เมื่อหลงเฉินเดินไปตามเส้นทางที่กัวเหรินได้บอกไว้ จนเวลาผ่านไปเจ็ดวันก็ยิ่งพบว่าทางข้างหน้านั้นล้วนแต่เป็นหุบเขาสูงชันทั้งสิ้น โดยตลอดการเดินทางก็ยังได้พบเจอผู้คนมากมาย
ทว่าผู้คนส่วนมากกลับหาใช่ศิษย์ของทางหมู่ตึก จึงทำให้หลงเฉินเข้าใจมากขึ้นว่าหมู่ตึกพลิกสวรรค์นั้นหาได้เป็นฝ่ายธรรมะที่ทั้งใต้หล้ามีเพียงฝ่ายเดียวไม่
ยังมีศิษย์ฝ่ายธรรมะบางกลุ่มที่มีพลังการฝึกปรือที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งแทบจะไม่ต่างอะไรไปจาก ศิษย์ของหมู่ตึกเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังดูสูงส่งกว่าอีกด้วย
ตลอดเส้นทางมานี้เขาได้พบเห็นการฆ่าฟันระหว่างศิษย์ของฝ่ายธรรมะอธรรมกันอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่เพียง แค่การแบ่งแยกระหว่างธรรมะอธรรมเท่านั้น โดยสาเหตุหลักที่ฆ่ากันก็คือเพื่อแย่งชิงสมบัติ
ตัวเขาเองก็คร้านที่จะไปสนใจ ขอเพียงพวกเขาไม่มาหาเรื่องกับตนเอง หลงเฉินก็ทำเป็นเหมือนกับว่ามองไม่เห็นพวกเขาแล้ว
ทว่าต่อให้หลงเฉินไม่ไปหาความยุ่งยากใส่ตัว แต่ความยุ่งยากก็กลับเอาแต่มาเสาะหาเขา หลายวันมานี้ มีอยู่หลายครั้งที่ศิษย์หมู่ตึก ได้ถือธงประกาศว่าจะทำการล้างแทนสำนักหมายทำการฆ่าหลงเฉิน
ผลสุดท้ายหลงเฉินกลับไม่อาจที่จะเคยชินกับพวกเขาได้เลย หากพวกเขากล้าที่จะลงมือต่อหลงเฉิน ทั้งหมดก็มีแต่จะต้องถูกหลงเฉินฆ่าไปจนสิ้น โดยไม่เหลือไมตรีเลยแม้แต่น้อย
นอกเสียจากยอดฝีมือฝ่ายธรรมะแล้ว ศิษย์ของฝ่ายอธรรมที่ได้พบเห็นหลงเฉินเดินทางผู้เดียว ก็อดไม่ได้ที่จะลงมือ จนสุดท้ายก็ได้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น หากมาหนึ่งคนก็ตายหนึ่งคน หรือมาสองคนก็ตายกันทั้งคู่
เข้าสู่วันที่เจ็ดแล้วหลงเฉินกลับยังไม่พบแม้แต่เงาของจ้าวหมิงซานและพวก จึงอดไม่ได้ที่จะเกิดความไม่สบายใจขึ้นมา
ในสถานที่แห่งนี้ก็หาได้รู้จักใครไม่ ต่อให้สืบข่าวของพวกเขาก็คงไม่เกิดผล หากเจ็ดวันแล้วยังไม่อาจะไล่ตามได้ทัน นั่นก็คงจะมีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น คือถูกสลัดจนหลุดไปแล้ว
แม้หลงเฉินจะเกิดโทสะขึ้นมาแต่ก็ไม่อาจที่จะทำอะไรได้ ขอบเขตแดนลับนพเก้าถือได้ว่ากว้างใหญ่ จนเกินไป แต่ละแห่งต่างก็มีข้อแตกต่างกัน เรียกได้ว่าไม่สามารถจะไล่ตามพวกเขาไปได้ทันแล้ว
ภายในความอับจนปัญญาหลงเฉินก็ทำได้เพียงเดินหน้าต่อไป เพื่อดูว่าเขาจะมีโอกาสอะไรอื่นหรือไม่
ขอบเขตแดนลับนพเก้าเรียกได้ว่ากว้างใหญ่อย่างไร้ที่เปรียบ เล่ากันว่ามีวาสนาอยู่นับไม่ถ้วน แต่นั่นก็คงต้องพึ่งโชควาสนาและฝีมือของแต่ละคนกันแล้ว
