“เหอะเหอะ พี่ใหญ่ท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าค้อนด้ามนี้ เป็นของรักของหวงของผู้อาวุโสท่านนั้นในยามที่ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังมีคุณสมบัติปราณอยู่ ตอนนี้ข้าได้ใช้ความแน่วแน่กับความเชื่อมั่นของข้าเพื่อให้มันสัมผัสได้ เช่นนั้นมันจึงยินยอมที่จะสนับสนุนข้า”
กัวเหรินมองไปที่ค้อนที่อยู่ภายในมือ กล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่เคารพนับถือ
“เช่นนี้ก็ดี มิใช่กลายเป็นว่าสามารถจะใช้ค้อนที่น่ากลัวนี้ได้มิใช่หรือ แค่ฟาดลงไปเพียงครั้งเดียวก็สร้างพลังทำลายเป็นวงกว้างแล้ว” หลงเฉินกล่าวออกมาอย่างไม่อยากที่จะเชื่อ
ถึงแม้จะรู้สึกว่าที่กัวเหรินกล่าวออกมานั้นเหลือเชื่อจนเกินไป แต่ว่าความจริงที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าเป็นเรื่องจริง ที่เขาไม่อยากจะเชื่อว่าบนโลกใบนี้จะมีเรื่องที่พิสดารได้มากมายถึงเพียงนี้
ด้วยน้ำหนักของค้อน เมื่อเทียบกับทลายมารของหลงเฉิน ยังถือได้ว่าหนักกว่าถึงเท่าตัว หากว่าเกิดถูกทุบเข้าไปซักครา ต่อให้เป็นผู้อยู่เหนือขอบเขตก็ยังต้องถูกทุบจนตายแล้ว
กัวเหรินส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวออกมา “ค้อนด้ามนี้ หาใช่เป็นค้อนศึกไม่ แต่เป็นค้อนแห่งการสรรค์สร้าง ต่อให้ต้องตายข้าก็จะไม่ใช้มันมาเพื่อต่อสู้แน่”
กัวเหรินได้ทอสีหน้าเคารพบูชาขึ้นมา หากเปรียบกับใบหน้าที่ทะเล้นตามปกติของเขา ก็เรียกได้ว่าเป็นคนละคนเลยทีเดียว
หลงเฉินไม่ทราบว่าผู้หลอมศาสตราวุธที่แท้จริง ชั่วชีวิตของพวกเขาจะใช้ค้อนเพียงสองด้าม ด้ามหนึ่งนั่นคือค้อนที่ใช้เพื่อต่อสู้ ที่เรียกกันว่าค้อนศึก
ส่วนค้อนอีกด้าม เป็นค้อนหลอมสร้างที่ใช้ในการหลอมสร้าง เรียกว่าค้อนแห่งการสรรค์สร้าง ค้อนทั้งสองด้าม ย่อมไม่อาจใช้ในทางเดียวกันได้
“เอาเถอะ ถึงแม้เจ้าในตอนนี้ยังไม่ถือเป็นผู้หลอมศาสตราวุธอย่างแท้จริง ทว่าเจ้าเองก็คุยโอ้อวดถึงเพียงนี้แล้ว ก็ทำตามที่เห็นสมควรเถอะ” หลงเฉินถอนหายใจออกมาแล้วกล่าว
“เหอะเหอะ ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นแล้วจะติดตามพี่ใหญ่ท่านได้อย่างงั้นหรือ” กัวเหรินหัวเราะฮาฮาพร้อมกับกล่าวขึ้นมา แล้วก็กลับคืนสู่ใบหน้าก่อนหน้า
หลงเฉินได้แต่ส่ายหน้า เมื่อครู่นี้เด็กน้อยผู้นี้จะต้องถูกผีเข้าสิงแน่นอน เขาในตอนนี้ต่างหากที่เป็นตัวตนแท้จริงของเขา
“ใช่แล้ว ข้ายังได้แผ่นบันทึกลึกลับมาชิ้นหนึ่ง เจ้าลองดูหน่อยว่าพอจะช่วยอะไรได้หรือเปล่า ? ”
เขานำแผ่นบันทึกสีทองออกมา แล้วยื่นให้กัวเหรินดูไม่แน่ว่าเด็กน้อยนี้อาจจะสามารถมองอะไรออกก็ได้
เมื่อกัวเหรินหยิบบันทึกแผ่นนั้นไป พลิกไปพลิกมาอยู่รอบหนึ่ง ก็ได้ส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวออกมา “ดูไม่ออกเหมือนกันว่าเป็นอะไร คล้ายกับเป็นอักขระโบราณ แต่ว่าก็ดูจะไม่เหมือน รู้สึกว่าประหลาดเป็นอย่างยิ่ง จนไม่อาจที่จะดูรู้เรื่อง”
เมื่อพบว่ากัวเหรินเองก็ยังดูไม่ออก สิ่งของชิ้นนี้หาได้มีความเกี่ยวข้องกับเครื่องมือหลอมอย่างงั้นหรือ ? ถ้าหากมิใช่ แล้วปรากฏขึ้นที่โลงศพเล็กได้อย่างไรกัน ?
