วนเกราะเก่าแก่ชิ้นหนึ่ง ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นเกราะที่แตกเป็นชิ้นๆไปแล้ว แต่ทว่าแม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้า ก็ยังไม่อาจที่จะทำลายได้
แล้วก็ยังมีสัตว์ร้ายในสมัยบรรพกาล ที่ได้หายสูญพันธ์ไปจากโลกภายนอกแล้ว แต่ว่าภายในแดนลับ ยังคงมีร่างของพวกมันอยู่
ทว่าภายในขอบเขตแดนลับนพเก้านั้น มีกฎของพลังประหลาดควบคุมเอาไว้ ทำให้พลังของสัตว์มายาทั้งหมด ต่างก็จะถูกจำกัดเอาไว้เพียงแค่ระดับห้าเท่านั้น
โชคยังดีที่ขอบเขตแดนลับนพเก้านั้นใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง สัตว์มายาที่มีความแข็งแกร่งถึงขั้นที่ห้าเหล่านี้ จึงแยกกันอาศัยอยู่ในแต่ละเขต ขอเพียงระมัดระวังซักหน่อย ไม่เข้าไปยังพื้นที่ของมัน ก็ยังคงสามารถที่จะซ่อนตัวจากพวกมันได้
กล่าวกันว่าทุกส่วนในร่างกายของสัตว์ร้ายเหล่านั้นต่างก็ถือเป็นสมบัติ ไม่ว่าจะเป็นเลือด เนื้อ กระดูก รวมไปจนถึงแกนผลึกที่อยู่ภายใน ทุกชิ้นล้วนเป็นสมบัติที่ยากจะพบพานได้ หรือแม้แต่นำมาเป็นตัวยาเพื่อหลอมโอสถ ก็ถือได้ว่ามีค่ามากเป็นอย่างยิ่ง
กล่าวกันว่าท่ามกลางแดนลับ มียาชะลอความแก่ชราอยู่ ซึ่งหลังจากใช้ไปแล้ว จะสามารถเพิ่มอายุขัยได้ ทั้งยังคงความเป็นหนุ่มสาวไว้ได้ตลอดไป
อีกทั้งยังได้ยินมาว่า ภายในหมู่ตึกมีคนเคยได้พบเห็นมาก่อน แต่จะจริงจะเท็จแค่ไหนกลับไม่มีผู้ใดทราบ
จะอย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งที่อยู่ภายในขอบเขตแดนลับนพเก้าในทุกพื้นที่ ในสายตาของเหล่าผู้คนต่างก็ถือได้ว่าเป็นสมบัติ แต่ทว่าไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดก็ล้วนแต่เต็มไปด้วยอันตราย การที่มีคนตายก็แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากการกินข้าวตามปกติ
ชายชราคิ้วขาวหลังจากที่ได้กวาดสายตาพินิจมองดูทุกคนอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้โบกมือขึ้นในอากาศครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นพื้นดินอันกว้างใหญ่ก็ได้เกิดการสั่นไหวขึ้นมา
บนพื้นดินกว้างไกลที่เหล่าผู้จะเข้าสู่เขตแดนลับยืนอยู่นั้น เกิดเป็นอักขระปรากฏขึ้น ศิษย์ทุกคน ณ ที่แห่งนั้นต่างก็มีอาการตกใจไปตามๆกัน ได้แต่เพียงมองดูอักขระที่เกิดขึ้นในแต่ละจุดบนพื้นที่กว้างใหญ่นั้น ในเวลาเดียวกันทุกคนก็ได้พบว่า ตนเองไม่อาจที่จะขยับเขยื้อนได้แล้ว
“วิชาแห่งประตูมิติ”
ทันใดนั้นชายชราคิ้วขาวก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ ฟ้าดินเกิดการสั่นไหวรุนแรง ทุกคนต่างก็เริ่มตาลาย พื้นใต้ฝ่าเท้าขยับเคลื่อนไหว ในที่สุดลานกว้างเบื้องหน้าสายตาก็เลือนรางหายไป ในเวลานี้ ก็ปรากฏเป็นเหวลึกขนาดใหญ่อยู่ต่อหน้าทุกผู้คน
สิ่งที่ทำให้ทุกผู้คนหวาดผวาก็คือ เหวลึกนั้นลึกล้ำอย่างไร้ที่เปรียบ ลึกจนไม่สามารถมองเห็นก้นบึ้งได้ ราวกับว่าเป็นปากขนาดใหญ่ของสัตว์ขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นมา ปากที่สามารถดูดกลืนทุกสรรพสิ่งใต้ผืนฟ้าลงไปได้
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลุมลึกขนาดใหญ่เช่นนั้น ทุกผู้คนต่างก็รู้สึกว่าตนเองนั้นช่างกระจ่อยร่อยดุจแมลงวัน ภายในส่วนลึกของจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว
“ตู้มตู้มตู้ม”
พื้นที่อันกว้างใหญ่ก็ได้เกิดการสั่นไหวไม่หยุดอีกครั้ง และครั้งนี้รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม ในตอนนี้เกิดสภาวะแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวแผ่กระจายไปทั้งสี่ทิศแปดด้าน ตรงเข้าบดกระดูกของทุกคนจนรู้สึกว่ากำลังจะแหลกเป็นผง
