นับเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่ขอบเขตแดนลับนพเก้าเปิดขึ้น ยอดฝีมือทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรมมากมายเดินทางล่วงเข้าสู่ส่วนลึกของแดนลับไปแล้ว
เป็นที่ทราบกันดีว่า ตามตำราข้อมูลของขอบเขตแดนลับนพเก้านั้น บันทึกเอาไว้ว่า ขอบเขตแดนลับนพเก้ามีทางเข้าทั้งหมดเจ็ดแห่ง และสามในเจ็ดแห่งอยู่ในพื้นที่ครอบครองของฝ่ายธรรมะ ส่วนที่เหลืออีกสี่แห่งตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ครอบครองของฝ่ายอธรรม
ทว่า ในความเป็นจริงแล้ว ทางเข้าไม่ได้มีเพียงแค่เจ็ดแห่ง ด้วยความลี้ลับสุดจะคาดเดาของเขตแดนลับนพเก้า กล่าวกันว่าภายในส่วนลึกส่วนใดส่วนหนึ่งของเขตแดน ได้ซ่อนเร้นประตูสู่มิติที่สามเอาไว้ด้วย ซึ่งประตูนี้จะไม่ปรากฏออกมาในเวลาปกติ
นอกจากนี้ บางคนยังกล่าวว่าในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงกับรัฐโจวมีทางเข้าอีกหลายแห่ง ซึ่งโดนส่วนไม่เป็นที่รู้จัก ทางเข้าเหล่านี้มักถูกครอบครองโดยคนเฉพาะกลุ่ม อย่างเช่นตระกูลเก่าแก่ หรือขุมกำลังขนาดเล็ก ซึ่งล้วนแล้วแต่เก็บซ่อนและปกปิดเป็นความลับ
ทว่าทางเข้าที่คนเหล่านั้นครอบครอง มักจะมีการส่งคนข้ามผ่านเข้าไปอย่างมากเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้น เหตุผลนั้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าพวกเขาได้เก็บงำทางเข้านี้ไว้เป็นอย่างดี อีกส่วนหนึ่งนั้นก็คือ สำนักใหญ่บางแห่งมักจะมีทางเข้าเป็นของตัวเอง จึงไม่จำเป็นที่จะต้องไปแย่งชิงกับผู้อื่น
ดังนั้นทุกครั้งๆที่มีการเปิดขึ้นของเขตแดนลับนพเก้า จึงมียอดฝีมือนับไม่ถ้วน และมีจำนวนมากมายกว่าที่ประมาณการณ์กันเอาไว้หลั่งไหลเข้าสู่เขตแดนจากทางเข้าในที่ต่างๆ ฝ่ายธรรมะเองก็ยังมีคนส่วนหนึ่งซึ่งไม่ได้ผ่านเข้าปะตูหลัก คนเหล่านี้จะถูกเรียกขานกันว่าเป็น ‘กองกำลังไร้สังกัด’
ทว่าต่อให้เป็นกองกำลังไร้สังกัด ที่หัวไหล่ของพวกเขาก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีตราสัญลักษณ์ เพื่อเป็นการบอกว่าตนเองนั้นคือศิษย์ของฝ่ายธรรมะ
การทำสัญลักษณ์ อาจจะทำให้ตกเป็นเป้าหมายให้ศิษย์ของฝ่ายอธรรมไล่ล่า แต่ถ้าหากไม่ทำสัญลักษณ์ ก็จะตกเป็นเป้าหมายของศิษย์จากทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม แน่นอนว่าจะต้องถูกทั้งสองฝ่ายไล่ฆ่า
เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมานี้ ฝ่ายธรรมะมีความเคลื่อนไหวภายในเกิดขึ้นมากมาย มีกฏระเบียบต่างๆเข้มงวดมากขึ้นที่ศิษย์ทั้งหมดโดยส่วนมากต่างก็รับทราบกันดี ดังนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะหนีไปอยู่ทางฝ่ายอธรรมะได้อย่างง่ายดาย
