“หินปราณ? ไม่สิ มีจุดดำอยู่ ภายในแฝงเอาไว้ด้วยพลังที่แข็งแกร่งอย่างมหาศาล”
เมื่อหลงเฉินรับสิ่งของของคนผู้นั้นเข้ามาก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัยขึ้น สิ่งของนั้นมีสภาพที่แทบจะไม่ต่างไปจากโลกภายนอกเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าหาได้มีความกระจ่างชัดและมีจุดด่างดำประปรายอยู่
ทั้งยังมีขนาดเท่ากับกำปั้นเด็กทารก ที่ภายในนั้นแฝงเอาไว้ด้วยพลังลมปราณที่แข็งกล้าไหลเวียนอยู่ ทว่าสภาวะของพลังที่ไหลเวียนเมื่อเทียบกับหินปราณปกติถือได้ว่าแตกต่างกันคนละชั้นเลยทีเดียว
“ไม่ใช่แล้ว นี่มันคือหินปราณวายุ”
หลงเฉินเกิดอาการตกใจขึ้นมาเล็กน้อย นี่ถือได้ว่าเป็นหินปราณวายุที่หาได้ยากเป็นอย่างยิ่งชิ้นหนึ่ง ภายในแฝงเอาไว้ด้วยพลังแห่งธาตุวายุที่แข็งแกร่ง ทั้งยังซ่อนเร้นเอาไว้ด้วยธาตุวายุแห่งความลี้ลับอย่างถึงที่สุด
ยอดฝีมือธาตุวายุผู้หนึ่งสามารถที่จะดูดซับพลังอันมหาศาลจากภายใน เพื่อมาหล่อเลี้ยงจนกลายเป็นพลังวายุที่แท้จริงขึ้นมาได้ ในเชิงวิทยายุทธ์ถือได้ว่ามีส่วนช่วยเหลือได้เป็นอย่างมาก
“มิผิด นั่นเป็นหินปราณวายุ ผู้น้องที่ได้ไปยังบริเวณที่เป็นต้นลม และได้มันมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าเป็นของล้ำค่า ผู้น้องก็นึกขึ้นได้ในทันที ผลสุดท้าย……” ฉู่หยางก็ได้ทอสีหน้าชิงชังมองไป ยังซากศพของผู้อยู่เหนือขอบเขต
เขาถึงกับระแวดระวังถึงเพียงนี้ยังถูกจับพิรุธได้จนถูกไล่ล่ามา ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นี้แทบไม่ทราบเลยว่าตนเองจะได้รับสิ่งใดด้วยซ้ำ เพียงแต่ใช้ความรู้สึกของตนเองฆ่าคนเพื่อปล้นชิงเท่านั้น ถือได้ว่าน่าชังมากจนเกินไปแล้ว
ถ้าหากมิได้พบกับหลงเฉิน เขาก็คงจะต้องกลายเป็นอาหารสัตว์มายาไปตั้งแต่แรกแล้ว ขณะนี้ไม่เพียงแต่รอดพ้นจากวิกฤติ กลับยังได้รับโชคลาภวาสนาจนสำเร็จเป็นผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้หนึ่งไป ความรู้สึกที่เขามีต่อหลงเฉิน จึงอยู่ในระดับที่ยากจะอธิบายออกมาได้แล้ว จึงได้นำสมบัติที่อยู่กับตัวมอบให้แก่หลงเฉิน
“พี่หลง ท่านต้องรับเอาไว้ด้วย ไม่เช่นนั้นผู้น้องคงจะไม่อาจที่จะตอบแทนบุญคุณได้อย่างแน่นอน” ฉู่หยางกล่าวออกมาด้วยความจริงใจ