เมื่อไม่ทราบ หลงเฉินจึงได้เก็บมันเอาไว้ก่อน ยังไม่อาจที่จะเก็บไว้ภายในแหวนมิติ
หากในยามปกติมิได้กระตุ้นพลังจิตวิญญาณออกมา มันก็จะเป็นเหมือนดั่งเศษผ้าเศษกระดาษสีทองผืนหนึ่ง หาได้มีแรงคุกคามอะไรไม่
“เจ้ามีความคิดอะไรอย่างงั้นหรือ ? ข้าเตรียมพร้อมที่จะไปหาเด็กน้อยเหล่านั้นเพื่อไปล้างแค้นแล้ว เจ้าพวกลูกเต่ากลุ่มนั้น เกือบที่จะทำให้ข้าตายไปเชียวนะแค้นนี้ยังไงก็ต้องชำระให้ได้” หลงเฉินก็ได้ถามไถ่ขึ้นมา
“พี่ใหญ่ข้าคิดที่จะเก็บตัว” กัวเหรินลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ได้กล่าวออกมา
“เก็บตัว เจ้าจะเก็บตัวฝึกฝนในที่แห่งนี้อย่างงั้นหรือ ? ”หลงเฉินงงงันวูบ
“อือ ใจกลางแดนลับถึงแม้จะมีวาสนาอยู่นับไม่ถ้วน ทว่าข้าเองก็หามีพลังที่มากมายถึงเพียงนั้น หากติดตามอยู่ข้างกายพี่ใหญ่ ไม่เพียงแต่จะช่วยอะไรไม่ได้ ยังกลายเป็นตัวถ่วงต่อท่านอีกด้วย
ขณะนี้ข้ามีแท่นหลอมสร้างกับค้อนช่างฝีมือแล้ว ยังถือครองก้อนอิฐนั้นอีกมากมาย ข้าคิดที่จะทำการหลอมพวกมันขึ้นมา เพื่อที่จะสร้างเป็นเสื้อเกราะที่ข้าใฝ่ฝันมานานซักชุด” กัวเหรินกล่าวขึ้นมา
หลงเฉินคิดไปคิดมาก็เห็นด้วย กัวเหรินในตอนนี้ไม่ได้เดินอยู่ในเส้นทางแห่งวิทยายุทธ์ดั่งเช่นพวกเขาอีกแล้ว ต่อให้ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์การฆ่าฟัน ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรอีกแล้ว
“เช่นนั้นก็ดี สิ่งของที่เจ้าคิดที่จะสร้าง ข้าก็จะมอบวัถตุดิบส่วนหนึ่งของข้าให้แก่เจ้าเอง” หลงเฉินโยนแหวนมิติวงหนึ่งให้แก่กัวเหริน
เมื่อกัวเหรินได้รับแหวนมิติมา ก็ทำการตรวจสอบดู จนอดไม่ได้ที่จะต้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ “พี่ใหญ่ ท่านเอาพวกมันกลับมาด้วยอย่างงั้นหรือ ? ”
เมื่อมองเข้าไปภายในแหวนมิติ ก็มีอาวุธที่สุมกองเป็นดั่งภูเขาขนาดเล็ก มีทั้งลูกธนู มีทั้งหอกยาว มีทั้งค้อนยักษ์ มีทั้งขวานใหญ่ เป็นอาวุธที่อยู่ภายในเส้นทางลับข้างใต้สุสานนั้นเอง
“การเก็บกวาดสนามรบถือเป็นสิ่งที่พึงกระทำ ย่อมไม่อาจที่จะปล่อยให้สูญเปล่าไปได้ อีกทั้งวัสดุยังยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทำให้ทลายมารของข้าพังขึ้นมาได้ เจ้าสมควรที่จะใช้มัน ของชิ้นนี้ข้าก็ไม่ต้องการแล้ว” หลงเฉินกล่าวจบ ก็ได้โบกมือขึ้น
“ตูม”
เสาขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีความยาวกว่าร้อยจั้งต้นหนึ่งได้ล้มลงกับพื้น จนทำให้เกิดการสั่นไหวขึ้นมา เสาที่ต้องใช้ผู้คนหลายคนโอบล้อมถึงกับจมลงเข้าไปในพื้นไปกว่าครึ่งแล้ว
“พี่ใหญ่คงจะมิใช่ว่า ในสมัยก่อนท่านเป็นนักรื้อถอนหรอกนะ ? แม้แต่มันท่านก็ยังนำกลับมา” กัวเหรินมองไปยังเสาขนาดใหญ่ พร้อมกับทอสีหน้าแตกตื่นตกใจ
เขาเองย่อมต้องจดจำได้ เสาต้นนั้นเป็นเสาหลักที่ค้ำอยู่ใจกลางห้องเก็บโลงศพ เขาคิดไม่ถึงว่าแม้แต่สิ่งนี้หลงเฉินก็ยังไม่ปล่อยไป
“อย่าได้กล่าวไร้สาระเลย ภายหลังที่ข้าพบเสาต้นนี้เข้า มันมิใช่หินศิลาเลยด้วยซ้ำ แต่กลับเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับทองชนิดหนึ่ง ที่โลกภายนอกไม่มีเลยด้วยซ้ำ ทีนี้เป็นอย่างไรเจ้าต้องการหรือไม่ ? ” หลงเฉินกล่าว
“ข้านั้นย่อมต้องการอยู่แล้ว แต่ว่าของชิ้นใหญ่ถึงเพียงนี้ ข้าจะเอามาใช้ยังไงละ” กัวเหรินที่กำลังมองไปที่เสาต้นใหญ่ ก็รู้สึกอับจนปัญญาขึ้นมา มีความใหญ่โตเกินไปแทบไม่อาจที่จะยัดเข้าไปในเตาได้เลยด้วยซ้ำ
“ฉับฉับ……”
เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเบาๆ หลังจากนั้นกัวเหรินก็ได้อ้าปากตาค้างขึ้นมา ภายใต้ประกายแสงสีทองที่แวบไปแวบมา เสาต้นใหญ่ยักษ์นั้นก็ได้ถูกตัดเป็นชิ้นเล็กๆจนเหลือความหนาเพียงหนึ่งฉื่อกว่า
และในยามที่เศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยหล่นลงพื้น ก็ได้ถูกแยกชิ้นส่วนเป็นเสี่ยงๆไปในทันที จนกลายเป็นก้อนเล็กๆได้รูปขนาดเท่ากัน อีกทั้งรอยตัดยังเรียบเนียนดุจดั่งผ่าเต้าหู้
“พี่ใหญ่นี่……” กัวเหรินโง่งมขึ้นมาเลยทีเดียว สิ่งของอะไรถึงกับมีความแหลมคมได้ถึงเพียงนี้ แม้ว่าจะมีการลับมีดที่จัดอยู่ในระดับถึงเพียงใด แต่ของเช่นนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
“นี้เป็นความสามารถของบันทึกสีทองงั้นหรือ ? ” หลงเฉินที่มีความเชื่อมั่นในตัวกัวเหรินอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องปิดบังอะไรต่อเขา
“สุดยอดเกินไปแล้ว เมื่อพี่ใหญ่มีมันก็ไม่ต่างอะไรจากพยัคฆ์ติดปีกแล้ว” กัวเหรินทอสีหน้าชื่นชมพร้อมกับกล่าวขึ้นมา
หลงเฉินก็เก็บบันทึกสีทองแผ่นนั้นเอาไว้ แล้วถามขึ้นว่า “เมื่อวันก่อนเจ้าได้ยินหรือไม่ว่าพวกเขานั้นไปยังสถานที่ใด ? ”