ยอดฝีมือระดับเจ้าสำนัก ต่างก็ได้แยกย้ายกันลงมือถ่ายพลังไปยังร่างของศิษย์ของพวกเขา เพื่อต้านทานพลังอันแข็งแกร่งนั้นเอาไว้ ศิษย์ทั้งหลายจึงค่อยพอที่จะทนทานรับไว้ได้
สภาวะการณ์ที่เกิดพลังกดดันที่คลุ้มคลั่งรุนแรงเช่นนั้น ได้ดำเนินต่อไปถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ แล้วจึงค่อยหยุดลง แม้ว่าจะเป็นยอดฝีมือระดับเจ้าสำนัก แต่ด้วยการต้านทานที่ใช้เวลานานถึงเพียงนี้ อาภรณ์จึงชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
“ซูม”
ทันใดนั้นเงามืดภายในส่วนลึกของหุบเหว ก็เกิดร่องรอยการแตกร้าวเปิดขึ้นมาอย่างช้าๆ และสิ่งที่ทำให้เหล่าศิษย์ในที่แห่งนั้นต้องแตกตื่นตกใจกันขึ้นมาก็คือ เมื่อรอยแตกร้าวนั้นขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดที่คนสามารถลอดผ่านไปได้ ก็ปรากฏเป็นภาพอีกด้านของอีกมิติหนึ่งขึ้นมาให้เห็น
เทือกเขาที่เชื่อมถึงกัน ต้นไม้โบราณที่สูงเสียดฟ้า เส้นทางสายยาวที่คล้ายดั่งมังกร ภูผาที่ใหญ่โตเต็มท้องนภา ในเวลานี้ภาพที่ปรากฏขึ้นได้ตรึงทุกสายตาเอาไว้ คนที่มองดูราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปแล้ว จนแทบจะไม่อาจที่จะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้างได้ แต่ก็ไม่อาจจะสัมผัสถึงบรรยากาศของอีกมิติหนึ่งเช่นกัน ราวกับว่าพวกเขาถูกภาพวาดทิวทัศน์ผืนใหญ่ผืนหนึ่งสะกดสายตาอยู่ก็มิปาน
ในที่สุดรอยร้าวนั้นก็ขยายกว้างจนมีความยาวกว่าร้อยลี้ มีความกว้างอีกหลายลี้ ปรากฏเป็นช่องว่างขนาดใหญ่อยู่เบื้องหน้าของทุกผู้คน ดูไปแล้วน่าประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
และนับตั้งแต่รอยร้าวนั้นปรากฏขึ้นมา ชายชราคิ้วขาวก็เริ่มทำการผนึกตรารวดเร็วยิ่งขึ้น ในระหว่างที่แต่ละคนกำลังแผ่พลังวิชาออกมา ที่ว่างในอากาศเบื้องหลังของชายชราคิ้วขาวก็ได้มียันต์อักขนระขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น
แต่ว่ามีแต่เพียงคนที่มีจิตใจที่สงบนิ่งสุขุมล้ำลึกเท่านั้นที่จะมองเห็นได้ ยันต์อักขระนั้นเกิดขึ้นมาจากการก่อรวมกันของยันต์อักขระขนาดเล็กจำนวนหลายหมื่นตัว ยันต์อักขระที่ปกคลุมอย่างถี่ยิบเหล่านั้น ก็ได้ส่องแสงทอเป็นประกายแผ่ไปในอาณาบริเวณหลายร้อยลี้
“หมื่นยันต์ตราจำลองอากาศ”
ทันใดนั้นชายชราคิ้วขาวก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง จากนั้นเขาก็ควบคุมวิชาที่อยู่ใจกลางฝ่ามือ ยันต์อักขระที่เบื้องหลังก็ได้กลายเป็นช่องว่างอากาศที่แตกร้าวขึ้น
หลังจากที่ใจกลางเกิดการแตกร้าว ยันต์ตราขนาดใหญ่ก็ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆในชั่วพริบตา จนกลายเป็นอักขระยันต์ขนาดเล็กนับไม่ถ้วน
อักขระยันต์ขนาดเล็กมากมายเหล่านั้นก็เข้าก่อรวมกัน จนปรากฏเป็นประตูมิติขึ้น หลังจากที่ทำทุกอย่างจนสำเร็จเรียบร้อย สีหน้าของชายชราคิ้วขาวผู้นั้นก็ได้ขาวซีดลงไปส่วนหนึ่ง
“ตอนนี้ข้าจะส่งพวกเจ้าเข้าไป ขอให้พวกเจ้าโชคดี”
แล้วชายชราคิ้วขาวก็ผายมือทั้งสองข้างออก หลงเฉินและพวกจู่ๆก็รู้สึกว่าร่างกายเกิดการสั่นไหว พวกเขาไม่อาจที่จะควบคุมร่างกายได้ ฉับพลันก็ได้ลอยเข้าผ่านประตูมิตินั้นเข้าไป
“ตู้ม”
เมื่อหลงเฉินทะลุผ่านประตูมิตินั้นมาแล้ว ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านบนของหุบเขาแห่งหนึ่ง ฮ่าฮ่า ขอบเขตแดนลับนพเก้า ข้าหลงเฉินในที่สุดก็ได้มาถึงแล้ว