แม้หินปราณวายุชิ้นนี้จะล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง แต่ต่อให้ล้ำค่ากว่านี้ก็ยังไม่อาจที่จะล้ำค่าไปกว่าชีวิตได้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังได้สำเร็จเป็นผู้อยู่เหนือขอบเขต บุญคุณในครั้งนี้จึงถือได้ว่ามีมากมายจนเกินไป
“เป็นสิ่งของที่ไม่เลวเลย ทว่าข้ากลับไม่ต้องการ”
หลงเฉินกล่าวจบก็พบว่าฉู่หยางได้มีสีหน้าเปลี่ยนไป จากนั้นก็ได้โบกมือไปมาแล้วกล่าว “สิ่งของเช่นนี้หาได้มีประโยชน์ต่อข้าไม่ ข้าเองก็มองออกว่าพลังภายในของเจ้าจัดอยู่ในธาตุวายุ ไม่เช่นนั้นเจ้าก็คงไม่อาจที่จะทนมาได้นานถึงเพียงนี้หรอก แล้วก็คงถูกไล่ตามไปตั้งแต่แรกแล้ว”
“พี่หลง……ข้า……”
หลงเฉินตัดบท ด้วยการกล่าวขึ้นว่า “พอแล้ว คนอย่างข้าชอบอยู่อย่างสันโดษมากกว่า มิใช่เป็นเพราะว่าข้านั้นมากน้ำใจ แต่ข้าไม่ชอบพวกที่ทำตัวเสแสร้งปากอย่างใจอย่างก็เท่านั้น
เอาละสถานการณ์ที่ด้านในข้าเองก็พอจะทราบมาบ้างแล้ว สิ่งของของเจ้าเจ้าก็เก็บเอาไว้เถอะ แล้วก็รีบพัฒนาพลังฝีมือ ในที่แห่งนี้เจ้าจะมีแต่ตายได้ทุกเวลา”
กล่าวจบ ก็ได้ยัดหินปราณวายุกลับไปในมือของฉู่หยางหันกายแล้วจากไป เลือนหายไปจากเบื้องหน้าของฉู่หยาง
ฉู่หยางกุมหินปราณวายุเอาไว้จนแน่น ภายในแววตาทั้งคู่ก็ได้เปี่ยมไปด้วยความนับถือเลื่อมใส ปณิธานและความกล้าหาญเช่นนี้ทำให้ผู้คนต้องเกิดความเลื่อมใสได้เลยจริงๆ
เมื่อพบว่าหลงเฉินเลือนรางหายไป ฉู่หยางเองก็ไม่กล้าที่จะเสียเวลาอีกต่อไป จึงได้เร่งรีบจากไป เขายังจำเป็นที่จะต้องหาสถานที่เพื่อซ่อนตัว เพื่อให้พลังต้นตระกูลเกิดความเสถียรกับร่างกายของตนเอง แล้วก็ไปหลอมหินปราณวายุชิ้นนั้น
หลังจากที่ได้แยกจากฉู่หยาง นับตั้งแต่ที่หลงเฉินได้เข้าสู่ขอบเขตแดนลับนพเก้า ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เกิดความอบอุ่นใจขึ้นมา
มิใช่ฝ่ายธรรมะทั้งหมดที่เลวร้ายเช่นนั้น แต่ที่พบโดยส่วนมากก็เป็นตัวโง่งมที่ทำให้น้ำเน่าไปทั้งบ่อ
และตัวโง่งมเหล่านี้กลับเป็นพวก“อัจริยะ”ของสำนักใหญ่แทบจะทั้งสิ้น หรือจะกลายเป็นว่าสำนักใหญ่ต่างก็เป็นแหล่งรวมของตัวโง่งมกัน?