ก่อนหน้านี้ได้ยินกัวเหรินกล่าวเอาไว้ว่า เขาได้ลอบจับตามองจ้าวหมิงซานและพวก ในทันทีที่วิ่งออกมาจากหลุมศพ ยังถึงกับได้เห็นสุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้นถูกพวกเขาฆ่าเองกับตา
“ไม่ทราบเหมือนกันว่าพวกเขานั้นไปยังสถานที่ใด พวกเขาหาได้กล่าวออกมา เพียงแต่ทราบว่าพวกเขาไปยังทิศทางใดเท่านั้น” กัวเหรินก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“พี่ใหญ่ พวกเขาใส่ร้ายท่านถึงเพียงนี้ ข้าว่าท่านซ่อนตัวก่อนจะดีกว่า หากไม่เช่นนั้นคนที่ไม่ทราบความจริง จะมาจัดการกับท่านเสียแทน” กัวเหรินกล่าวขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
อีกฝ่ายช่างน่ารังเกียจเหลือเกินที่จงใจใส่ร้ายหลงเฉิน แผนการร้ายของพวกเขาทำให้หลงเฉินถูกฝ่ายธรรมะออกหมายจับแล้ว ไม่ว่าเป็นผู้คนใดก็สามารถที่จะตามจับได้
หากหลงเฉินต่อต้าน ก็ยิ่งเข้าแผนชั่วของศัตรู หลังจากที่หลงเฉินออกจากแดนลับไป ก็ยากที่จะหลุดพ้นจากบทลงโทษของหมู่ตึก ถือได้ว่าเป็นแผนการชั่วที่ไม่มีอะไรอำมหิตไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
“มีอะไรน่าเป็นห่วงกัน เข้ามาต่อกรกับข้า นั่นก็มีแต่ตายเท่านั้น” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเฉยชา
“แต่ผู้คนมากมาย ต่างก็ไม่ทราบถึงความจริง ยังไงพวกเขาก็ติดกับกันแล้ว” กัวเหรินกล่าวออกมา
“จะสนว่าข้าจะทำอะไรไปทำไมกัน ? ขอเพียงต้องการที่จะฆ่าข้า ก็ต้องเข้าใจถึงความรู้สึกของการถูกฆ่า อีกทั้งพวกเขาจะเป็นผู้ติดกับหรือไม่นั้น หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าไม่ ในเมื่อพวกเขามีดวงตาสองดวง ทั้งยังมีสมองกัน หากไม่รู้จักตรวจสอบด้วยตัวเองแต่กลับยังคิดวางแผนชั่ว
เมื่อเข้าไปติดกับของผู้อื่น ก็ต้องถูกผู้คนหลอกใช้ ตัวโง่งมอย่างพวกเขานั้นโง่งมเองข้าก็ไม่สนใจ แต่ถ้าหากมุ่งเป้ามาที่ข้า หรือมุ่งเป้ามาที่คนข้างกายข้า ข้าก็จะฆ่าให้สิ้นซาก
ไม่ว่าพวกเขาจะมีคนมากน้อยแค่ไหน ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งมากเท่าใด นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะฆ่า ฆ่าจนพวกเขาขวัญกระเจิง ฆ่าจนพวกเขาไม่อาจที่จะหยุดหวาดเกรงได้” ภายในแววตาทั้งคู่ของหลงเฉินได้ปรากฏรังสีอำมหิตขึ้นมาอย่างรุนแรง
