“หลงเฉินโจรราคะ! ถึงที่ตายของเจ้าแล้วหยุดพิรี้พิไรชื่นชมจิตรกรรมฝาผนังได้แล้ว ข้าจะให้โอกาสเจ้า หากรู้ตัวก็จงจบชีวิตตัวเองลงไปซะ” แล้วก็มีเสียงที่น่าชังดังขึ้นมาอีกครา และดังมาจากทางด้านของศิษย์ฝ่ายธรรมะอีกเช่นเดิม
เสียงนั้นดังมาจากผู้อยู่เหนือขอบเขตที่มีพลังแข็งแกร่งผู้หนึ่ง ดูไปแล้วยังอ่อนเยาว์ยิ่งนัก ทว่าภายในแววตาทั้งคู่กลับเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งยโส
หลงเฉินไม่สนใจเสียงนั้นเลยแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่จะมองไปที่คนผู้นั้นด้วยซ้ำ เขายังคงจับจ้องภาพวาดเก้าดาราบนผนังนั้นอย่างใจลอย ราวกับไม่รับรู้สิ่งรอบตัวแล้วไม่ก็มิปาน
“หลงเฉิน เจ้าหูหนวกหรือไงกัน ? ” คนผู้นั้นเมื่อเห็นว่าหลงเฉินไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย ก็โมโหขึ้นมายกใหญ่ ก้าวออกมาด้านหน้าหลายก้าว มือชี้หน้าหลงเฉินแล้วแผดเสียงถามออกมาด้วยโทสะ
นั่นเอง ทำให้หลงเฉินค่อยๆรั้งสายตากลับมามองชายหนุ่มผู้นั้น สำรวจดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าไปมา เขาถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้งแล้วกล่าว “เคราะห์ร้ายมาถึงตัว อาจจะมีผลกระทบต่อชีวิตด้วยก็ได้ น่าเสียดายจริงๆ ยังเด็กอยู่แท้ๆ”
หลงเฉินไม่ใช่นักปราชญ์ นักพรต หรือต่อให้เป็นนักปราชญ์ แต่หากถูกท้าทายและเหยียดหยามถึงเพียงนี้ ก็คงจะมีบ้างที่ไม่อาจทนได้ ยิ่งนี่เป็นหลงเฉินด้วยแล้วนั้น หากไม่เอ่ยปากตอบโต้ก็คงจะเป็นเรื่องที่ผิดปกติ
“หาที่ตาย ผู้อื่นเอาแต่บอกว่าเจ้านั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก วันนี้ข้าจะขอลองวัดดู ว่าเจ้าจะเป็นอย่างที่เขาพูดจริงหรือไม่”
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นกล่าวออกมาอย่างเย็นชา ย่างเท้าออกไปก้าวหนึ่ง ตลอดทั่วทั้งร่างก็ปะทุพลังออกมา พลังอักขระที่อยู่บนหัวก็สว่างวาบขึ้น แผ่พลังสภาวะที่แข็งแกร่งกระจายออกมาโดยรอบ
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นี้มาจากหมู่ตึกลำดับที่สิบแปด มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เขาจัดว่าอยู่ในระดับผู้นำในบรรดาผู้อยู่เหนือขอบเขตทั้งหมดอีกด้วย และที่สำคัญคือคนผู้นี้ยโสโอหังเป็นที่สุด
ก่อนหน้านี้ที่เขาได้ยินนามของหลงเฉิน ผู้คนต่างบอกว่าหลงเฉินนั้นเป็นบุคคลที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก มีพรสวรรค์สูงมากในระดับที่แทบจะเคียงกับหานเทียนหวู่เลยก็ว่าได้