ยิ่งมุ่งหน้าเดินไปเรื่อยๆ หุบเขาที่อยู่ด้านหน้าก็ยิ่งมีมากขึ้นทั้งยังมีหมอกที่หนาขึ้นเรื่อยๆ
หลงเฉินรีบล้วงเอาแผนที่ออกมา สถานที่แห่งนี้ได้ถูกระบุเอาไว้เรียกกันว่าเป็นหุบเขาเมฆหมอก
บนแผนที่ มีจุดที่ถูกระบุเอาไว้ด้วยสัญลักษณ์ต้นหญ้าเล็กๆ ความหมายก็คือสถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่มีสมบัติตามธรรมชาติอยู่นั่นเอง
“หญ้ายาก็ไม่เลว เข้าไปดูดีกว่า”
หลงเฉินมองดูอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ได้มองไปยังเครื่องหมายที่อยู่บนแผนที่ สถานที่แห่งนี้ มีหุบเขาหลายแห่งคอยตัดผ่านคล้ายดั่งตำหนักหมอก ทั้งยังมีหมอกลอยวนเวียนไปมารอบบริเวณนับหมื่นลี้
ทว่าศิษย์ในแต่ละยุคที่ได้เข้ามาสู่สถานที่แห่งนี้ ต่างก็ทำการค้นหาอยู่ในแต่ละบริเวณภายนอกน้อยคนนักที่จะมีคนกล้าเข้าไปในบริเวณส่วนลึก ที่เล่าลือกันว่าเมื่อเข้าไปยังภายในส่วนลึกแล้ว ย่อมไม่อาจจะมีชีวิตออกมาได้โดยไม่ทราบสาเหตุ
“หยุด ทิ้งสมบัติเอาไว้ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องตายอย่างไร้ที่กลบฝัง” หลงเฉินที่กำลังก้มหน้ามองแผนที่ ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงดังขึ้นมา
คิดจะให้ข้าตายอย่างไร้ที่กลบฝังอย่างงั้นหรือ? ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเป็นผู้ใดที่จองหองได้ถึงเพียงนี้ หลงเฉินเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองไปยังด้านหน้า
เห็นเพียงแต่เงาร่างสองสายกำลังวิ่งเข้ามายังด้านของหลงเฉิน คนที่อยู่ทางด้านหน้านั้นมีเลือดท่วมกาย พลังสภาวะวุ่นวายไม่อยู่นิ่งกำลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ส่วนอีกด้านกลับเป็นศิษย์สายตรงธรรมดาผู้หนึ่ง บนร่างได้สวมเอาไว้ด้วยเครื่องหมายของฝ่ายธรรมะ ทว่ากลับหาใช่ศิษย์หมู่ตึกไม่
คนที่อยู่ทางด้านหลังในมือได้ถือกระบี่ยาวทอใบหน้าที่เย็นชา บรรยากาศบนร่างกายดุจดั่งมหาสมุทรเข้ากรรโชก ถึงกับเป็นผู้อยู่เหนือขอบเขตที่แข็งแกร่งผู้หนึ่งเลยทีเดียว
หลงเฉินจึงค่อยเข้าใจ ที่แท้ผู้อื่นหาได้กำลังเรียกตนเองอยู่ไม่ ระหว่างที่กำลังยืนมองความวุ่นวาย ที่เกิดขึ้นที่เบื้องหน้าจึงเข้าใจได้ว่าหมายที่จะฆ่าคนเพื่อชิงสมบัติ เรื่องเช่นนี้หลงเฉินเองก็ได้พบมาไม่น้อยเช่นกัน
ทว่าที่ทำให้หลงเฉินสงสัยก็คือ เรื่องการเข่นฆ่าฝ่ายเดียวกัน ส่วนมากต่างก็เป็นฝ่ายธรรมะที่กระทำกัน กลับกันทางฝ่ายอธรรมที่โหดเหี้ยมกลับหาได้พบเจอการลงมือต่อพวกเดียวกันเองไม่
“พวกเจ้าหมู่ตึกพลิกสวรรค์ที่ถือได้ว่าเป็นสำนักใหญ่มีชื่อเสียง เหตุใดจึงต้องมาทำให้ศิษย์สำนักเล็กๆอย่างพวกข้าต้องลำบากใจกัน” ศิษย์ที่อยู่ทางด้านหน้าที่กำลังวิ่งหนี ก็ได้ถามขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด
เรียกได้ว่าเขาหมดหวังแล้ว เพิ่งจะได้ครอบครองสมบัติชิ้นหนึ่ง แล้วหมายที่จะออกไปจากหุบเขา กลับคิดไม่ถึงว่าความเคลื่อนไหวของเขากำลังยังมีคนคอยจับตามองอยู่
ทันทีที่ได้ออกจากหุบเขา คนผู้นั้นก็ได้ลงมือเข้าสังหารในทันที เขาเป็นแค่ศิษย์สายตรงธรรมดาผู้หนึ่ง ที่ภายในสำนักของพวกเขาก็ถือว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งแล้ว
แต่การที่ต้องมาเผชิญหน้ากับผู้อยู่เหนือขอบเขตที่แข็งแกร่ง เขาเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้เลยด้วยซ้ำ ในระหว่างที่ผ่านไปหลายกระบวนท่า ก็เกือบจะต้องทิ้งชีวิตไปแล้ว จึงได้แต่เพียงวิ่งหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น
เดิมทีเขายังหวังว่าจะมีวีรชนผู้กล้าที่จะสามารถออกมาคลี่คลายให้ได้ แต่ว่าเหล่าศิษย์ฝ่ายธรรมะเหล่านั้น กลับคล้ายกับกำลังชมเรื่องสนุกอยู่ก็มิปาน เพียงมองไปที่พวกเขาครั้งหนึ่งแล้วก็มุ่งหน้าค้นหาวาสนาของตนเองต่อไป
ขณะนี้เขาได้รับบาดเจ็บไปทั่วทั้งร่างพลังลมปราณก็อยู่ในสภาพที่แปรปรวน อีกทั้งยังได้มาอยู่ในสถานที่เป็นทางตันอีก แม้ว่าเขาเองจะมองไม่เห็นความหวังแต่เขาเองก็ไม่ยินยอมอย่างแน่นอน
ภายใต้ความลำบากลำบน กว่าจะสามารถเข้ามายังแดนลับได้ และเพิ่งจะครอบครองสมบัติล้ำค่า ก็ยังจะถูกช่วงชิงไป ถึงอย่างไรเขาเองก็ต้องนอนตายตาไม่หลับอยู่ดี
“เหอะเหอะ ก็ต้องโทษเจ้าเอง ข้าบอกให้เจ้ามอบสมบัติมาตั้งแต่แรกแต่เจ้ากลับยังขัดขืน นี่มิใช่เจ้าเองหรอกหรือที่มองข้ามความหวังดีที่ข้าได้หยิบยื่นให้
ขณะนี้เมื่อข้าได้มีโทสะขึ้นมาแล้ว ต่อให้เจ้าส่งมอบสมบัติออกมา ก็ยากที่จะทำให้เพลิงโทสะในจิตใจข้าดับลงได้ จงตายเสียเถอะ! ”
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นได้ตะโกนเสียงดังแล้วออกแรงไปที่ฝ่าเท้า กระบี่ยาวในมือดุจลำแสงสายหนึ่ง แหวกม่านอากาศออก แทงเข้าไปยังคนผู้นั้นหนึ่งกระบี่
คนผู้นั้นเรียกได้ว่าสิ้นหวังแล้ว จะหนีก็หนีไม่พ้นจะสู้ก็สู้ไม่ไหว เขาที่ได้ยอมแพ้และคิดที่จะหลบหนี แววตาทั้งคู่ได้แต่เพียงจ้องเขม็งไปยังผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย ต่อให้เขาต้องตาย ก็จะขอจดจำใบหน้าของคนผู้นี้ไว้ ถ้าหากตำนานเล่าขานเป็นจริงขึ้นมา เขาก็จะกลายเป็นปีศาจที่คอย ตามหลอกตามหลอนคนผู้นี้ตลอดไป
“พรวด”
โลหิตสาดกระจายไปทั่วร่างและทั่วใบหน้าของคนผู้นั้น กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นก็ได้ปกคลุมเต็มโพรงจมูกของคนผู้นั้น