“ชนชั้นสุนัขที่ต่างก็มักอวดอ้างศีลธรรมมากมาย แต่ความจริงกลับเป็นการเสแสร้งด้วยกันทั้งสิ้น”
หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา เหล่าเด็กน้อยผู้สูงส่งแต่ละคนต่างก็เอาแต่เชิดจมูกมองผู้อื่นด้วยจิตใจที่มีแต่ความเลวร้ายอยู่ ในทางกลับกันพวกที่มีชาติกำเนิดอย่างลำบากกลับยิ่งถูกปลูกฝังศีลธรรมอันดีมากกว่า
หลงเฉินเชื่อว่าถ้าหากที่เขาช่วยเหลือเป็นศิษย์สำนักใหญ่ ศิษย์เหล่านั้นย่อมไม่คิดสำนึก ในทางกลับกันกลับจะยิ่งคิดว่าตนเองนั้นมีสถานะภาพที่ด้อยกว่า การช่วยเหลือพวกเขาย่อมถือเป็นเรื่องที่พึงกระทำอย่างมาก ภายหลังค่อยให้สินน้ำใจเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว
อีกทั้งเมื่อช่วยไปแล้วครั้งหนึ่งก็จะต้องมีครั้งที่สอง หากครั้งที่สองช่วยเหลือก็จะต้องกลายเป็นคนเลว ทั้งยังถูกเกลียดชังอีกด้วย
“เป็นเจ้า หลงเฉิน? ”
หลงเฉินที่เดินทางมาได้กว่าสองร้อยลี้ ทันใดนั้นก็ได้เกิดความเคลื่อนไหวจากผู้คนทางด้านหน้าขึ้นมา ต่างก็มุ่งหน้าไปทางด้านหน้าอย่างเชื่องช้า เขาที่เพิ่งจะไปถึงก็มีศิษย์หมู่ตึกหลายคนจำหลงเฉินได้
“เขาก็คือหลงเฉินงั้นหรือ? ”
“คนที่ทางหมู่ตึกที่หนึ่ง ได้ออกหมายจับนักโทษอย่างงั้นหรือ? ”
“หน้าตาก็ใช่ว่าจะเลวร้ายดุจสุนัขไม่ คิดไม่ถึงว่าจะถึงกับเป็นปีศาจราคะผู้หนึ่ง”
ผู้คนไม่น้อยต่างก็สำรวจอย่างระมัดระวัง มองไปยังสถานที่ห่างไกล จนอดไม่ได้ที่จะกำชับขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
บุคคลที่ขวางหลงเฉินทั้งสองคนนั้นเป็นถึงผู้อยู่เหนือขอบเขตที่แข็งแกร่ง ทั้งสองคนสวมเอาไว้ด้วยชุดที่มีสัญลักษณ์ของหมู่ตึก พร้อมทั้งสลักไว้ด้วยหมายเลขแปดสิบเจ็ดกับเก้าสิบสอง ซึ่งเป็นการระบุที่มาของพวกเขาแล้ว
“หลงเฉิน เจ้าโจรราคะยังกล้าที่จะมาเดินเพ่นพ่านในสถานที่แห่งนี้อีกหรือ ยังไม่รีบไปรับโทษจากความผิดที่ก่อไว้อีก” หนึ่งในผู้อยู่เหนือขอบเขตได้กล่าวขึ้นมาด้วยโทสะ
แท้จริงแล้วพวกเขาหาได้มีความสัมพันธ์อะไรกับหมู่ตึกที่หนึ่งไม่ ทว่าการเป็นถึงบุคคลของหมู่ตึกในร้อยอันดับแรก เมื่อต้องอยู่กับหมู่ตึกที่อยู่ในอันดับรั้งท้ายจึงได้เกิดความรู้สึกที่เหนือกว่า
พวกเขาเองก็เคยพบเห็นภาพเหมือนของหลงเฉินกันมาก่อน ภาพเหมือนเพียงแต่บันทึกสิ่งที่หลงเฉินได้ทำการสังหารสตรีผู้นั้นเอาไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงหาได้ทราบถึงพลังฝีมือที่แท้จริงของหลงเฉินไม่
ดังนั้นเมื่อพบเห็นหลงเฉิน เขาสองคนที่ได้กระตุ้นจิตใจที่ผดุงคุณธรรม หมายที่จะทำการชำระแทนสวรรค์ ก็เดินวางมาดเข้ามาที่เบื้องหน้าหลงเฉิน
“โจรราคะที่น่าตาย”
“เพียะ”
ผู้อยู่เหนือขอบเขตที่แสดงท่าทีเหมือนอยู่เหนือกว่า ก็ได้ถูกหลงเฉินตบจนลอยออกไป ทันทีที่ร่างกายได้ลอยขึ้นโดยพลัน ยังเกิดความเคลื่อนไหวที่กระจายไปทั่ว นั่นก็คือฟันที่หลุดลอยออกไปทั่วผืนฟ้า คล้ายกับประติมากรรมภาพวาดที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง
หลงเฉินที่มีความสามารถในการตบกรอกหูเป็นที่หนึ่ง เรียกได้ว่าอยู่ในชั้นปรมาจารย์จนก่อตั้งสำนักได้เลยทีเดียว อย่าว่าแต่ผู้ที่ไม่มีการป้องกัน ต่อให้มีการป้องกันเอาไว้ก็ยากที่จะหลบได้พ้น
แม้แต่ในที่ห่างไกลบรรดาศิษย์ที่กำลังทำการค้นหากันอย่างระมัดระวัง ต่างก็ทอดวงตาโง่งมขึ้นมา ผู้อยู่เหนือขอบเขตที่แข็งแกร่งผู้หนึ่งกลับต้องถูกตบเข้าไปฉาดใหญ่เยี่ยงนี้เลยอย่างงั้นหรือ?
ผู้อยู่เหนือขอบเขตที่เหลืออยู่อีกคนในยามนี้จึงค่อยมีสติกลับคืนมา กระบี่ยาวในมือก็ได้ถูกชักออกจากฝัก แต่ว่าชักออกมาได้เพียงครึ่งก็ถูกหลงเฉินถีบเข้าไปที่ด้ามของกระบี่เข้าอย่างแรงจนกลับเข้าไปภายในฝักอีกครั้ง
“ผัวะ”
คนผู้นั้นที่ยังไม่ทันจะชักกระบี่ยาวออกมา ก็เกิดอาการตกใจขึ้นมา ยังไม่ทันที่จะรอให้เขานึกว่าควรจะทำเยี่ยงไรต่อไป มือข้างหนึ่งก็ได้ตบเข้ามาที่ใบหน้าอันขาวผ่องของเขาเข้าแล้ว
ภายใต้เสียงทุ้มที่ดังขึ้น เขาก็ได้ลอยกระเด็นออกไปเป็นเส้นโค้ง เฉกเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ แม้แต่การหมุนคว้างอยู่ท่ามกลางอากาศกี่ตลบก็ยังเป็นเช่นเดียวกัน
ทำให้ทุกคนเกิดอาการงุนงงขึ้นมา นั้นเป็นถึงยอดฝีมือผู้อยู่เหนือขอบเขตที่แข็งแกร่งถึงสองคนเลยนะ แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าหลงเฉิน ก็แทบไม่ต่างอะไรไปจากเด็กน้อยที่ถูกลงโทษเนื่องจากไม่เชื่อฟังก็มิปาน นั้นแทบจะมิใช่การต่อสู้เลยด้วยซ้ำ
ไม่เพียงแต่คนที่แอบดูอยู่ไกลๆที่เกิดอาการงุนงง แม้แต่ผู้อยู่เหนือขอบเขตทั้งสองคนนั้นก็งุนงงเช่นเดียวกัน พวกเขาถึงกับไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ ก็ถูกตบจนกระเด็นไปแล้ว ในยามที่กำลังลุกขึ้นจากพื้นสมองก็เหมือนกับมึนงงขึ้นมา รู้สึกเหมือนจะสลบไปเลยทีเดียว
หลังจากที่ได้สูดลมหายใจเข้าออกหลายครา สมองของพวกเขาจึงค่อยฟื้นคืนกลับมาให้กระจ่างได้ เมื่อมองไปยังศิษย์ฝ่ายธรรมะที่เกิดอาการแตกตื่นเหล่านั้น กับใบหน้าที่ยิ้มแย้มของหลงเฉิน ก็ทำให้มีโทสะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
“หลงเฉิน ข้าจะฆ่าเจ้า”
ในเวลาเดียวกันทั้งสองคนตะโกนขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว แล้วก็พุ่งเข้าใส่หลงเฉิน กระบี่ยาวในมือก็ได้ร่ายระบำขึ้นมากระแสกระบี่ดุจระลอกคลื่น จนเกิดเป็นคลื่นกระบี่ซัดเข้าใส่หลงเฉิน
เมื่อได้พบเห็นผู้อยู่เหนือขอบเขตที่แข็งแกร่งทั้งสองคนได้ใช้พลังทั้งหมดออกมา วิชากระบี่ของทั้งสอง คนถือได้ว่าสูงล้ำเป็นอย่างยิ่ง เกิดเป็นพลังที่ยาวดุจท้องธาราจนทำให้ทุกผู้คนมีสีหน้าเปลี่ยนไป
ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาถูกหลงเฉินซัดจนกระเด็นออกไป ก็ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ดีขึ้นมาอยู่แล้ว ยังไงทั้งสองคนก็ถือได้ว่าเป็นผู้ที่อยู่ในระดับผู้อยู่เหนือขอบเขตที่เหล่าศิษย์สายตรงก็ยังต้องสยบกัน
เพราะศิษย์ภายในหมู่ตึก อาภรณ์ของผู้อยู่เหนือขอบเขตจะมีสัญลักษณ์ของพลังจากต้นตระกูล มากกว่าศิษย์สายตรงโดยทั่วไป เพื่อเป็นการบ่งบอกถึงสถานะภาพที่แตกต่างกันระหว่างพวกเขา ทั้งยังถือได้ว่าเป็นพลังที่เป็นที่ประจักษ์ชนิดหนึ่ง
ทว่ากลับมีคนส่วนหนึ่งหาได้เล่นตามที่มีการตกลงเอาไว้ เดิมทีที่มีสถานะภาพเป็นเพียงศิษย์สายตรง แต่กลับไปขอหยิบยืมชุดของผู้อยู่เหนือขอบเขตมาชุดหนึ่งเพื่อนำไปใช้ในทางที่มิชอบลวงหลอกผู้คน ในชั่วเวลานับตั้งแต่แรกพวกเขาต่างก็คิดว่าเป็นดั่งคนพวกนั้น
แต่ขณะนี้เมื่อพวกเขาได้ลงมือ ทุกผู้คนต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ด้วยความแข็งแกร่งทั้งสองคน พลังการโจมตีเช่นนั้นต่อให้เป็นผู้อยู่เหนือขอบเขตเองก็ยังยากที่จะรับเอาไว้ได้
“ผัวะผัวะ”
“อ้าอ้า”
ทันทีที่มีเสียงทึบสองสายดังขึ้น ก็ได้มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมา เงากระบี่ที่ปกคลุมไปทั่วทั้งผืนฟ้าก็ได้สลายหายไป ร่างทั้งสองก็ได้ลอยกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง
“สวรรค์”
เมื่อทั้งสองคนได้ลอยไปกระแทกชนเข้ากับพื้นดินที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง เหล่าผู้คนที่กำลังมองไปที่ใบหน้าของพวกเขา ก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างขึ้นมา
ภายในกึ่งกลางใบหน้าของทั้งสองคนได้ปรากฏรอยประทับประหลาดขึ้นมา จมูกถึงกับยุบบี้แบนเข้าไปข้างใน ทั้งใบหน้าราวกับกลายเป็นราบเรียบขึ้นมาพร้อมทั้งมีโลหิตไหลซึม
เหล่าผู้คนต่างก็หันกลับไปมองหลงเฉินในทันที เพียงพบเห็นก้อนอิฐที่อยู่ในมือของหลงเฉิน ก็ได้แต่เพียงส่ายหน้าเบาๆ
เมื่อได้มองไปที่ก้อนอิฐสีดำทมิฬก้อนนั้น แล้วหันกลับไปมองดูรอยประทับบนใบหน้าของทั้งสอง ทำให้ผู้คนเข้าใจขึ้นมาในทันที ว่าพวกเขานั้นได้ถูกอาวุธประหลาดเล่นงานเข้าแล้ว
“นึกว่าใบหน้าของทุกคนจะใหญ่โตดั่งเช่นใบหน้าของจ้าวหมิงซาน ที่แท้คนปกตินั้นไม่อาจที่จะถูก ประทับไว้ได้ทั้งชิ้นสินะ”
คำพูดของหลงเฉินแม้จะดูปลอดโปร่ง แต่ยอดฝีมือทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ต่างก็ได้ยินกันอย่างชัดถ้อยชัดคำ
แต่ว่ายังมีศิษย์หมู่ตึกอีกหลายคนที่ดูอยู่ในที่ไกลๆ เพียงครู่เดียวก็ได้สีหน้าเปลี่ยนไป จ้าวหมิงซานนั้นเป็นถึงบุคคลระดับไหน? เขาเป็นถึงสุดยอดฝีมือแห่งยุค ก็ยังเคยโดนตบด้วยอย่างงั้นหรือ?
หลงเฉินผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นสัตว์ประหลาดหรือไงกัน? แม้แต่บุคคลระดับสูงก็ยังต้องหวาดกลัว
“หลงเฉิน เจ้าตัวบัดซบ……”
ทั้งสองคนที่ถูกฟาดจนเลือดช้ำในอยู่บนใบหน้า แต่ยังคงประคองสติเอาไว้ได้ การที่ต้องมาอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ ถือได้ว่าเป็นความอับอายที่ยิ่งกว่าการฆ่าพวกเขาให้ตายเสียอีก
“ยังจะด่าอีกงั้นหรือ?”
หลงเฉินหลงเฉินส่งเสียงขึ้นมาอย่างเย็นชา ก้าวออกไปก้าวหนึ่ง แล้วก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างของทั้งสองคน ก้อนอิฐในมือคล้ายกับพายุหมุนก็มิปานได้ฟาดเข้าไปยังทั้งสองคนอีกครั้ง
“ผัวะผัวะ……”
ขณะที่เสียงกรีดร้องที่กำลังดังขึ้นโลหิตก็ได้กระจายออกมาไม่หยุด บางครั้งก็มีเสียงของกระดูกหักดัง ขึ้นมาจนทำให้ผู้คนที่มองดูอยู่ไกลๆรู้สึกตัวสั่นขึ้นมาตามๆกัน จนถึงขั้นหนาวเหน็บเข้าไปถึงกระดูก
“ด่าข้าเป็นโจรราคะ”
“ผัวะผัวะ”
“ผู้ใดเป็นโจรราคะ? ”
“ผัวะผัวะ”
“พวกเจ้าทั้งหมดต่างก็เป็นโจรราคะ”
“ผัวะผัวะ”
ทุกคำด่าทอของหลงเฉิน จะมีก้อนอิฐประทับลงไปสองครั้งอย่างรุนแรงไม่มีการลำเอียง หนึ่งคนก็โดนกันไปคนละที ยุติธรรมเที่ยงธรรมเปิดเผย
ทว่าฉากนี้ถือได้ว่าโชกเลือดเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองคนที่ถูกตบจนโลหิตชโลมกาย แม้แต่ผิวหนังก็ยังต้องลอกออกมา ทั้งสองคนต่างก็กรีดร้องกันออกมาคล้ายกับสุกรถูกเชือด
“อย่าได้ทุบตีอีกเลย หากทุบตีอีกจะถึงขั้นต้องตายกันแน่แล้ว ท่านปู่หลงเฉินพวกข้าผิดไปแล้ว ยกโทษให้พวกเราเถอะ……”
ทั้งสองคนที่เผชิญหน้ากับหลงเฉินอยู่ แทบจะไม่มีพลังจะต่อต้านได้เลยทำให้พวกเขาบ้าคลั่งขึ้นมา พวกเขาต่างก็ไม่ทราบว่าตนเองพ่ายแพ้ไปตั้งแต่เมื่อไร
ก้อนอิฐของหลงเฉินนั้นถือได้ว่าโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง หากว่าทุบตีเช่นนี้ต่อไปพวกเขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย มีแต่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้น ในยามปกติที่มักจะทำตัวอยู่เหนือผู้อื่น จนแทบจะไม่มีความอ่อนแออยู่ภายในจิตใจของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
“ผัวะผัวะ”
“ข้าจะไม่ให้เจ้ากล่าววาจาเหลวไหล ตัวข้านั้นทำบาปอะไรมา ถึงได้มีลูกหลานที่โง่เง่าอย่างพวกเจ้าได้”
ทั้งสองคนก็ได้ถูกฟาดเข้าไปอีกคนละทีจึงค่อยวางมือ เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนถูกทุบตีจนยอมสยบแล้ว ก็ได้ถามพวกเขาอยู่หลายประโยค หมายที่จะดูว่าเป็นผู้ใดที่เป็นคนชักใยพวกเขาอยู่
ทว่าทำให้หลงเฉินต้องผิดหวัง ตัวโง่งมทั้งสองคนนี้ความจริงแล้วกลับคิดที่จะเอาหน้าเท่านั้น หาได้มีคนบงการมาไม่
“ฮาฮาฮา ทางด้านของฝ่ายธรรมะก็ช่างคึกคักกันเสียจริง สุนัขกัดกันยังดุเดือดได้ถึงเพียงนี้”
ทันใดนั้นคนกลุ่มหนึ่งที่โผล่มาจากทางด้านหน้าของหุบเขา ก็ได้ทำให้ทุกคนเกิดจ้องตาเขม็งขึ้นมา