ภาพที่เกิดขึ้นภายในความฝันได้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้ตัวของเขาเองรู้สึกกดดันขึ้นมา แรงคุกคามต่างๆนาๆที่ถาโถมเข้าใส่ ถ้าหากยังไม่รีบคว้าโอกาสในการเพิ่มพูนพลังฝีมือ เขาและคนข้างกายของเขาก็คงจะต้องสูญสิ้นอย่างแน่นอน
เจ้าพวกตัวโง่งมเหล่านั้นจะเป็นจะตายเขาหาได้สนใจ แต่ถ้าเพื่อคนข้างกายต่อให้ต้องกลายเป็นมารร้ายไร้จิตใจก็ยินยอม
“แต่ว่าพี่ใหญ่ หากท่านทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่าได้กลายเป็นศัตรูกับทั้งใต้หล้าแล้ว” กัวเหรินกล่าวขึ้นมาด้วยความร้อนรน
“วิทยายุทธ์ก็คือเส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับ ในเมื่อได้ก้าวเข้ามาแล้ว ก็ไม่อาจหันกลับไปได้อีก แผนการร้ายของตัวเลวร้ายเหล่านั้น นั่นยังเป็นส่วนน้อยก่อนหน้าที่ยังไม่มีพลังฝีมือที่แน่นอน นั้นก็ไม่อาจที่จะอยู่อย่างเป็นสุขได้
หากถกกันถึงสติปัญญา ข้าหลงเฉินย่อมหาได้อ่อนด้อยไปกว่าผู้ใด แต่ว่าข้าใยต้องไปคิดแทนผู้อื่นไปด้วยกัน ?
เพราะหากข้าพึ่งพาสติปัญญาของข้า แต่กลับไม่ไปพึ่งพาพลังของข้า ก็จะกลายเป็นว่าข้าต้องสูญเสียความกล้าหาญที่จะเดินหน้าต่อไป จนกลายเป็นก่อเกิดจิตใจที่หวาดกลัวจนยากจะถอนตัวได้
เด็กน้อยเหล่านั้นที่วันๆเอาแต่คิดวางแผนร้าย ก็เป็นเพราะว่าพวกเขาหาได้มีความเชื่อมั่นในพลังฝีมือของตนเองไม่ บุคคลเช่นนี้ต่อให้เดินในเส้นทางวิทยายุทธ์ก็ไปได้ไม่ไกลอยู่ดี
เมื่อพวกเขายินดีที่จะใช้แผนการชั่วร้าย ก็ปล่อยให้พวกเขาใช้ไป ข้าไม่ได้มีเวลาที่จะต้องไปสิ้นเปลืองสมองกับพวกเขาเหล่านั้น พวกเขาหาได้คู่ควรที่จะเป็นศัตรูกับข้าไม่” หลงเฉินได้ตบเข้าไปที่บ่าของกัวเหรินแล้วกล่าว
คำกล่าวของหลงเฉินเหมือนกับเป็นการเตือนสติของกัวเหริน หลงเฉินเมื่อได้เดินเข้าสู่วิถีที่ไร้ผู้ต้านเช่นนี้ เขาย่อมจำเป็นที่จะต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
ก็คล้ายกับเขาเช่นกัน ที่มีเป้าหมายคือการสำเร็จสู่บรรพจารย์แห่งการตีเหล็ก เขาก็จำเป็นต้องรักษาความเชื่อมั่นเช่นนี้เอาไว้ หากวันใดที่ความเชื่อมั่นสั่นคลอนก็คงจะทำให้เขาเกิดความสูญเสียขึ้น
“พี่ใหญ่ เมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ข้าก็เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะบอกต่อท่านก็แล้วกัน เจ้าพวกลูกเต่ากลุ่มนั้น กำลังลอบวางแผนออกหมายจับข้าอยู่ เพื่อที่จะช่วงชิงวัตถุดิบที่อยู่กับข้า
