โล่วปิงทำสีหน้าปั้นยากมากขึ้นอีก ในขณะนี้ตัวนางรู้สึกย่ำแย่ถึงขีดสุดแล้ว โอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นนั้นถือได้ว่าเป็นของล้ำค่ายากที่จะได้มาครอบครองสักเม็ดหนึ่ง แต่เจ้าเด็กหลงเฉินนั่นกลับมีเก็บเอาไว้มากมายถึงเพียงนี้! ตอนนี้นางทั้งสับสนและมึนงง ในหัวสมองรู้สึกชาจนแทบคิดอะไรไม่ออก คล้ายถูกผู้ใดใช้ไม้ฟาดศรีษะอย่างแรง
ขณะนี้โล่วปิงรู้สึกคล้ายกับ วาจาดูถูกเหยียดหยามที่ตนได้กล่าวออกไปนั้นย้อนกลับมาตบหน้าตนเอง ทว่าโล่วปิงก็ไม่สามารถแสดงความอ่อนแอออกมาได้ ตอนนี้นางนั้นก็คล้ายขึ้นมานั่งอยู่บนหลังพยัคฆ์แล้ว ยากที่จะลงไปได้ มีเพียงต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น
“ในตัวของข้าหาได้มีโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นมากมายถึงเพียงนั้น เจ้าเปลี่ยนสิ่งเดิมพันเป็นอย่างอื่นเถอะ” โล่วปิงรู้สึกว่าใบหน้าแสบร้อนขึ้นมา ตอนนี้นางเกลียดชังหลงเฉินเข้ากระดูกดำไปแล้ว
“นั้นสินะ พวกเจ้าต่างก็เป็นบุคคลชั้นสูง ย่อมไม่มี ‘ขยะ’ เช่นนี้ติดตัวอยู่แล้ว ผู้อาวุโสถู่ฟาง โอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นนี้มีค่าเท่าไหร่หรือ ถ้าหากต้องการไปแลกเอามาจากสาขาหลัก ? ” หลงเฉินหันกลับไปถามถู่ฟาง
ถู่ฟางในขณะนั้น คาดเดาไม่ออกว่าหลงเฉินกำลังเล่นลูกไม้ขายยาอะไรอยู่ จึงได้แต่ตอบกลับไปว่า “โอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นนี้เป็นโอสถที่หายาก มีแต่เพียงหมู่ตึกห้าสิบอันดับแรกเท่านั้นถึงจะมีได้ อีกทั้งยังแจกจ่ายด้วยจำนวนที่จำกัด
ส่วนหมู่ตึกห้าสิบอันดับหลังนั้นไม่ต้องพูดถึง และโอสถนี้หากต้องการใช้แต้มคะแนนก็สามารถทำได้ เพียงแต่ว่ามิได้เปิดให้ศิษย์แลก จะเปิดให้แลกได้เฉพาะระดับผู้อาวุโสเท่านั้น
กล่าวกันว่าโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นหนึ่งเม็ด ต้องใช้แต้มคุณประโยชน์หนึ่งพันแต้มในการแลกมา ดังนั้นถ้าหากเปรียบเทียบมูลค่าเป็นแต้มคะแนนแล้วละกัน ก็เท่ากับแต้มคะแนนหนึ่งร้อยหมื่นแต้ม
เมื่อได้ยินที่ผู้อาวุโสถู่ฟางตอบ ถังหว่านเอ๋อและพวกพ้องคนอื่นๆ ต่างก็สะดุ้งตกใจขึ้นมา เพื่อจะแลกโอสถเพียงเม็ดเดียวต้องใช้แต้มคะแนนมากถึงหนึ่งร้อยหมื่นแต้ม เช่นนี้ ต่อให้เอาแต้มคะแนนที่มีกันอยู่ของศิษย์ของหมู่ตึกทั้งหมดมารวมกัน ก็อาจจะแลกไม่ได้สักเม็ดเลยด้วยซ้ำ!
พลันศิษย์ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันหันไปมองหลงเฉิน ในใจของทุกคนตอนนี้รู้สึกว่าหลงเฉินนั้นเป็นเสมือนเทพยดาไปแล้ว ที่สามารถทำเรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้ให้เป็นจริงขึ้นมาได้ แท้จริงแล้วเขาไปเอาโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นนี้มาจากที่ใดกัน ?
แน่นอนว่าหลงเฉินย่อมต้องไม่บอกอยู่แล้ว วัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถนี้ ได้มาจากคนมีน้ำใจผู้หนึ่งมอบให้แก่เขา และเขาจะต้องเก็บความลับเรื่องนี้เอาไว้จนตาย
“เป็นเช่นนี้เอง”
หลงเฉินแสดงท่าทีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวขึ้นมาว่า “เช่นนั้นก็ได้ โอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นแปดสิบเม็ด ก็คิดเป็นแต้มคุณประโยชน์ทั้งหมดแปดหมื่นแต้มก็ได้แล้ว ผู้อาวุโสถู่ฟาง แต้มคุณประโยชน์เท่านี้สามารถที่จะแลกเปลี่ยนได้แล้วสินะ” หลงเฉินกล่าว
“ย่อมสามารถแลกเปลี่ยนมาได้ ไม่ว่าจะเป็นสาขาใดก็สามารถใช้ได้” ถู่ฟางพยักหน้าแล้วกล่าว
“เอาตามนี้ เจ้าจะว่าอย่างไร จะประลองหรือไม่ประลอง ? หากเจ้าชนะ ข้าก็จะมอบโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นให้เจ้าแปดสิบเม็ด หากเจ้าแพ้ไป ก็มอบแต้มคุณประโยชน์ให้แก่ข้าแปดหมื่นแต้ม” หลงเฉินมองไปทางโล่วปิงแล้วกล่าว
“ย่อมไม่มีปัญหา พวกเราจะขอเดิมพันกับเจ้า” โล่วปิงปั้นยิ้มเย็นชาแล้วกล่าว
ความจริงแล้วนางเองก็ไม่มีโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นมากมายถึงเพียงนั้น แม้แต่หมู่ตึกของพวกเขาเองก็ใช่จะสามารถหามาครอบครองได้มากมายเพียงนั้น ทุกครั้งที่ต้องการก็ยังต้องไปขอแลกเปลี่ยนมาสาขาหลักอยู่ดี
ดังนั้นหากเป็นข้อเสนอเช่นนี้ นางย่อมยินดีที่จะรับเอาไว้อย่างแน่นอน อีกทั้งด้วยความสามารถของเหล่าศิษย์หมู่ตึกลำดับสามสิบหกแล้ว โล่วปิงเชื่อมั่นว่าข้อเสนอนี้เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายของนางอย่างแน่นอน
“ได้ เช่นนั้นก็มาเริ่มกันเถอะ รอบแรกจะใช้ระดับไหน พวกเจ้าเลือกได้เลย ถึงแม้พวกเจ้าจะไม่ถือว่าเป็นแขก แต่ก็นะ อย่างไรพวกเราก็เป็นเจ้าถิ่น ไม่อาจจะข่มเหงพวกเจ้าได้ ดังนั้นข้าให้พวกเจ้าเป็นฝ่ายตัดสินใจก่อนก็แล้วกัน” หลงเฉินเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แล้วกล่าวออกมาด้วยความเกียจคร้าน
“ไม่จำเป็นต้องเลือกหรอก ไล่จากระดับต่ำไปสูงกันเลย รอบแรกให้ศิษย์สายนอกมาต่อสู้ –– ผู้ใดจะเป็นคนขึ้นไป ? ” โล่วปิงส่งเสียงขึ้นมาอย่างเย็นชา แล้วหันไปตะโกนใส่ศิษย์ที่อยู่ทางด้านหลัง
“ให้ศิษย์จัดการเอง”
ชายหนุ่มผอมสูงผู้หนึ่งกล่าวขึ้น แล้วกระโดดขึ้นไปบนเวทีประลองทันที แต่สิ่งที่ทำให้หมู่ตึกที่หนึ่งร้อยแปดทุกคนต้องตกใจก็คือ คนผู้นั้นเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่ห้าแล้ว