คนผู้นั้นที่คิดว่าตนเองได้ตายไปแล้ว ทันใดนั้นเขาก็ได้พบว่าเลือดเหล่านั้นกลับหาใช่ของเขาไม่ แต่เป็นของผู้อยู่เหนือขอบเขตที่แข็งแกร่งผู้นั้นต่างหาก
ดาบยาวเล่มหนึ่งได้แทงมาจากทางด้านหลังของเขา ทะลุผ่านหน้าอกผู้อยู่เหนือขอบเขตที่แข็งแกร่งผู้นั้น ในขณะนี้ที่ได้แต่เพียงก้มลงมองไปยังปลายดาบที่ปักคาหัวใจของตนเอง บนใบหน้าก็ได้เกิดความสงสัยขึ้นมา
“เมื่อพบเห็นสมบัติแม้จะเกิดความอิจฉายังถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่นี่ยังถึงกับจะฆ่าคน เพียงแค่เจ้ากล่าวว่าเจ้ามีโทสะขึ้นมาแล้วยังจะเสแสร้งอีกนะ ผืนฟ้ากว้างใหญ่ก็ยังไม่พอที่จะให้เจ้าเสแสร้งเลย ยังไงเสียหากเจ้ามาเสแสร้งต่อหน้าข้า ก็ควรที่จะรู้เอาไว้ว่าข้าเกลียดชังที่สุดก็คือคนที่เสแสร้งได้เก่ง กว่าข้าไง” เสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้น
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้น หมายที่จะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดหันหน้ากลับไป เพื่อจะดูว่าเป็นผู้ใดที่ลอบลงมือต่อเขา แต่ดาบยาวเล่มนี้กลับแฝงเอาไว้ด้วยพลังที่น่าหวาดกลัว อภัยวะภายในตันทั้งห้ากลวงทั้งหก ของเขาได้ถูกทำลายไปตั้งแต่แรกแล้ว แม้แต่กระดูกก็ยังป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี แม้แต่การเคลื่อนไหว อย่างง่ายดายเช่นนี้เขาก็ยังไม่อาจที่จะทำได้
“พรวดพรวด”
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นก็ได้ล้มลง ชายหนุ่มที่หลบหนีเอาชีวิตรอดจากความตายผู้นี้ จึงสามารถมองเห็นใบหน้าอันสง่างามของชายหนุ่มผู้หนึ่งได้ ที่ขณะนี้กำลังสะบัดคราบเลือดบนดาบออก ด้วยอารมณ์ที่ไม่สนใจแต่อย่างไร
“ขอบคุณมาก ขอบคุณบุญคุณพี่ท่านที่ได้ช่วยชีวิต” คนผู้นั้นดีใจขึ้นมายกใหญ่กล่าวจบก็ได้คุกเข่า ลงกับพื้นบนใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ
“ขอบคุณข้าเร็วถึงเพียงนี้ มันจะทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจที่จะต้องมาชิงสมบัติไปจากตัวเจ้านะ” หลงเฉินก็ได้ยื่นมือออกไปประคองตัวของเขาในทันที ทำให้หัวเข่าของเขาไม่ทันที่จะแตะถึงพื้นได้ เป็นเพราะว่าหลงเฉินมิได้ชื่นชอบวิธีการขอบคุณเช่นนี้
“ถ้าหากพี่หลงคิดที่จะเอาสิ่งของที่อยู่บนตัวผู้น้อง ผู้น้องย่อมน้อมที่จะมอบให้อยู่แล้ว” คนผู้นั้นกล่าวขึ้นมาอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“เอ๊ะ เจ้ารู้จักข้าด้วยอย่างงั้นหรือ? แต่อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย พลังจากต้นตระกูลของเด็กน้อยผู้นี้ได้ออกมาแล้ว เจ้าไปลองดูหน่อยสิว่าเจ้าจะสามารถรับช่วงมาได้หรือไม่” หลงเฉินได้ชี้ไปยังพลังจากต้นตระกูลที่เริ่มจะผนึกรวมกันขึ้นมาของผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้น