ที่น่าชังที่สุดก็คือ พวกเขาคิดว่าพี่ใหญ่ตายไปแล้ว จึงคิดที่จะโยนความผิดทุกอย่างของเราไปให้แก่คนอื่นๆในหมู่ตึกของพวกเรา” กัวเหรินกัดฟันกล่าวขึ้นมา
เมื่อไม่มีคนให้ใส่ร้ายก็จะทำการป้ายความผิดให้แก่คนรอบข้างของเขา นี่จึงทำให้เขารู้สึกเกลียดชังจนคันไม้คันมือขึ้นมา
หลงเฉินพยักหน้าไปมา หากเป็นไปตามลักษณะนิสัยของเด็กน้อยกลุ่มนี้ การที่จะทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ ก็หาใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไร
เรื่องเช่นนี้เรียกได้ว่าทำให้หลงเฉินชินชาไปแล้ว แต่ก็เกิดโมโหในใจ ควรจัดการศิษย์ฝ่ายธรรมะให้รู้สำนึกกันสักครา
แม้แต่สุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมที่เพิ่งจะร่วมมือกับจ้าวหมิงซานได้ไม่นาน ก็ยังต้องสิ้นชีวาวายภายใต้สหายร่วมศึก เช่นนี้ก็กล่าวได้แล้วว่าศิษย์ฝ่ายธรรมะนั้นมีความน่าหวาดกลัวมากถึงเพียงใด
ดังนั้นเกี่ยวกับศิษย์ฝ่ายธรรมะเหล่านี้ ส่วนมากแล้วหลงเฉินได้หาได้ใส่ใจไม่ ยังคงมีวลีที่กล่าวได้ถูกต้องอยู่นั้นก็คือ คนของฝ่ายธรรมะต่างก็มีแต่สร้าง “รอยแผล”ให้แก่กัน
หากอยู่ร่วมกันกับพวกเขา อาจจะมิใช่ว่าเป็นรอยแผล แต่จะกลายเป็นฝังเจ้าให้ตายทั้งเป็นมากกว่า กับคนภายนอกกลับไร้ฝีมือ กับคนกันเองกลับโหดเหี้ยมอำมหิต นี่จึงถือเป็นความถนัดของพวกเขา
หลงเฉินเองก็มองสิ่งที่ฝ่ายธรรมะเป็นอยู่อย่างทะลุปรุโปร่ง เขาจึงไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร ในตอนนี้เขามีเพียงสิ่งเดียวนั่นก็คือต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หากผู้ใดคิดที่จะขวางทางเขา เขาจะสังหารคนผู้นั้น
เมื่อกำชับกัวเหรินอยู่หลายประโยค ทันทีที่เด็กน้อยนี้บอกว่าจะไปสุสานโบราณเพื่อเก็บตัว ทั้งยังคิดจะไปเซ่นไหว้เจ้าของสุสานสักครั้งอีกด้วย
หลงเฉินจึงปล่อยกัวเหรินไป และให้เข้าผ่านยังเส้นทางที่ได้ขุดเอาไว้ หลังจากที่ทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ หลงเฉินก็ได้ขุดดินจากบริเวณโดยรอบมา เพื่อสร้างเป็นถ้ำน้อยๆปกปิดเอาไว้ แล้วจึงค่อยจากไป
ทิศทางที่เขาไป ก็เป็นทิศทางที่จ้าวหมิงซานและพวกไปนั้นเอง ในเมื่อไม่อาจที่จะสังหารพวกเขาภายในห้องเก็บศพได้ ก็ถือเป็นความผิดพลาดของหลงเฉินแล้ว เขาย่อมไม่ปล่อยให้ผิดพลาดเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน