เมื่อหลงเฉินเดินทางมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ ก็พบว่าหุบเขาที่เบื้องหน้านั้นได้มีเส้นทางตัดผ่านกัน ลักษณะคล้ายกับเขาวงกต
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือยิ่งเดินทางเข้าใกล้ก็ยิ่งมีหมอกปกคลุมหนามากขึ้น จนความสามารถในการมองเห็นมีไม่ถึงร้อยจั้งเลยด้วยซ้ำ และการผ่านสถานที่เช่นนี้ก็ย่อมทำให้หลงทางได้ง่ายเป็นอย่างยิ่ง
หลงเฉินพบว่าในระหว่างที่มุ่งหน้าเข้าไป ผู้คนก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆทว่าพลังฝึกปรือของพวกเขายิ่งลึกก็ยิ่งสูงขึ้น ศิษย์สายตรงโดยส่วนมากแทบจะไม่มีแม้แต่ร่องรอยให้ได้เห็นเลย
เขายังพอที่จะสามารถมองเห็นเงาของสุดยอดฝีมือหลายคนที่อยู่ห่างไกลออกไป ทว่าสุดยอดฝีมือเหล่านั้นหาได้เป็นศิษย์หมู่ตึกไม่ พวกเขาเพียงแต่มองหลงเฉินคราหนึ่ง ภายในแววตาก็ได้ปรากฏความสงสัยขึ้นมา คงเป็นเพราะเกิดความประหลาดใจต่อความกล้าและพลังของหลงเฉิน ที่เป็นเพียงผู้อยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนต้น แต่กลับกล้าที่จะเข้ามายังส่วนลึกของหุบเขาแห่งนี้แล้ว
ทว่าคนเหล่านี้กลับจำหลงเฉินไม่ได้ ยังคงทำการค้นหาทางด้านหน้าต่อไปอย่างระมัดระวัง
เมื่อหลงเฉินได้พบเห็นสุดยอดฝีมือเหล่านั้น ที่หาได้สนใจในตัวเขาไม่ เขาจึงไม่คิดที่จะเข้าไปรบกวน และมุ่งหน้าเดินต่อไป
ในระหว่างที่หลงเฉินเข้าไปยังส่วนลึก หมอกที่อยู่ภายในก็ยิ่งหนาแน่นขึ้น เมื่อมุ่งหน้าเดินไปข้างหน้า ก็ทำให้ยากที่จะจำแนกทิศทางได้อย่างแท้จริง
เพิ่งจะเข้าไปภายในหุบเขาได้ไม่ถึงสามร้อยลี้ ก็มีบางส่วนที่ไม่กล้าพอจะเข้าไปลึกกว่านี้แล้ว เพราะถ้าหากเกิดหลงทางขึ้นมา ก็ไม่จำเป็นต้องนึกถึงสิ่งอื่นใดอีกแล้ว
ศิษย์ที่ได้เข้าสู่แดนลับ หากเมื่อถึงเวลาก่อนที่แดนลับจะปิดลงจะต้องไปให้ถึงสถานที่ ที่ได้นัดหมายเอาไว้ ซึ่งถือเป็นจุดรวมพล เพราะมีแต่เพียงสถานที่แห่งนั้นที่พวกเขาจะสามารถถูกส่งกลับออกไปยังโลกภายนอกได้
ถ้าหากไปไม่ทันขึ้นมาก็ต้องอยู่ภายในแดนลับต่อไป รอคอยให้ผ่านไปครบอีกร้อยปีให้หลัง จนเมื่อแดนลับเปิดขึ้นมาอีกครั้ง จึงจะมีโอกาสที่จะกลับออกไปได้
ทว่านับตั้งแต่ขอบเขตแดนลับนพเก้าได้เปิดขึ้น เหล่ายอดฝีมือที่มิได้ออกไปจากแดนลับ ต่างก็ยังไม่เคยรอคอยจนถึงการเปิดครั้งต่อไปได้ ต่างก็ได้พากันหายสาบสูญไปในแดนลับ ส่วนสาเหตุใดนั้นก็ไม่มีผู้ใดทราบ