พลังจากต้นตระกูลเหล่านั้นตามปกติมักจะคงอยู่ภายในร่างของผู้อยู่เหนือขอบเขต กล่าวกันว่ามีไว้เพื่อเพิ่มพูนพลังทว่าหลงเฉินกลับหาได้เชื่อของเล่นเช่นนี้ไม่
ถ้าหากสามารถที่จะเพิ่มพูนพลังได้จริง จะสลายไปได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ในสายตาของหลงเฉิน ผู้อยู่เหนือขอบเขตเหล่านี้ส่วนมากต่างก็ถือเป็นตัวเลวทราม ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำเรื่องแบบนี้ อย่างเช่นการไล่ฆ่าผู้อ่อนแอ
เดิมทีเรื่องเช่นนี้หลงเฉินหาได้ใส่ใจไม่ ทว่าไม่ทราบเป็นเพราะอะไรเมื่อมองไปยังคนผู้นั้นที่กำลังจะตาย อยู่เบื้องหน้าด้วยสภาพที่โกรธเกรี้ยวไม่ยอมแพ้ มันทำให้หลงเฉินนึกถึงตนเองในยามที่อยู่ภายในเมืองจักรวรรดิ ที่ทั้งเดือดดาลไร้หนทาง จึงอดไม่ได้ที่จะต้องลงมือช่วย
“ข้าทำได้อย่างงั้นหรือ? ”คนผู้นั้นตกใจขึ้นมายกใหญ่ นี่ถือได้ว่าเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่เลยทีเดียว ที่หลงเฉินมอบโอกาสนี้ให้แก่เขา
“เจ้าอย่าได้กล่าววาจาใดอีกเลย ไม่เช่นนั้นของเล่นนั่นคงจะหนีไปแล้ว” หลงเฉินกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉยชา
พลังจากต้นตระกูลแห่งธรรมชาติ ในสายตาหลงเฉินนั้นก็เป็นเพียงแค่ลมที่ผายออกมา หลงเฉินมองไปยังพลังที่ลอยขึ้นมา จากประสบการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผ่านมา ในที่สุดหลงเฉินก็เข้าใจได้แล้วว่าพลังจากต้นตระกูลแห่งธรรมชาตินั้นคือสิ่งใด ถือเป็นสิ่งที่มีสภาวะการตอบสนองขึ้นด้วยตัวของมันเอง
เพราะหลงเฉินรู้สึกได้ว่าตนเองคล้ายดั่งถูกฟ้าดินไม่ยอมรับ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่หากมีความแน่วแน่แห่งฟ้าดินมาเกี่ยวข้อง เขาจึงมีความรู้สึกที่เป็นปรปักษ์เป็นอย่างยิ่ง
“เป็นความกรุณาอย่างล้นพ้น”
คนผู้นั้นสูดลมหายใจเข้า แล้วก็กระตุ้นพลังแห่งจิตวิญญาณกลางหน้าผากขึ้นมา คล้ายดั่งเป็นตาข่ายแหหนึ่ง แล้วทำการรวบพลังจากต้นตระกูลธรรมชาติสายนั้นเข้ามายังหน้าผากของตนเอง
เรื่องการดึงดูดพลังจากต้นตระกูลแห่งธรรมชาตินั้นถือได้ว่าง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง แต่จะสามารถสำเร็จได้หรือไม่ ก็คงต้องดูว่าพลังจากต้นตระกูลแห่งธรรมชาติจะยอมรับในตัวของเขาหรือไม่
“เอ๊ะ! สำเร็จด้วยอย่างงั้นหรือ? ” หลงเฉินงงงันขึ้นมาเล็กน้อย