เรื่องนี้นั้น ทำให้เหล่ายอดฝีมือผู้หยิ่งทะนงทั้งหลาย ไม่อาจทำใจยอมรับได้อย่างถึงที่สุด ถึงแม้พวกเขาจะไม่มีความคิดที่จะต่อกรกับผู้มีพรสรรค์อันดับหนึ่งแห่งฝ่ายธรรมะอย่างหานเทียนหวู่ แต่ก็มีผู้คนมากมาย ที่คิดว่าหากไม่นับหานเทียนหวู่แล้ว ยอดฝีมืออันดับหนึ่งก็ต้องเป็นพวกเขาอย่างแน่นอน
หมู่ตึกลำดับที่สิบแปด กับหมู่ตึกที่หนึ่งนั้นถือได้ว่ามีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ไม่น้อย เขาได้รับการแจ้งมาว่า หากเข้าสู่ใจกลางแดนลับแล้วให้ ‘คอยดูแล’ หลงเฉินสักหน่อย
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นี้นั้นเดิมทียังคิดว่า ในที่สุดครั้งนี้ก็มีโอกาสต่อกรกับหลงเฉินได้อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา และหาเหตุผลที่ชอบธรรมในการสังหารเขาได้แล้ว แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือ ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ไม่นาน จู่ๆทางเบื้องบนก็ออกคำสั่งมาว่า ให้หยุดมือกับหลงเฉินเป็นการชั่วคราวก่อน
เมื่อได้รับทราบคำสั่งเช่นนี้ ส่วนลึกภายในจิตใจเขาก็เกิดความไม่ยินยอมขึ้น ทว่าในตอนนั้นก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจแต่อย่างใด แต่ทว่าวันนี้เขาได้พบกับหลงเฉินแล้ว อีกทั้งหลงเฉินยังแสดงท่าทีกร้าวแกร่งและสามหาวต่อเขา เช่นนั้นออกมา ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก
เมื่อลงสู่สนามรบ ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาก็ไม่เคยใส่ใจจะมองแววตาของคู่ต่อสู้เลยซักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของฝ่ายอธรรม หรือว่าจะเป็นศิษย์ฝ่ายธรรมะเองก็ตาม คนเหล่านั้นก็คล้ายกับไม่คู่ควรจะให้เขามองเลยแม้แต่น้อย พวกนั้นก็คล้ายเป็นเพียงผักปลาเท่านั้น
“กัวเหริน เตรียมตัวเอาไว้” หลงเฉินกล่าว
“วางใจเถอะ พี่ใหญ่ ข้าเตรียมตัวเอาไว้แล้ว ขอเพียงท่านสั่ง ข้าจะลงมือทันที” กัวเหรินเองก็พร้อมลงมือแล้ว เขาไม่สบอารมณ์ต่อเจ้าพวกโง่งมกลุ่มนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว
“ช่างเถอะ เจ้าไม่เข้าใจความหมายของข้า”
หลงเฉินส่ายหน้าไปมา และไม่สนใจกัวเหรินอีก เขาหันไปกล่าวต่อผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นที่กำลังสะสมพลังเพื่อเข้าโจมตี “เด็กน้อย อย่าได้รีบร้อนไป นี่อาจทำให้เจ้าตายได้เลยนะ”
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นทอสีหน้าดำคล้ำด้วยความโกรธ หลงเฉินผู้นั้น ยังคงกล่าววาจาโอหังดังเดิม ทำราวกับกำลังสอนสั่งเด็กเล็กๆอยู่ก็มิปาน จนทำให้เขาเริ่มจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
“ไปตายซะเถอะ เจ้าโจรราคะ”
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นเดือดดาลถึงขีดสุด ขยับเท้าเคลื่อนไหว พุ่งตัวเข้าไปหาหลงเฉิน กระบี่ยาวในมือตวัดผ่าผ่านอากาศ ส่งคมกระบี่ฟาดฟันเข้าใส่หลงเฉิน แม้แต่อากาศก็ยังถูกกระบี่ของเขาแหวกออกเป็นทาง
พลังสภาวะของกระบี่เล่มนี้ถือได้ว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง จนทำให้ศิษย์ที่อยู่ตรงนั้นไม่น้อยต้องหน้าเปลี่ยนสี เพราะคิดว่าถ้าหากเป็นพวกเขาที่ต้องเผชิญหน้ากับคมกระบี่เล่มนั้น คงจะไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้
“เพียะ”
ทันใดนั้นกระบี่ยาวที่ฟันลงไปอย่างเร่งร้อนนั้นก็หยุดลงกลางอากาศทันที โดยมีมือข้างหนึ่งจับยึดเอาไว้แน่น
ผู้คนมากมายภายในถ้ำนั้นแตกตื่นตกใจกันยกใหญ่ เมื่อพบว่าหลงเฉินเพียงยื่นมือข้างเดียวออกไปอย่างเรียบง่าย ก็สามารถหยุดกระบี่ยาวที่ฟันออกมาด้วยพลังสภาวะอันแข็งแกร่งของผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นเอาไว้ได้
กระบี่ยาวในมือของผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้น ถือได้ว่าเป็นอาวุธปราณอย่างหนึ่ง ดังนั้นย่อมต้องมีความคมกล้าเป็นอย่างยิ่ง จนสามารถตัดทองดุจหยก ผ่าภูผาสูงสับก้อนหินใหญ่ให้เป็นชิ้นๆได้อย่างง่ายดาย
ทว่าหลงเฉินกลับใช้มือเพียงแค่ข้างเดียวยื่นออกมาด้วยท่าทีที่สบายเป็นอย่างยิ่งเช่นนี้ ทั้งยังหยุดกระบี่ยาวนั้นได้โดยที่ไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย ทำให้แม้แต่สุดยอดฝีมือก็ยังต้องจ้องเขม็งจนตาค้าง
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นก็ตกใจอย่างหนักเช่นกัน คมกระบี่นี้ของเขาถึงแม้ว่าจะไม่ได้ออกกระบวนท่าด้วยพลังทั้งหมด แต่เรื่องเช่นนี้เขาเองก็คาดไม่ถึงแม้แต่น้อย นับตั้งแต่เกิดมา หากนับในระดับพลังเดียวกันแล้วยังไม่เคยมีผู้ใดใช้เพียงมือเปล่ารับกระบี่ของเขามาก่อนเลยด้วยซ้ำ
หรือต่อให้เป็นสุดยอดฝีมือก็ยังไม่อาจหาญที่จะทำเช่นนี้ ทว่าหลงเฉินกลับกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ อีกทั้งยังเหมือนกับกำลังหยอกเย้าลูกแมวน้อยอยู่เสียอย่างนั้น
นี่ทำให้ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นเกิดความอับอายจนกลายเป็นเกรี้ยวกราด เขาคิดว่าหลงเฉินเล่นเล่ห์กลบางอย่างจงใจที่จะทำให้เขาเกิดความอับอาย เขาไม่เชื่อว่าหลงเฉินจะสามารถที่จะใช้มือเปล่ารับกระบี่ของเขาเอาไว้ได้
เขาคิดว่าหลงเฉินจะต้องสวมถุงมือโปร่งใสที่มีพลังการป้องกันเหนือล้ำเอาไว้บนฝ่ามืออย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเพียงแค่มือเปล่า มีหรือที่จะหยุดกระบี่ของเขาเอาไว้ได้
‘ที่แท้หลังจากที่เลื่อนระดับพลังเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นแล้ว ในระหว่างที่พลังได้เพิ่มพูนขึ้น ร่างกายก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นด้วยสินะ
ไม่น่าเชื่อว่าทัณฑ์อัสนีจะช่วยหล่อหลอมกายเนื้อของข้าได้มากมายถึงเพียงนี้ ถึงแม้ตอนนี้ร่างกายจะยังไม่สามารถเทียบกับอาวุธปราณได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ว่าหากออกท่าทางด้วยทักษะยุทธ์ก็น่าจะสามารถใช้มือเปล่ามิต่างจากอาวุธได้แล้ว’ หลงเฉินคิดอย่างพึงพอใจในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตนเองในขณะนี้
เมื่อเห็นการหยุดการโจมตีที่น่าตกตะลึงเช่นนั้น ทั่วทั้งสนามก็เงียบกริบ ผู้คนในที่นั้นโดยส่วนมากแล้วต่างก็มีความคิดเช่นเดียวกับผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นว่า หลงเฉินจะต้องใช้ลูกเล่นอะไรบางอย่างอย่างแน่นอน พวกเขาไม่เชื่อว่าหลงเฉินจะสามารถที่จะใช้เพียงมือเปล่ารับกระบวนท่าการโจมตีที่แฝงอยู่ภายในอาวุธเทพของผู้อยู่เหนือขอบเขตได้
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้น แม้ว่าจะพยายามดึงกระบี่ยาวของตนเองกลับมาอย่างไร ก็ไม่สามารถทำได้ เขาลองไหลเวียนพลังออกไปติดต่อกันถึงสามครั้งสามครา ก็กลับพบว่ากระบี่ของเขาประดุจกลายแขนของหลงเฉินไปแล้ว กระบี่นั้นถูกยึดแน่นจนเขาไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย นี่ทำให้เขาอับอายจนใบหน้าม่วงคล้ำมากขึ้นไปอีก
“เจ้าโจรราคะผู้นี้ บอกว่าให้ปล่อยไง……” ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นกล่าว แล้วสบถด่าทอออกมายกใหญ่
“เพี๊ยะ”
เสียงของบางอย่างแตกหักดังขึ้น สีหน้าของทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยความหวาดผวา เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือ กระบี่ยาวของผู้อยู่เหนือขอบเขตถูกหักด้วยมือเพียงข้างเดียวของหลงเฉิน! และกระบี่ยาวที่เหลือเพียงครึ่งท่อนนั้น ก็ถูกหลงเฉินใช้ฟาดฟันย้อนกลับไปที่เจ้าของกระบี่ ความเคลื่อนไหวรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
“พรวด”
ศีรษะมนุษย์ลูกหนึ่งลอยขึ้น โลหิตฉีดพุ่งสูงกว่าหนึ่งจั้ง พริบตานั้นศิษย์ฝ่ายธรรมะ ต่างก็ตกตะลึงอย่างหนัก แสดงสีหน้าราวกับโง่งม
“ตุบตุบ”
เสียงศีรษะมนุษย์หล่นลงสู่พื้นดังขึ้นเบาๆ แต่กังวานทั่วโถงถ้ำ ศรีษะนั้นกลิ้งกระดอนออกไปอีกราวสิบจั้ง แล้วร่างที่ไร้ศีรษะก็ค่อยๆล้มลงกับพื้นอย่างช้าๆ
แม้ว่าเสียงที่เกิดขึ้นจะไม่ได้ดังมากนัก แต่ทว่ากลับสั่นคลอนลึกลงไปในจิตใจของทุกผู้คน ทั้งศิษย์ของฝ่ายธรรมะ หรือยอดฝีมือฝ่ายอธรรม ต่างก็รู้สึกหนาวเหน็บเข้าไปถึงกระดูกดำ
การฆ่าคน ทุกคนล้วนเคยทำกันมาแล้ว แต่หากพูดถึงความโหดเหี้ยม ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงกับศิษย์ของฝ่ายอธรรมได้อย่างแน่นอน
ทว่าในตอนนี้ แม้แต่ศิษย์ของฝ่ายอธรรมเองเมื่อได้มองไปยังภาพเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้า ต่างก็ยังรู้สึกหลังคอเย็นวาบขึ้นมาเป็นสาย
ฝีมือการฆ่าคนของหลงเฉิน ถือได้ว่าหมดจด ไร้ซึ่งเยื่อใยยิ่งนัก แต่ที่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวที่สุดก็คือ บนใบหน้าของเขานั้นไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆโดยสิ้นเชิง หากจะเรียกว่าเป็นความสุขุม ก็เป็นความสุขุมที่น่าหวาดกลัวมากเกินไปแล้ว
การฆ่าด้วยความสุขุมและเยือกเย็นเช่นนี้ เมื่อเทียบกับการฆ่าด้วยใบหน้าดุร้ายแล้ว ยิ่งทวีความรู้สึกที่น่าหวาดกลัวได้มากยิ่งกว่า หลงเฉินฆ่าผู้อยู่เหนือขอบเขตที่แข็งแกร่งเหนือชั้นเป็นอย่างยิ่งไปผู้หนึ่ง โดยที่หนังตาของเขาแทบจะไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
กัวเหรินเองก็ตกตะลึงแตกตื่นเช่นกัน ถึงแม้เขาจะชังชิงตัวโง่งมฝ่ายธรรมะกลุ่มนี้มากมายนัก แต่ไม่ว่าจะกล่าวเช่นไร พวกเขาต่างก็เป็นคนศิษย์ฝ่ายธรรมะอยู่ดี
เดิมทีเขายังคิดว่าหลงเฉิน จะทำให้คนผู้นั้นอยู่ในสภาพที่เกือบตาย แขนขาพิกลพิการ แล้วค่อยเลาะฟันออกให้หมด เพียงแค่นี้ก็ถือได้ว่าน่าจะเพียงพอแล้ว
ทว่าเขากลับคิดไม่ถึงว่า หลงเฉินจะถึงกับฆ่าคนผู้นั้นในทันที และฆ่าต่อหน้าต่อตาผู้คนมากมายได้เช่นนี้ นี่เป็นการละเมิดข้อหวงห้ามที่ร้ายแรงเลยทีเดียว
“หลงเฉิน เจ้าถึงกับกล้าฆ่าคนร่วมสำนักอย่างงั้นหรือ ? ” ศิษย์ฝ่ายธรรมะผู้หนึ่งที่ตกใจจนใบหน้าขาวซีดกล่าวขึ้นมา ศิษย์ฝ่ายธรรมะ อย่างไรก็ยังคงอยู่ในสภาพที่ภายนอกดูเข้มแข็งแต่ภายในกลับขลาดเขลาอยู่เช่นเดิม
หลงเฉินเพียงแต่กวาดตามองทุกคนด้วยสายตาเย็นชา บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยั่นขึ้น “ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นคนของฝ่ายธรรมะ หรือจะเป็นฝ่ายอธรรมก็ช่าง จงจำเอาไว้ อย่าได้มาหาเรื่องกับข้า ข้าหาได้มีเวลามากมายนัก
ตัวข้านั้นไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับพวกเจ้า ถ้าหากต้องการที่จะไปเกิดใหม่เร็วหน่อย ก็ดาหน้ากันเข้ามาได้เลย”
ทันทีที่หลงเฉินกล่าวจบ ก็ทำให้ศิษย์ฝ่ายธรรมะอธรรมทั้งสองสายเกิดความปั่นป่วนขึ้นมา วาจาเช่นนี้ช่างเหิมเกริมมากเกินไปแล้ว !
“เหอะ ก็เป็นเพียงแค่ไอ้หนูที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนหนึ่งเท่านั้น กับเพียงแค่เจ้ามีความกล้ากล่าววาจาโอ้อวด……” ศิษย์ของฝ่ายอธรรมผู้หนึ่ง กล่าวอย่างไม่แยแสได้เพียงแค่ครึ่งประโยคเท่านั้น
“ตายซะ!”
“พรวด”
หลงเฉินส่งเสียงออกมา เศษกระบี่หักก็ปลิวออกจากมือ ประดุจดั่งลำแสงสายหนึ่งพุ่งออกไป แล้วก็แทงทะลุหน้าอกของคนฝ่ายอธรรมผู้นั้นไป
ในระดับความเร็วนั้นนับว่ารวดเร็วอย่างไร้ที่เปรียบ แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ หลงเฉินไม่แม้แต่จะขยับไหล่หรือเขยื้อนมือเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้การลงมือของเขาครั้งนี้ ไม่มีวี่แววแม้ซักครึ่งส่วนเลยด้วยซ้ำ
เขาหักกระบี่ยาวออกครึ่งท่อน แล้วดีดชิ้นส่วนนั้นพุ่งออก คล้ายกับเศษกระบี่สามารถดีดตัวมันออกไปได้เอง นั่นจึงทำให้ฝ่ายอธรรมผู้นั้นไม่สามารถตั้งรับได้ทัน
“เจ้า……”
ศิษย์ผู้นั้น ทำได้แต่เพียงอ้าปากกว้างเบิกตาค้าง ส่งเสียงออกมาได้เพียงแต่พยางค์เดียวก็ล้มลงไปกองอยู่กับพื้นแล้ว
“เจ้าพวกโง่งมฝ่ายอธรรม ทางที่ดีจงอย่าได้กวนใจข้า ไม่ว่าข้าจะอยู่ในช่วงที่อารมณ์ดีหรืออารมณ์เสีย อย่าได้มาปรากฏตัวให้ข้าเห็น ยิ่งไปกว่านั้นจงอย่าได้คิดที่จะผายลมต่อหน้าข้า ไม่เช่นนั้นเจ้าก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น” หลงเฉินก็ได้กล่าวขึ้นมา
เหล่าศิษย์ของฝ่ายอธรรม จ้องมองศิษย์ร่วมฝ่ายที่ตายไปผู้นั้น และอดไม่ได้ที่จะเกิดโทสะจุกอยู่ในอก ต่างคนต่างชักเอาอาวุธของตนเองออกมา เตรียมพร้อมโจมตี
ทว่าหลงเฉินกลับทำเพียงหันกลับไปจ้องมองภาพบนกำแพงนั้นอีกครั้ง ทำเหมือนไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย นี่นับว่าเป็นการเหยียดหยามแบบหนึ่ง และแฝงไว้ด้วยการดูถูกดูแคลนยิ่งนัก
การกระทำเช่นนั้น ทำให้สุดยอดฝีมือเพียงหนึ่งเดียวของฝ่ายอธรรม ที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นโกรธจัด กำหมัดเอาไว้จนแน่น ภายในดวงตาทั้งสองข้าง ก็ได้ปรากฏประกายอันคมกล้าขึ้นมา
“ศิษย์พี่ ตอนนี้พวกเรายังไม่ควรที่จะลงมือ ควรเสาะหาสมบัติกันก่อนจะดีกว่า” อยู่เหนือขอบเขตผู้หนึ่งที่อยู่ในหมู่ศิษย์ของฝ่ายอธรรมกล่าวขึ้น
ในขณะนี้ทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ ตกอยู่ในสภาวะที่ตึงเครียดอย่างถึงที่สุด ศิษย์ฝ่ายอธรรมอย่างพวกเขา ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนคนที่น้อยกว่า ทว่าก็ยังพอที่จะสามารถกดดันควบคุมยอดฝีมือฝ่ายธรรมะกันได้อยู่
การต่อสู้กันก่อนหน้านี้ของพวกเขา อย่างน้อยก็ได้ฆ่าศิษย์ฝ่ายธรรมะไปแล้วหลายคน ถึงแม้ว่าศิษย์ฝ่ายธรรมะ จะเปี่ยมไปด้วยโทสะอยู่ก็ตาม แต่ว่าพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากทรายในจานใบหนึ่งเท่านั้น
โดยเฉพาะสุดยอดฝีมือทั้งสองคนนั้น แทบจะไม่ได้สนใจใยดีต่อความเป็นความตายของผู้อื่นเลยด้วยซ้ำ ทั้งคู่ยังคงอยู่ในสภาวะสงบนิ่ง ไม่มีท่าทีที่จะลงมือแต่อย่าง
และในหมู่ศิษย์ฝ่ายธรรมะเหล่านั้น เกินกว่าครึ่งหนึ่ง ต่างก็ไม่ใช่ศิษย์ของหมู่ตึกพลิกสวรรค์ ดังนั้นสีหน้าของพวกเขาเมื่อดูไปแล้วก็เหมือนกับไม่ได้ขึ้นตรงต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ทว่าการมาของหลงเฉิน เพียงแค่ครู่เดียวก็ได้ทำลายวัฐจักรเช่นนี้ของทั้งสองฝ่ายนี้ไป และสิ่งที่ทำให้ศิษย์ของฝ่ายอธรรมคิดไม่ถึงกันก็คือ ศิษย์ฝ่ายธรรมะเหล่านั้น แสดงท่าทีคล้ายกับมีความแค้นอันยิ่งใหญ่ต่อหลงเฉินเลยก็มิปาน ไม่เพียงแต่ไม่ร่วมมือกัน แต่ยังถึงกับเปิดศึกกันเองอีกด้วย
ภายใต้สถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายธรรมะ หรือว่าจะเป็นฝ่ายอธรรม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด ต่างก็คิดที่จะเข้าปะทะกับหลงเฉิน แต่ทว่าก็ไม่มีฝ่ายใดที่สามารถทำให้สำเร็จได้
สุดยอดฝีมือของฝ่ายอธรรม ต่างก็เข้าใจในเหตุผลข้อนี้เป็นอย่างดี พวกเขาจึงได้แต่กล้ำกลืนโทสะเอาไว้ เพราะว่าหลงเฉินถือได้ว่าบ้าคลั่งมากจนเกินไปแล้ว
“ได้ หลงเฉิน หวังว่าจะได้มีโอกาสรับคำชี้แนะอันสูงส่งของเจ้า ข้าจะขอดูหน่อยว่าพลังของเจ้าคู่ควรที่จะโอหังเช่นนั้นจริงหรือไม่” สุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา
ไม่ว่าจะได้สู้หรือไม่สู้ แต่การทิ้งข้อความเอาไว้อย่างไรก็จำเป็นที่จะต้องกระทำ ทั้งเพื่อเป็นการข่มขวัญคู่ต่อสู้ ทั้งรักษาสภาวะกดดันผู้คนเอาไว้ และเพื่อรักษาขวัญกำลังใจภายในกลุ่มอีกด้วย
“หากคิดอยากที่จะไปเกิดใหม่ ก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
หลงเฉิน ก็ยังคงไม่มองไปที่ยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้น สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ภาพวาดฝาผนังเช่นเดิม เขาทำเพียงกล่าวตอบไปอย่างเรียบง่าย
“กรอด”
วาจาประโยคนี้ของหลงเฉิน เกือบที่จะทำให้สุดยอดฝีมือผู้นั้นพุ่งเข้ามาโจมตี ความสามารถในการทำให้ผู้คนชิงชังของหลงเฉินที่ถึงกับทำให้สุดยอดฝีมือของฝ่ายอธรรมโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงได้ นี่นับเป็นระดับยอดฝีมือทางด้านนี้เลยทีเดียว
ทว่า ฝ่ายอธรรมผู้นั้นทราบดี ตอนนี้เขาไม่สามารถที่จะลงมือได้ การลงมือกับหลงเฉินในตอนนี้แทบจะไม่ก่อให้เกิดผลดีแต่อย่างใด ทั้งยังมีแต่จะต้องสูญเสียไปเท่านั้น
ทั่วทุกพื้นที่ของสุสานโบราณแห่งนี้ แปลกประหลาดยิ่งนัก ในเวลานี้หากว่าเข้าต่อสู้อย่างไร้สติคงจะมิใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน เขาจึงทำได้แต่เพียงอดกลั้นเอาไว้ก่อน
เมื่อเห็นว่าแม้แต่ศิษย์ของฝ่ายอธรรมที่แข็งแกร่งน่ากลัวก็ไม่กล่าววาจาใดๆ ศิษย์ฝ่ายธรรมะก็จึงไม่กล้าที่จะกล่าวอะไรขึ้นมาต่อ ต่างก็หันกลับไปมองภาพฝาผนังเท่านั้น เพื่อว่าจะสามารถเสาะหาตำแหน่งที่ตั้งของสุสานเก่าแก่ลึกลับแห่งนี้ให้ได้
“พี่ใหญ่ ข้ารู้สึกว่าภายในสุสานโบราณแห่งนี้ มีความเป็นไปได้ว่าจะต้องมีโชคลาภอันยิ่งใหญ่ของข้าอยู่ด้วย” หลังจากเหตุการณ์สงบลงสักพัก กัวเหรินก็ได้กระซิบบอกต่อหลงเฉิน