ยังไงเสียจากประสบการณ์ของผู้อาวุโสบางส่วนก็คือ หากมิได้มารวมพลในสถานที่นัดหมายเอาไว้ เช่นนั้นก็คงจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
“หญ้าเก้าจิต”
หลงเฉินที่กำลังคิดว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ ทันใดนั้นก็ได้พบว่าที่กำแพงหุบเขาทางด้านหน้า ได้มีต้นหญ้าประหลาดงอกขึ้นมาต้นหนึ่ง
ต้นหญ้านั้นมีความยาวถึงแปดชุ่น มีใบด้วยกันทั้งหมดเก้าใบที่ดูแล้วคล้ายกับดอกไม้ แต่ทว่ากลับมีลักษณะเป็นสีเขียวขจี หาได้มีสีสันสดใสเฉกเช่นดอกไม้ไม่
หญ้าเก้าจิต เป็นสิ่งที่ใช้ไว้หลอมยาโอสถขั้นที่ห้า ถือเป็นยาหลักในการหลอมโอสถทะลวงปราณเก้าจิต จึงเป็นวัตถุดิบที่ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง
เพราะหลังจากที่วิทยายุทธ์ได้เข้าถึงขอบเขตเชื่อมชีพจร โอสถทะลวงปราณเก้าจิตก็จะกลายเป็นสมบัติที่ยอดฝีมือในระดับนี้ต่างก็ใฝ่ฝันคะนึงหา
แต่น่าเสียดาย ที่หญ้าเก้าจิตในโลกภายนอกนั้นมีอยู่น้อยเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ทางหมู่ตึกก็ยังมีอยู่อย่างจำกัด โอสถทะลวงปราณเก้าจิตจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะร้องขอได้เลย
และหญ้าเก้าจิตต้นนี้ถึงกับขึ้นดกอยู่หลายสิบต้น ถ้าหากเหล่าตาแก่ขอบเขตเชื่อมชีพจรมาเห็นเข้า จะต้องบ้าคลั่งขึ้นมาอย่างแน่นอน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นที่พวกเขาได้กล่าวมา ภายในหุบเขานั้นมีหญ้ายาอันล้ำค่าอยู่นับไม่ถ้วน แต่ว่าหากคิดที่จะเข้าไปเก็บ ก็อย่าได้หวังที่จะออกมาได้อีก”
ก่อนหน้าที่จะเข้ามา หลิงหวินจื่อก็ได้กำชับสิ่งต้องห้ามที่เกี่ยวข้องกับขอบเขตแดนลับนพเก้าอยู่บ้าง และหนึ่งในพื้นที่ต้องห้ามนั้นก็มีหุบเขาเมฆหมอกรวมอยู่ด้วย
หุบเขาเมฆหมอกถูกเรียกกันว่าเป็นหุบเขาวิญญาณหลงหรือหุบเขาสะบัดวิญญาณ หลิงหวินจื่อได้กำชับห้ามทุกคน ต่อให้หมายมั่นที่จะเก็บยาล้ำค่าก็ต้องเก็บอยู่ที่บริเวณภายนอกเท่านั้น
เพราะพื้นที่ด้านนอกยังสามารถที่จะมองเห็นภูเขาอันสูงใหญ่ในที่ห่างไกลได้ ด้วยการจดจำวัตถุที่ขึ้นอยู่ตามเขา ก็พอจะทำให้สามารถออกไปได้
แต่หากเดินเข้าไปภายใน ภายใต้หมอกที่ปกคลุมอยู่จนหนาทึบจนไม่อาจที่จะแยกเหนือใต้ออกตกได้ ต่อให้เข้าไปแล้วเก็บยาล้ำค่าได้มากกว่านี้ แต่ออกไปไม่ได้ก็สูญเปล่าอยู่ดีแม้แต่ชีวิตก็ต้องทิ้งอยู่ในที่แห่งนั้นตลอดไป
ในยามที่หลงเฉินมองย้อนกลับไปยังเส้นทางที่ได้เดินผ่านมา ทางด้านหลังก็ได้กลายเป็นหมอกดำมืดขึ้นมาแล้ว ทว่าด้วยพลังสายตาของหลงเฉิน ยังคงสามารถที่จะมองไปได้แม้จะไม่ค่อยชัดเจนนัก