คนผู้นั้นเมื่อกลืนกินพลังจากต้นตระกูลแห่งธรรมชาติไปแล้ว พลังจากต้นตระกูลแห่งธรรมชาตินั้น กลับหาได้สลายไปจากร่างกายของเขาไม่ เช่นนั้นก็เป็นเครื่องบ่งบอกได้แล้วว่าพลังจากต้นตระกูลได้ผสานรวมเข้ากับตัวของเขาไปแล้ว ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของหลงเฉินเลยทีเดียว
“พี่หลงขอโปรดรับการกราบจากฉู่หยางด้วย” ชายหนุ่มที่เรียกขานตนเองว่าฉู่หยางผู้นั้น เมื่อกล่าวจบก็หมายจะคุกเข่าลง
ฉู่หยางเดิมทีแล้วเป็นเพียงศิษย์ของสำนักเล็กๆแห่งหนึ่ง ทั้งสำนักมีศิษย์สายตรงเพียงแค่สองคนในหลายปีที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีการปรากฏขึ้นของผู้อยู่เหนือขอบเขตเลยด้วยซ้ำ
ขณะนี้เมื่อเขาผนวกเข้ากับพลังจากต้นตระกูลแห่งธรรมชาติได้สำเร็จ ย่อมต้องถือได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจของทั้งสำนัก เป็นดั่งเกียรติยศและความภาคภูมิใจจนไม่อาจที่จะเอื้อนเอ่ยเป็นวาจาได้
“เหว่ยเหว่ยเหว่ย อย่าได้มาไม้นี้เลยนะ ข้ารังเกียจที่สุดก็เป็นพวกชอบเลียแข้งเลียขานี้แหล่ะ” หลงเฉินยื่นมือออกเพื่อสร้างพลังสภาวะแรงดันขึ้นมา จนคนผู้นั้นไม่อาจที่จะขยับเขยื้อนได้
“แล้วเจ้าทราบว่าข้าเป็นผู้ใดได้อย่างไรกัน?” หลงเฉินต้องการที่จะทราบว่ารู้จักเขาได้อย่างไรมากกว่า
“ฉู่หยางเคยได้ดูหยกบันทึกภาพของพี่หลงมาก่อน” ฉู่หยางกล่าวจบ ก็ได้กล่าวต่อทันที
“แต่ฉู่หยางเชื่อว่า หยกบันทึกภาพนั้นจะต้องมีคนจงใจใส่ร้ายพี่หลงแน่ เพราะไร้ซึ่งต้นสายปลายเหตุ นี่จึงจะต้องเป็นแผนการร้ายที่ถูกจัดฉากขึ้นมาอย่างแน่นอน”
ผลสุดท้ายข้ากลับทำพลาดอย่างมหันต์แล้ว ข้าดูแคลนความสามารถในการใส่สีตีไข่ของเจ้าพวกตัวบัดซบเกินไปแล้ว ขณะนี้ภาพที่บันทึกเอาไว้ไม่แต่เพียงศิษย์หมู่ตึกที่ต่างก็ทราบกันแล้ว แม้แต่ศิษย์ฝ่ายธรรมะอื่นๆต่างก็ทราบกันแล้วเช่นกัน
นี่ก็เป็นเครื่องบ่งบอกได้แล้วว่าคิดที่จะบีบคั้นข้า ยอดมาก ยอดเยี่ยมมาก ข้าจะต้องตรวจสอบให้ได้ ว่าที่แท้แล้วเป็นตัวบัดซบใดที่กำลังเพ่งเล็งหมายจัดการกับข้ากันแน่
“พี่หลง ท่านอย่าได้มีโทสะไป ยังไงผู้บริสุทธิ์ก็ยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์ ย่อมไม่จำเป็นที่จะต้องเกรงกลัว ผลกระทบที่จะเกิด” เมื่อพบว่าหลงเฉินได้ทอสีหน้าดำคล้ำ ฉู่หยางก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวชักจูงขึ้นมา
“ข้าเองก็คร้านที่จะไปสนใจเจ้าพวกโง่เง่ากลุ่มนี้แล้ว เจ้ามาจากที่ใดลองบอกถึงสถานการณ์ว่าเป็นเช่นไรมาหน่อย” หลงเฉินถามขึ้น
“พี่หลงนี่เป็นน้ำใจเล็กน้อยของผู้น้องไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ขอท่านได้โปรดรับไว้ด้วยเถอะ”
ฉู่หยางหาได้ตอบคำถามของหลงเฉิน เพียงแต่ในมือก็ได้มีสิ่งของบางอย่างยื่นส่งให้แก่หลงเฉินอย่างนอบน้อม