ในตอนนี้ขอบเขตแดนลับนพเก้าก็เปิดขึ้นมาได้ร่วมหนึ่งเดือนแล้ว บางคนเล่าว่า มีศิษย์หลายคนที่มีวาสนาดี สามารถเก็บเกี่ยวสมบัติได้จำนวนไม่น้อยแล้ว
ว่ากันว่ามีบางคนได้รับยาล้ำค่า ที่สามารถใช้หลอมสมบัติโอสถขั้นที่เจ็ดได้ ซึ่งถ้าหากส่งมอบสมบัตินั้นให้แก่สำนักรางวัลที่ได้จะต้องมีมูลค่ามหาศาล และคงจะทำให้ผู้คนอิจฉาตาร้อนอย่างมากเลยทีเดียว
ทั้งยังมีผู้เล่าว่ามีคนได้รับไข่ของสัตว์มายาโบราณ ซึ่งเมื่อฟักออกมาเป็นตัวแล้วจะต้องมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังมีคนได้รับแผ่นหยกเร้นลับ ที่ด้านบนถูกสลักไว้ด้วยภาพเซียนร่ายรำกระบี่ ซึ่งพิเศษคือรอยสลักนั้นสามารถเคลื่อนไหวได้ราวกับมีชีวิต
เรื่องราวเหล่านี้จะเป็นความจริงซักกี่ส่วนนั้น ไม่อาจทราบได้ เพราะภายในเขตแดนลับนพเก้านี้มีเรื่องราวแปลกประหลาดมากมายเกิดขึ้นในทุกวัน ให้ผู้คนกล่าวขานเล่าลือกันได้ไม่ซ้ำอยู่แล้ว
กล่าวว่าข่าวลือก็ล้วนมีความน่าเชื่อถือน้อย แต่ทว่าก็ยังมีบางข่าวลือที่เป็นเรื่องใหญ่โต เช่นในฝ่ายธรรมะก็มีข่าวลือที่สั่นคลอนไปทั่ว ราวกับว่าไม่มีฝ่ายธรรมะคนใดที่ไม่ทราบเรื่อง
เรื่องใหญ่เรื่องแรก ก็คือ ศิษย์ฝ่ายธรรมะแห่งสำนักพลิกสวรรค์หมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปด ศิษย์สายตรงนามว่าหลงเฉิน ขืนใจศิษย์สตรีร่วมสำนักผู้หนึ่ง ไม่เพียงเท่านั้นยังโฉดชั่ว ป่าเถื่อน จิตใจเหี้ยมโหด ถึงกับสังหารศิษย์สตรีผู้นั้นอย่างไร้ยางอาย ทว่าภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ถูกบันทึกเอาไว้ได้โดยบุรุษสองคนที่บังเอิญผ่านมา ทำให้ไปกระตุ้นโทสะของหลงเฉิน วีรบุรุษทั้งสองจึงได้ถูกหลงเฉินสังหารไปในทันที เพื่อหมายจะชิงหลักฐานที่อยู่ในมือของพวกเขามา
แต่ในขณะที่หลงเฉินลงมืออย่างอุกอาจนั้น ก็มีคนปรากฏตัวขึ้น ทั้งยังได้เก็บหลักฐานเอาไว้ และใช้พลังที่มีอยู่ทั้งหมดต้านทานหลงเฉินเอาไว้
ทว่า หลงเฉินนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก ถึงกับสังหารผู้อยู่เหนือขอบเขตไปถึงสามคนติดต่อกัน ทั้งยังไล่ล่าผู้ที่เห็นเหตุการณ์อย่างบ้าคลั่ง
ผู้คนมากมายที่ได้ยินข่าวลือนี้ ในตอนแรกพวกเขาต่างก็รู้สึกว่า เรื่องนี้ยากที่จะเชื่อได้ ทว่าเมื่อมีคนฉายภาพที่ถูกบันทึกในหยกบันทึกภาพออกมา ในที่สุดคนเหล่านั้นก็เชื่อข่าวลือที่เกิดขึ้น——ว่าหลงเฉินคือปีศาจราคะ
ศิษย์แทบทุกคนในฝ่ายธรรมะ เมื่อได้ยินการกระทำของหลงเฉินเช่นนั้น ก็ทั้งโกธรทั้งเกลียดชัง แม้แต่การเอ่ยนามของหลงเฉิน ก็ได้กลายเป็นการกระตุ้นโทสะของทั้งฝ่ายธรรมะไปจนสิ้น ในขณะนี้หลงเฉินได้กลายเป็นบุคคลที่ถูกหมายหัวให้ได้รับโทษตายจากฝ่ายธรรมะไปแล้ว เพื่อที่จะล้างแค้นให้แก่สตรีผู้น่าสงสารผู้นั้น
ส่วนเรื่องใหญ่เรื่องที่สองนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องแรกอยู่เล็กน้อย นั่นคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งฝ่ายอธรรมหยินหลอที่จัดอยู่ในระดับเดียวกันกับยอดฝีมืออันดับหนึ่งฝ่ายธรรมะหานเทียนหวู่ บุกเข้ามาถึงยังฐานที่มั่นของหมู่ตึกพลิกสวรรค์เพื่อไล่ฆ่าศิษย์ฝ่ายธรรมะ
และที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ ที่หยินหลอมายังฝ่ายธรรมะนี้ ไม่ได้บุกเข้ามาฆ่าล้างศิษย์ฝ่ายธรรมะ เขาแทบไม่สนใจผู้ใดเลย มุ่งมั่นที่จะสังหารคนเพียงผู้เดียวเท่านั้น นั่นก็คือปีศาจราคะหลงเฉิน ซึ่งเมื่อหยินหลอมาถึงก็เปิดศึกกับหลงเฉินปีศาจราคะผู้นั้นทันที
ผลลัพธ์ก็คือหลงเฉินถูกหยินหลอไล่ล่าหลบหนีหายไป จวบจนบัดนี้ยังไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรเลยด้วยซ้ำ
มีผู้คนมากมายต่างก็กำลังคอยจับตาดูความโชคร้ายของหลงเฉิน คนบางส่วนก็คอยหัวเราะเงียบๆอยู่เบื้องหลัง ทั้งยังคิดว่าหลงเฉินผู้นี้ถือได้ว่าเป็นคนที่บาปหนาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่คนในฝ่ายอธรรมเองก็ยังเห็นเป็นเช่นนั้นไปด้วย
ยิ่งกว่านั้นมีบางคนคิดว่า หากหลงเฉินตายด้วยเงื้อมมือของสุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งของฝ่ายอธรรม ก็น่าจะนับว่าเป็นโชคของเขาแล้ว เพราะถ้าหากเขายังมีชีวิตอยู่ จะต้องถูกศิษย์ฝ่ายธรรมะเลาะกระดูกออกมาทั้งเป็นแน่
นอกจากข่าวลือทั้งสองเรื่องนี้แล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือแดนลับนพเก้าในตอนนี้ ได้มีการปรากฏสภาพพื้นที่ที่แห้งแล้งลึกลับขึ้น มีลกษณะเป็นหลุมกว้างใหญ่ ทั่วบริเวณเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังการทำลายแห่งความแน่วแน่ ที่แสนจะน่าหวาดกลัว
มีบางคนคาดเดาเอาว่า ในสถานที่แห่งนี้จะต้องมีสมบัติสูงสุดปรากฏขึ้น ทว่าสมบัตินั้นในตอนนี้ได้มีคนช่วงชิงไปก่อนแล้ว และเหลือทิ้งสภาพพื้นที่ที่เป็นเช่นนี้ไว้ ทว่าเรื่องจริงเป็นเช่นไรนั้นยังคงไม่มีผู้ใดทราบ ต่างคนต่างก็คาดเดากันไปต่างๆมากมาย
ณ พื้นที่หนึ่ง ภายในส่วนลึกของขอบเขตแดนลับนพเก้า สตรีหน้าตางดงามผู้หนึ่ง กำลังจับจ้องภาพเหตุการณ์ในหยกบันทึกภาพในมือ เมื่อดูจบ บนใบหน้าเรียบเฉยเย็นชานั้น พลันก็ปรากฏรอยยิ้มยินดีขึ้นมา :
“พวกเขาทำได้ยอดมาก เช่นนี้หลงเฉินไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตามก็คงไม่อาจลบล้างชื่อเสียงที่เสียหายนี้ไปได้แน่ หวังว่าเขาคงจะไม่ถูกหยินหลอฆ่าทิ้งไปเสียก่อนนะ ต้องให้เทียนหวู่เกอเกอเป็นผู้จัดการเขาด้วยมือตนเองถึงจะสาสมที่สุด”
สตรีผู้นั้นมิใช่ใครอื่น แท้จริงแล้วเป็นสุดยอดฝีมือยินหวูซวงที่คอยอยู่ข้างกายหานเทียนหวู่ ผู้ซึ่งทั้งเคารพทั้งซื่อสัตย์ต่อหานเทียนหวู่ที่สุดนั่นเอง
“หากว่าหลงเฉินตายด้วยเงื้อมมือเทียนหวู่เกอเกอไปแล้ว สตรีทั้งสองคนนั้น ก็คงจะไม่มีแม้แต่หน้าที่จะมาพัวพันเทียนหวู่เกอเกอแล้วละ” ยินหวูซวงรำพันเบาๆ แล้วก็ปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจขึ้นบนใบหน้า
ในสายตาของนาง หานเทียนหวู่นั้นเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่มีความสมบูรณ์แบบ ไม่มีสตรีแม้แต่คนเดียวที่สามารถต้านทานเสน่ห์ของเขาได้เลย
ดังนั้นนางจึงไม่พอใจในท่าทีที่ฮวาปี้ลั่วไม่แยแสหรือแม้แต่สนใจมองหานเทียนหวู่เช่นนั้น ในมุมมองของนาง นางคิดว่า ฮวาปี้ลั่วนั้นเย่อหยิ่ง นางก็เพียงแต่แสร้งทำเป็นสูงส่ง ความจริงคงกำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวของหานเทียนหวู่อยู่อย่างแน่นอน
สตรีเพศต่างก็มีความเห็นแก่ตัวกันอยู่แล้ว ถึงแม้ข้างกายหานเทียนหวู่จะมีสตรีคอยไล่ตามอยู่มากมาย ทว่าหากมองในด้านคุณสมบัติหรือหน้าตา นางเองก็คิดว่าย่อมไม่มีผู้ใดพอที่จะสามารถเทียบนางได้อยู่ดี
ทว่ายามนี้ นางกลับเกิดความรู้สึกที่ไม่ถูกต้องขึ้นมา ขณะนี้ไม่แต่เพียงแค่การปรากฏตัวของฮวาปี้ลั่ว ยังมีถังหว่านเอ๋อกับเยี่ยจื่อชิว ที่เรียกได้ว่างามกว่าฮวาปี้ลั่วกว่าสามส่วนเลยก็ว่าได้ จนทำให้นางไม่อาจที่จะไม่หวาดระแวงขึ้นมาได้
โดยเฉพาะถังหว่านเอ๋อ ถึงแม้จะไม่ได้มีสถานะเป็นศิษย์ระดับชั้นเลิศ แต่ว่าในด้านพื้นฐานที่สามารถปลดปล่อยพลังความแน่วแน่ออกมาได้ เช่นนั้นก็นับว่าจัดอยู่ในระดับผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศได้แล้ว
ดังนั้นเมื่อได้พบว่าหลงเฉินติดกับดัก นางก็เกิดความรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ยินหวูซวงเก็บหยกบันทึกภาพในมือ แล้วหันไปสนทนากับผู้อยู่เหนือขอบเขตอีกคน
“เจ้าออกคำสั่งต่อคนของเจ้าว่า ในช่วงเวลานี้จงอย่าพึ่งลงมือต่อหลงเฉิน ให้ปล่อยไปก่อน”
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นเมื่อได้ฟังบนใบหน้าก็เปี่ยมไปด้วยความลำบากใจ กล่าวอึกอักขึ้นมาว่า “แต่ว่า..รองเจ้าสำนักได้กำชับเอาไว้ ขอเพียงสบโอกาส ต้องสังหารหลงเฉินผู้นี้ให้ตายให้ได้……”
“หือ ? ”
ยินหวูซวงทอสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น แล้วกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา “อย่าได้ใช้รองเจ้าสำนักมากดดันข้า ถ้าหากกล้าแตะต้องแม้แต่ปลายเส้นขนของข้า แม้แต่หน้าของเจ้าสำนักข้าก็จะไม่ไว้ด้วยเช่นกัน ทำตามที่ข้าสั่ง มีอะไรข้าจะรับผิดชอบเอง”
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้น กำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างต่อ ทว่าเมื่อมองไปที่สีหน้าที่เย็นเยียบของยินหวูซวง ก็ได้แต่กล้ำกลืนคำพูดกลับลงไป
เขาทราบว่ายินหวูซวงผู้นี้ มีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นเจ้าสำนักก็ยังต้องเกรงอกเกรงใจต่อนางอยู่หลายส่วน เช่นนั้นแล้ว เขามีหรือที่จะกล้าล่วงเกินนางได้
“เจ้าให้คนพวกนั้น คอยจัดการกับข่าวลือของหลงเฉินให้ดี ทำให้เขาตกอยู่ภายใต้การจับตามองของฝ่ายธรรมะทั้งหมดให้ได้ ทำให้แน่ใจว่าเขาจะหนีไม่พ้นการเป็นฆาตกรที่ไม่อาจให้อภัยได้ให้ได้
เพราะถ้าเป็นเช่นนี้ ในยามที่เทียนหวู่เกอเกอฆ่าเขา ก็จะเป็นการกระทำอันชอบธรรม และไม่ต้องเป็นที่ครหาของผู้คนแล้ว อย่างไรเสียท้ายที่สุดเขาก็ต้องถูกพวกเราฆ่าตายอยู่แล้ว ไม่ปล่อยให้รอดไปได้หรอก เข้าใจแล้วหรือยัง ? ” กล่าวจบ ยินหวูซวงสาดประกายดุร้ายออกมาจากดวงตา
“ขอรับ”
คนผู้นั้นไม่กล้าตอบโต่สิ่งใด เพียงเอ่ยรับคำแล้วจากไปอย่างว่าง่าย เขายังต้องรีบไปถ่ายทอดคำสั่งของยินหวูซวงอีกหากว่าหลงเฉินถูกฆ่าตายด้วยเงื้อมมือของยอดฝีมือคนอื่นเข้า ยินหวูซวงย่อมต้องคิดว่าเขาจัดการเรื่องราวได้ไม่สำเร็จอย่างแน่นอน จนอาจจะทำให้นางคิดว่าเขาทำลายแผนการของนางไปเสีย
หากเป็นเช่นนั้น ด้วยลักษณะนิสัยที่ร้ายกาจของสตรีผู้นี้ จะต้องมีแต่สิ่งเลวร้ายตอบแทนกลับมาแน่ คิดดังนั้นแล้ว จึงได้รีบออกไปส่งข่าวอย่างรวดเร็ว
เมื่อสะสางเรื่องของหลงเฉินจนเรียบร้อย บนใบหน้าของยินหวูซวงก็ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มรื่นรมย์ขึ้นมา นางหายลับไปจากจุดเดิมที่ยืนอยู่ มุ่งหน้าเดินทางเข้าไปสู่ส่วนลึกของขอบเขตแดนลับนพเก้าต่อไป
ในที่สุดข่าวลือเรื่องการเป็นปีศาจราคะของหลงเฉินก็แพร่กระจายไปจนถึงหูของเหล่าศิษย์ของหมู่ตึกที่ร้อยแปดจนได้ แต่ศิษย์ของทางหมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปดนั้น หลังจากได้ยินได้ฟัง ก็ไม่จำเป็นต้องคิดแต่อย่างใด พวกเขาทราบในทันทีว่า นี่จะต้องเป็นการใส่ร้ายกันอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะกู่หยางนั้น เมื่อได้ยินข่าวก็แทบอยากจะเข้าไปทุบตีบรรดาศิษย์ที่ถ่ายทอดข่าวลือเช่นนี้ออกมา ให้ใบหน้าแบนบี้เป็นกระดานไปเลยยิ่งนัก
เขาเดือดดาลอย่างหนัก ด่าทอออกมายกใหญ่ “ให้ตายเถอะ พี่ใหญ่หลงเฉินน่ะ อย่างเขามีหรือที่จะไปข่มเหงสตรี ?
ให้ตายเถอะ ต่อให้สตรีผู้นั้นเอาคมหอกมากดดันหลงเฉิน เขาก็คงจะรีบออกห่าง ไม่เหลียวมองเลยด้วยซ้ำ”
ทว่าขณะที่กู่หยางกำลังเดือดดาล โมโหด่าทอ คนอย่างกัวเหรินกลับนิ่งเฉยเป็นอย่างยิ่ง เขาล้วงเอายาโอสถออกมาเม็ดหนึ่ง เพื่อแลกกับหยกบันทึกภาพชิ้นหนึ่งจากศิษย์ที่มาเล่าข่าว จากนั้นนั่งหลบมุมอยู่เงียบๆ เพื่อค่อยๆวิเคราะห์ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“หน้าอกก็เล็ก ไหล่ก็กว้าง ดวงตาก็ไม่ได้โต ผิวพรรณยังเป็นจุดด่าง ขาทั้งสองข้างยังมีขนาดเท่ากับเอวอีก แล้วยัง…ทรวงทรงองเอว….คล้ายกับ…ถังน้ำ! สตรีเช่นนี้งั้นหรือ ?
ให้ตายเถอะ ไม่แปลกใจเลยที่พี่ใหญ่ไม่แม้แต่จะมองนางเลยด้วยซ้ำ นี่ยังไงซะก็ไม่ใช่รสนิยมของพี่ใหญ่แน่อยู่แล้ว เจ้าพวกตัวโง่งม กล้ามาลองดีกับพี่ใหญ่ แม้แต่เหยื่อที่จะใช้ก็ยังหามาได้แค่นี้ ช่างไม่เป็นมืออาชีพเอาซะเลย ถุ้ย ! ”เมื่อวิเคราะห์จบ กัวเหรินก็ได้ทอสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้นแล้วกล่าวว่า
“นี่ถ้าเป็นข้า ก็แน่นอนว่าย่อมต้องเลือกคนที่เป็นสาวงามดั่งเช่นฮวาปี้ลั่วคนเดียวเท่านั้น ข้ารับรองได้เลยว่าจะต้องเป็นกับดักที่จัดขึ้นเพื่อจัดการกับพี่ใหญ่แน่นอน”
“จริงหรือ ? ”
“ไร้สาระ ต้องจริงอย่างแน่นอนสิ พี่ใหญ่ของข้าน่ะ แค่พบเจอสาวงามก็แทบจะพูดไม่ได้ เดินไม่ไปแล้ว……” กัวเหรินที่กล่าววาจาออกมาได้เพียงครึ่งประโยค ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง บางอย่างที่ทำให้แผ่นหลังเขาเย็นวาบ กัวเหรินหันหน้ากลับมามอง แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว
“พี่ใหญ่”
คนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น แท้จริงแล้วก็คือหลงเฉิน ที่ในขณะนี้กำลังทอสีหน้าเหยียดหยามมองจ้องมาที่กัวเหริน พร้อมทั้งส่ายหน้ากล่าวออกมา
“เจ้าหนู อย่างเจ้าน่ะ เมื่อไหร่จะมีอนาคตกับเขาบ้าง ? ไม่ออกไปตามหาวาสนา เอาแต่แอบนินทาผู้อื่นอยู่เช่นนี้อย่างงั้นหรือ ? ” หลงเฉินกล่าวออกมาอย่างไม่ใยดีเลยแม้แต่น้อย
หลงเฉินนั้น หลังจากที่เลื่อนระดับพลังเข้าถึงขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นแล้ว เขาก็ทราบว่าตนเองไม่สามารถที่จะเสียเวลาต่อไปได้อีกแล้ว ถึงแม้ว่าขอบเขตแดนลับนพเก้าจะเปิดเป็นเวลาหนึ่งปี ทว่าในด้านของขอบเขตแดนลับนพเก้านั้นกว้างไกลราวกับว่าไร้ขอบเขต หากจะเดินทางไปให้ทั่วแดน ด้วยเวลาเพียงเท่านี้ยังนับว่ากระชั้นชิดยิ่งนัก
หลังจากได้ฝึกปรือท่าร่างภูตมืดสงัดไปแล้ว หลงเฉินก็เดินทางได้รวดเร็วขึ้น เพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นก็ไปถึงยังจุดหมายที่ไกลออกไปจากจุดเดิมมาก และเมื่อผ่านไปได้สามวัน เขาก็สามารถเดินทางได้ไกลกว่าหลายสิบลี้แล้ว และในระหว่างที่กำลังเดินทางอยู่นั้น หลงเฉินก็สัมผัสถึงพลังสภาวะที่คุ้นเคยกระแสหนึ่ง
หลังจากที่เลื่อนระดับพลังเข้าถึงขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นไปแล้ว ตลอดทั่วทั้งร่างกายของหลงเฉินก็คล้ายกับผลัดเปลี่ยนกระดูกขึ้นมาใหม่เลยก็มิปาน ประสาทสัมผัสเรียกได้ว่าฉับไวกว่าเดิมหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