“คงเป็นที่นี้แล้ว”
หลงเฉินที่อยู่ในตำแหน่งปากทางเข้าหุบเขา ก็ได้เสาะหาสถานที่เร้นลับ แล้วทำการขุดโพรงเล็กๆขึ้นมา จากนั้นก็ล้วงเอายาโอสถเม็ดหนึ่งออกมาจากภายในแหวนมิติ แล้วก็ทำการฝังลงไปในที่แห่งนี้ หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าจะสามารถปกปิดไม่ให้ผู้คนเห็นได้ จึงค่อยวางใจขึ้นมา
ยาโอสถที่เขาได้ฝังลงไปนั้น มีชื่อเรียกกันว่าโอสถชักนำวิญญาณ ที่หาได้มีไว้เพื่อใช้กินไม่ แต่มีไว้ใช้เพื่อสร้างเครื่องหมายขึ้นมา
ผู้เชี่ยวชาญโอสถเป็นสาขาที่เก่าแก่เป็นอย่างยิ่ง มีประวัติความเป็นมานับตั้งแต่ในสมัยโบราณตามกระแสวิถีวิทยายุทธ์ อีกทั้งยังเป็นสาขาที่มีความลึกล้ำเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว
คุณภาพของยาโอสถนั้นถือได้ว่าสูงเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้เลยทีเดียว เรียกได้ว่าดุจดั่งห้วงดาราที่พร่างพรายอยู่บนฟากฟ้า จะนับเช่นไรก็ไม่อาจนับได้สิ้น
โอสถชักนำวิญญาณ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในยาโอสถสายสนับสนุนชนิดหนึ่ง นอกจากโอสถสายสนับสนุนแล้ว ก็ยังมีโอสถสายต้านทาน โอสถสายโจมตีเป็นต้น กล่าวกันว่าขอเพียงมีพลังฝีมือที่เพียงพอ จนสามารถที่จะหลอมยาโอสถเหล่านี้ออกมาได้ ก็จะกลายเป็นสายต่อสู้ได้เลยทีเดียว ทั้งยังสู้ได้อย่างน่ามหัศจรรย์อีกด้วย
ทว่ายาโอสถในมือของหลงเฉินเม็ดนี้ หาได้มีผลลัพธ์ที่มากมายถึงเพียงนั้นไม่ มันเพียงแต่ถูกหลอมด้วยวัสดุพิเศษ จนสามารถที่จะผนึกพลังรอยตราแห่งจิตวิญญาณลงไปได้
หรือก็คือเป็นยาโอสถที่ใช้ในการป้องกันการหลงทาง เมื่อมียาโอสถเม็ดนี้ ผู้เชี่ยวชาญโอสถย่อมสามารถที่จะสัมผัสได้ และเสาะหาตำแหน่งของยาโอสถชนิดนี้จนเจอ
ในยามที่หลงเฉินกำลังเก็บตัว ก็ได้หลอมยาโอสถสายสนับสนุนเอาไว้อยู่ไม่น้อย ของเล่นเหล่านี้ต่างก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญโอสถสมควรที่จะพกติดตัวเอาไว้ รอบนี้จึงเรียกได้ว่าเตรียมการมาได้อย่างเหมาะสมแล้ว
โอสถชักนำวิญญาณที่หลงเฉินหลอมสร้างขึ้นมา ยังมีความพิเศษที่ถูกผนึกเอาไว้ด้วยพลังแห่งจิตญญาณของตัวเขาเอง จึงมีแต่เพียงเขาเท่านั้นที่จะสามารถสัมผัสได้ ดังนั้นจึงหาได้เกรงกลัวผู้หลอมโอสถคนอื่นๆมาทำให้เสียเรื่อง เนื่องจากเป็นเช่นนี้หลงเฉินจึงได้มีความกล้าถึงเพียงนี้
เมื่อได้ทำการตรวจสอบอีกรอบหนึ่ง หลังจากที่แน่ใจได้แล้วว่าไม่มีข้อผิดพลาดอะไร หลงเฉินก็ได้มุ่งหน้าเดินเข้าไปด้านในของหุบเขา จนมาถึงยังบริเวณพื้นที่ทางด้านหน้าของหญ้าเก้าจิต แล้วก็ใช้จอบหยกทำการขุดมันออกมาเก็บใส่ไว้ภายในแหวนมิติแห่งชีวิตอย่างระมัดระวัง
ภายในแหวนมิติแห่งชีวิตจะทำให้พวกมันหยุดการเจริญเติบโตได้ ทว่าพลังชีวิตกลับยังสามารถที่จะรักษาเอาไว้ได้ วัตถุดิบที่มีชีวิตจะต้องมีค่ามากกว่าสิ่งของที่ตายไปแล้วอย่างแน่นอน
เพียงแค่หญ้าเก้าจิตเหล่านี้ ก็สามารถที่จะแลกเปลี่ยนเป็นแต้มคะแนนอันมหาศาลได้แล้ว ถ้าหากหลงเฉินนำมันไปหลอมเป็นโอสถทะลวงปราณเก้าจิต นั่นก็คงไม่ต่างอะไรไปจากได้ลาภก้อนโตที่ทุกคนจะต้องแตกตื่นตกใจ
“เป็นไปตามที่เล่าขานกัน วันใดที่ได้เข้าไป ก็ยากที่จะออกมาได้แล้ว”
เมื่อหลงเฉินหันมองกลับไป ก็เห็นประกายแสงระยิบระยับสีขาวอยู่ทางด้านหลัง หาได้เห็นทางเข้าหุบเขาที่ตนเองยืนอยู่เมื่อครู่แล้ว
นี่ก็คือความประหลาดของหุบเขาเมฆหมอก หากมองเข้าไปยังสามารถที่จะมองดูระยะทางที่ห่างออกไปหลายร้อยจั้งได้ แต่ว่าเมื่อมองกลับไปยังภายนอก แม้แต่จั้งเดียวก็ยังยากที่จะมองเห็นได้ชัด
ก่อนหน้านี้ก็มีคนคิดวิธีการอันชาญฉลาดขึ้นมาได้ โดยการใช้เชือกผูกเอาไว้กับตำแหน่งที่เป็นทางเข้าหุบเขา ในยามที่ออกมาก็จะสามารถเดินไปตามเส้นทางของเชือกกลับมาได้แล้ว
แต่กลับลืมบางเรื่องไป สถานที่แห่งนี้มีทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม หากทิ้งเชือกเส้นหนึ่งเอาไว้ในที่แห่งนี้ ไม่ว่าเป็นผู้ใดเมื่อพบเห็นเข้าก็จะมีแต่กลายเป็นถูกเปิดเผยตัวตนขึ้นมา
ในยามที่กลับออกมา ที่ภายนอกย่อมมีคนกลุ่มหนึ่งดักรออยู่แล้วเพื่อทำการแย่งชิงสมบัติ ดังนั้นวิธีการเช่นนี้จึงใช่ว่าจะสามารถใช้ได้
หลงเฉินเดินไปจนถึงจุดที่ฝังโอสถชักนำวิญญาณเอาไว้ เมื่อได้มองไปยังภูเขาใหญ่ที่เลือนลางอยู่ไกลๆ ก็แน่ใจแล้วว่าวิธีการของตนนั้นย่อมไม่มีปัญหา จึงทำการกลบรอยเท้าของตนเองที่อยู่บนพื้น
ถึงอย่างไรหุบเขาเมฆหมอกที่ขึ้นชื่อเรื่องความอันตราย หลงเฉินก็ไม่กล้าที่จะประมาท นับตั้งแต่ที่ถูกฝังเอาไว้ภายในสุสานโบราณครั้งที่แล้ว เขาก็ระมัดระวังตัวมากขึ้นอีกหลายเท่า
เมื่อครู่หากการใช้โอสถชักนำวิญญาณเกิดล้มเหลว เขาก็ยังสามารถที่จะเดินย้อนไปตามรอยเท้าของตนเองกลับไปได้ เมื่อเห็นว่าวิธีเช่นนี้สามารถจะใช้ได้หลงเฉินย่อมต้องกลบรอยเท้าอยู่แล้ว เพื่อป้องกันผู้คนพบเห็น เพราะเมื่อยามที่ตนเองออกมาไม่ต้องการจะถูกกลุ่มผู้คนปิดล้อมเอาไว้
หลงเฉินเดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่ส่วนลึกต่อไป ในระหว่างที่เข้าไปลึกมากขึ้นก็พบว่าภายในหุบเขามียาล้ำค่ามากจนน่าตกใจ เมื่อเข้าไปได้ไม่ถึงร้อยจั้ง ก็มีหญ้าเก้าจิตปรากฏขึ้นอีกสามต้น และยังมียาล้ำค่าอื่นๆอีกสี่ชนิด ซึ่งต่างก็เป็นของที่หาได้ยากจากโลกภายนอก
สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญโอสถชื่นชอบมากที่สุดก็คือการเสาะหาวัตถุดิบ แม้แต่หลงเฉินเองก็ไม่มีข้อยกเว้น โดยเฉพาะความทรงจำที่อยู่ในหัวของเขานั้นมีความทรงจำของจักรพรรดิโอสถ จึงทำให้หลงเฉินเกิดความยินดีขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
แม้ว่าความทรงจำของจักรพรรดิโอสถจะขาดหายไปบ้าง ทว่าในด้านการจำแนกหญ้ายากับด้านการหลอมยาโอสถ กลับถือได้ว่ายังมีอยู่อย่างครบถ้วน แม้แต่หญ้ายาที่โลกภายนอกไม่มี หลงเฉินก็ได้เก็บเอาไว้ทั้งหมด
เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื้นตัน ในขณะที่อยู่ในช่วงการทดสอบของทางหมู่ตึก ที่เด็กน้อยผู้นั้นได้“มอบ”แหวนมิติแห่งชีวิตให้แก่ตนเอง เรียกได้ว่าเด็กน้อยผู้นี้ช่วยเหลือตนเองไว้มากเลยทีเดียว
หลงเฉินก็ได้มุ่งหน้าเดินไปตามช่องเขาจนผ่านไปหลายสิบลี้ ทางด้านหน้าก็ได้ปรากฏปากทางแยกขึ้นสายหนึ่ง ซึ่งเป็นเส้นทางที่มุ่งหน้าไปสู่ช่องเขาอื่นๆ
เมื่อเขาได้ทำการฝังโอสถชักนำวิญญาณไปแล้ว หลงเฉินก็ได้มุ่งหน้าเดินทางต่อ หลังจากที่เดินทางไปได้สามวันเต็มๆ ภายในแหวนมิติแห่งชีวิตของหลงเฉินก็ได้มียาล้ำค่าเพิ่มพูนขึ้นมากว่าร้อยชนิด
ยาล้ำค่าเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นหญ้ายาระดับสูง สามารถที่จะหลอมเป็นยาโอสถระดับสูง ในด้านราคาย่อมสูงล้ำจนน่าหวาดกลัว ถ้าหากนำไปหลอมเป็นยาโอสถก็ยิ่งเพิ่มพูนมูลค่ามากยิ่งขึ้น
“โครม”
ในขณะที่หลงเฉินกำลังเก็บยาล้ำค่า ทันใดนั้นภายในร่างกายก็ได้เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมา กระแสพลังรอบข้างเกิดการเคลื่อนไหว จนเกิดเป็นพลังอันยิ่งใหญ่มหาศาลปะทุขึ้นมาจากภายในร่างกายของเขา
“ทะลวงพลังขอบเขตขั้นที่หนึ่งได้แล้ว”
หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะยินดีขึ้นมา การเลื่อนขั้นเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้ผ่านพ้นไปหลายวันแล้ว หลงเฉินกลับหาได้มีความตั้งใจในการฝึกเลยด้วยซ้ำ ขั้นต่อไปก็คือการใช้โอสถสามบุษผาทะลวงเส้นเอ็นเพื่อหลอเลี้ยงหลอดเลือดนั้นเอง
เขาพบว่าภายในร่างกายของตนเองมีพลังสภาวะในการดูดซับฤทธิ์ยาแข็งแกร่งจนน่าตกใจ แม้ว่าจะกลืนโอสถสามบุษผาทะลวงเส้นเอ็นไปแล้วหลายสิบเม็ด ก็ยังสามารถดูดซับฤทธิ์ยาไปได้จนหมด
ในเวลาเดียวกันหลอดเลือดบนร่างกายของเขาไม่เพียงแต่เปล่งประกายอย่างแข็งแกร่ง แม้แต่พลังการฝึกปรือก็ยังสามารถที่จะค่อยๆพัฒนาขึ้นมา
อีกทั้งเมื่อใช้ยาในการพัฒนาการฝึกปรือ ถึงแม้จะเป็นการเพิ่มพูนพลังที่ไม่ถูกวิธี แต่ก็หาได้มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อยไม่
เพียงแต่ยาโอสถสามารถที่จะช่วยเหลือวิทยายุทธ์ได้แค่ส่วนหนึ่ง แม้จะสามารถพัฒนาพลังฝีมือได้อย่างรวดเร็ว จนเพิ่มพูนพลังขึ้นได้หลายเท่าตัว แต่นี่ก็หาใช่สิ่งที่ได้รับมาจากความพยายามของตนเองไม่ มันอาจจะทำให้รากฐานของตนเองไม่มั่นคงได้ และพลังสภาวะเกิดความแปรผันจนไม่อาจที่จะผนึกขึ้นมาได้ หากใช้ติดต่อเป็นเวลานานการส่งผลกระทบจะเป็นวงกว้าง
ดังนั้นเหล่าผู้คนที่ยังคงพึ่งพายาโอสถ ก็ยังไม่กล้าที่จะพึ่งพาโดยทั้งหมดไม่ การพึ่งยาโอสถในการพัฒนาพลังฝีมือย่อมต้องเกิดการตกตะกอน ถ้าหากคิดที่จะหลุดพ้นให้เร็ว ก็จำเป็นที่จะต้องไปต่อสู้ หากความแข็งกล้าจากการต่อสู้ยิ่งมากก็จะยิ่งหลุดพ้นได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะการต่อสู้ระดับความเป็นความตาย ถือได้ว่าเป็นวิธีการหลุดพ้นที่แน่นอนที่สุด
หลงเฉินพบว่าร่างกายของเขากลับหาได้เกิดสภาวะเช่นที่เป็นห่วงไม่ แท้จริงแล้วเคล็ดวิชากายานวดารา เดิมทีก็คือโถยาอยู่แล้วอย่างงั้นหรือ ? หลงเฉินไม่เคยคิดว่าจะเป็นเช่นนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ
หลังจากที่เลื่อนระดับพลังจนเข้าสู้ขั้นที่หนึ่ง เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่เปี่ยมล้นภายในร่างกายขึ้นมา จนอดไม่ได้ที่จะต้องยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เขาล้วงเอาโอสถสามบุษผาทะลวงเส้นเอ็นออกมาจากภายในแหวนมิติหนึ่งเม็ดกลืนลงไปในทันที
ในเมื่อร่างกายสามารถดูดซับผลลัพธ์ของยาทั้งหมดไปได้ หลงเฉินก็แทบจะกินยาโอสถแทนข้าวเลยในทันที ถือได้ว่าเป็นดั่งการทดสอบเคล็ดวิชากายานวดาราอีกแบบหนึ่ง เขาจำเป็นที่จะต้องคลี่คลายความลับของมันไปทีละเล็กทีละน้อย
เมื่อโอสถสามบุษผาทะลวงเส้นเอ็นถูกกลืนเข้าไปแล้ว เขาก็มุ่งหน้าเดินต่อไปจนผ่านหุบเขาไปหลายลูก ก็เก็บยาล้ำค่าได้อยู่ไม่น้อย
ทันใดนั้นเอง หลงเฉินมองไปเห็นกระดูกสีขาวที่อยู่บริเวณด้านหน้าด้วยสายตาที่จ้องเขม็ง
.
.