ในขณะที่เดินทางนั้นหลงเฉินคล้ายรู้สึกได้ถึงพลังสภาวะของกัวเหริน เขาเดินทางต่อมาเรื่อยๆก็พบว่าพลังสภาวะนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น และเมื่อแน่ใจแล้ว หลงเฉินก็ได้เดินทางตามพลังที่สัมผัสได้มาเรื่อยๆ ลอดผ่านช่องเขาที่เร้นลับแห่งหนึ่ง ในที่สุดก็ได้พบกับกัวเหริน
ในตอนที่พบตัวกัวเหรินนั้น เขาพบว่าเด็กน้อยผู้นี้กำลังทำตัวลับๆล่อๆอยู่มุมหนึ่งภายในถ้ำ กำลังแอบชมเชยภาพวาดการแสดงของสตรีเพศอยู่หรืออย่างไรกัน ทั้งยังกวาดมือวาดเท้า ออกท่าทางแปลกประหลาดเช่นนั้นอีก นั่นทำให้หลงเฉินรู้สึกทั้งระอาทั้งขุ่นเคือง แทบคลั่งใจตายเลยทีเดียว
ตัวบัดซบผู้นี้ เข้ามายังแดนลับก็ไม่ออกไปเสาะแสวงหาวาสนา แต่กลับมาดูสิ่งของที่ไม่น่าสนใจในสถานที่แห่งนี้เสียได้
“พี่ใหญ่ ท่านเลื่อนระดับพลังแล้ว ยินดีด้วยนะ”
เมื่อถูกจับได้ กัวเหรินก็ได้ทอใบหน้าแดงซ่านขึ้นมา เร่งรีบเก็บหยกบันทึกภาพเอาไว้ ทันใดนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไปของหลงเฉิน จึงได้เงยหน้าขึ้นมองหลงเฉินเต็มตา แล้วกล่าวชื่นชมออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจระคนดีใจ
“พูดจาเรื่อยเปื่อยให้มันน้อยหน่อย เจ้าน่ะ จะจริงจังกับอะไรบ้าง สักหน่อยไม่ได้เลยหรือไง ? นี่ก็ผ่านมาเดือนนึงแล้ว เจ้าหนูอย่างเจ้าได้อะไรมาบ้างแล้วล่ะ ? ”
กัวเหรินยังไม่ทันฉุกคิดให้ถี่ถ้วน เมื่อได้ยินคำถามก็ตอบออกไปทันที
“คงจะมีแต่เพียงแค่หยกบันทึกภาพชิ้นนี้แล้ว”
กัวเหรินพึ่งจะกล่าวประโยคนี้จบ ก็ได้พบว่าบนใบหน้าของหลงเฉินดำคล้ำขึ้นมาแทบจะคล้ายกับก้นหม้อ จึงได้รีบกล่าวขึ้นมาอีกว่า
“ทว่า พี่ใหญ่ ข้าได้พบเห็นความลับที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งเข้า ลำพังตัวข้าเองคนเดียวไม่สามารถทำได้ และนี่ก็เป็นเรื่องเร่งด่วนเลยด้วยนะ รอบนี้พี่ใหญ่ ท่านก็มาแล้ว เช่นนี้ข้าก็มีข้อได้เปรียบแล้ว พวกเราสองชายชาตรีก็ไปทำการค้าครั้งใหญ่กันเถอะ”
“เจ้าไม่ได้หลอกข้านะ ? ”
หลงเฉินเกิดความรู้สึกคลางแคลงใจขึ้นมาเล็กน้อย เด็กน้อยผู้นี้คงจะไม่ใช่ทำไปเพื่อแก้เขินหรอกนะ ถึงได้จงใจที่จะหลอกลวงเขา อย่างเจ้าเด็กน้อยกัวเหรินนี่ดูยังไงก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะทำไปเพียงเพื่อกลบเกลื่อนอาการเก้อเขินเท่านั้น
“ข้าสาบานไดเลยว่า นี่จะต้องเป็นการค้าครั้งใหญ่อย่างแน่นอน พี่ใหญ่ ไปเถอะ ตอนนี้พวกเราควรจะรีบไปกันได้แล้ว ถ้าหากไปถึงช้าสมบัติทั้งหมดก็คงจะถูกเก็บไปหมด ไม่เหลือไว้ให้แล้วล่ะ”
กัวเหรินกล่าวจบ ก็ดึงตัวหลงเฉินให้เดินออกไปยังหุบเขาเขียวขจีที่อยู่ห่างไกลออกไป