ขณะที่ฝ่ายหมู่ตึกที่หนึ่งร้อยแปดนั้น ศิษย์สายนอกทั้งหมด ต่างก็อยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่สาม ยังไม่มีคนใดที่สามารถเข้าสู่เปลี่ยนเส้นเอ็นตอนกลางเลยแม้แต่คนเดียว
หลังจากขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีประลองแล้ว ชายหนุ่มผอมสูงผู้นั้น ก็ใช้สายตาเหยียดหยามกวาดมองหลงเฉินและพวก เขาหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วกล่าวท้าทาย “ผู้ใดจะขึ้นมาหาที่ตายดีล่ะ ? ”
“หลงเฉิน ทำอย่างไรดี จะให้ใครขึ้นไป ? ” ถังหว่านเอ๋อเริ่มร้อนรนขึ้นมา เอ่ยถามหลงเฉินด้วยเสียงแผ่วเบา
การเผชิญหน้ากับศิษย์เหล่านั้นไม่ง่ายเลย คนพวกนั้นต่างก็เป็นพวกโดดเด่นในหมู่คนโดดเด่น ทั้งยังมีพลังสภาวะที่แข็งแกร่งอย่างไร้ที่เปรียบ เห็นได้ชัดว่าศิษย์ของหมู่ตึกที่หนึ่งร้อยแปดอ่อนแอกว่าขุมหนึ่ง
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ศิษย์สายนอกนั้นได้รับการดูแลที่ต่ำต้อยเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงถือว่าเป็นจุดอ่อนที่สุด ของพวกเขาเลยก็ว่าได้
“ไม่ต้องกลัวไป ผู้ใดขึ้นไปก็ได้ สุดท้ายแล้วผลก็ออกมาเหมือนกัน” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาอย่างสบายอกสาบใจ
“พวกเจ้ากลัวล่ะสิ ฮ่าฮ่าฮ่า แท้จริงแล้วพวกเจ้าก็เป็นแค่กลุ่มสุกรขี้ขลาดเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มผอมสูงผู้นั้นหัวเราะเสียงดัง แล้วกล่าวออกมา
“หาที่ตาย!”
สิ้นเสียงชายผู้นั้น พลันก็มีเสียงที่เดือดดาลดังขึ้น พร้อมกับเงาร่างสายหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนเวที หลงเฉินจำได้ว่า นั่นคือลูกน้องของกู่หยาง
“ให้ข้าจ้าวผิง ได้รับคำชี้แนะจากเจ้าหน่อยก็แล้วกัน” หลังจากขึ้นไปยืนบนเวทีประลองได้แล้ว ลูกน้องของกู่หยางผู้นั้นก็กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
ชายหนุ่มผอมสูงเมื่อเห็นคู่ต่อสู้แล้วก็กล่าวขึ้นมาอย่างไม่แยแส “ก็แค่เด็กน้อยในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนต้น มีคุณสมบัติอันใดมารับคำชี้แนะจากข้าได้กัน ไสหัวไปเสียเถอะ”
ชายหนุ่มผอมสูงกล่าวอย่างเย็นชา เสียงดังลั่น แล้วขยับเข้ามายืนต่อหน้าจ้าวผิง การประลองเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องมีคนมาบอกให้เริ่มอยู่แล้ว ขอเพียงขึ้นไปบนเวที ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นการต่อสู้แล้ว
ชายหนุ่มผอมสูงผู้นั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง พึ่งจะขยับตัวตลอดทั่วทั้งร่างก็ระเบิดพลังสภาวะออกมาแล้ว ทั้งยังเป็นพลังสภาวะที่แข็งแกร่ง จนทำให้บรรยากาศโดยรอบสั่นไหวขึ้นมา
“แข็งแกร่งยิ่งนัก”
ถังหว่านเอ๋อและเหล่าศิษย์ในหมู่ตึก ต่างอดไม่ได้ที่จะหน้าซีดลงเล็กน้อย หมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกช่างแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดถึงได้หยิ่งผยองถึงเพียงนั้น แท้จริงแล้วเพราะมีคุณสมบัติมากพอที่จะผยองเช่นนั้นนั่นเอง
คนผู้นั้นถือได้ว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ยังไม่ทันจะเคลื่อนไหวให้ครบครึ่งกระบวนท่า บนร่างกายก็แฝงพลังทำลายเอาไว้จนเต็มเปี่ยมแล้ว สร้างบรรยากาศกดดันหนักหน่วง จนทำให้คู่ต่อสู้ยากที่จะหายใจได้ นี่จะต้องเป็นผลมาจากวิชาทักษะที่เขาฝึกปรือมาอย่างแน่นอน
“เช้ง”
ทันทีที่ขยับตัวออกไป ชายหนุ่มผอมสูงผู้นั้นก็ชักกระบี่ยาวในมือออกจากฝัก ส่งความเย็นเยียบออกมาระลอกหนึ่ง เขาเงื้อมกระบี่ขึ้น แล้วฟาดฟันเข้าใส่ตัวจ้าวผิง
“ไสหัวไปเถอะ เจ้ามันก็แค่สุกรตัวหนึ่งเท่านั้น”
จ้าวผิงนั้น เพราะว่าไม่สามารถทนรับฟังการเหยียดหยามของอีกฝ่ายได้ จึงกระโดดขึ้นมาสู้ แต่เมื่อขึ้นมาบนเวทีประลองแล้วก็อดกังวลขึ้นมาไม่ได้ เขาทราบว่าการต่อสู้ในครั้งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง มีแต่ต้องชนะไม่อาจที่จะพ่ายแพ้ได้
ทว่าเมื่อชายหนุ่มผอมสูงพุ่งตรงเข้ามาหา จิตใจที่ทั้งกังวลทั้งข่มขื่นของจ้างผิง ก็เลือนหายไปในพริบตา โลหิตในร่างกายเมื่อสัมผัสถึงพลังของอีกฝ่าย เพียงแค่ครู่เดียวก็เดือดพร่านขึ้นมา ความรู้สึกราวกับได้หวนย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่อยู่ในศึกการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรมก่อนหน้านี้
เมื่อหลงเฉินเห็นแววตาของจ้าวผิง บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น ใช่แล้ว ! สายตาเช่นนั้นแหละ ความรู้สึกเช่นนี้แหละ ต้องให้ได้แบบนี้สิ ไปเลย !
“ตายซะ!”
จ้าวผิงตะโกนก้องออกมา ก่อเกิดพลังสภาวะที่โหดเหี้ยมไร้ที่เปรียบขุมหนึ่ง พริบตานั้นก็พุ่งเข้าจำกัดการเคลื่อนไหวของชายฉกรรจ์ผู้นั้น ดูคล้ายกับสัตว์ร้ายตัวหนึ่งที่กำลังพุ่งเข้ามา
“เคร้ง!”
ดาบยาวของจ้าวผิงและกระบี่ยาวของชายหนุ่มผอมสูงปะทะเข้าด้วยกันเกิดเสียงดังสนั่น ประกายไฟจากการกระทบและเสียดสีกระเด็นไปโดยรอบ ทันใดนั้นก็เกิดการระเบิดของพลังที่รุนแรงตามมา
เมื่อทั้งสองฝ่ายพุ่งเข้าปะทะกัน ก็ก่อเกิดเป็นพลังที่รุนแรงระเบิดขึ้น แต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือชายหนุ่มผอมสูงที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าขุมหนึ่ง กลับต่อสู้กับจ้าวผิงอย่างสูสี เห็นได้ชัดเจนหลังจากการปะทะกันแล้วพบว่า ทั้งสองต่างก็ถอยออกไปคนละหลายก้าว
ถู่ฟางและเหล่าผู้อาวุโสที่จับตาดูการต่อสู้อยู่นั้น ทอแววตาคมกล้าขึ้น ด้วยประสบการณ์การต่อสู้ที่สั่งสมมา เพียงครู่เดียวก็มองออกถึงต้นสายปลายเหตุ
หากเอ่ยถึงพลังการต่อสู้ที่แท้จริง จ้าวผิงย่อมด้อยกว่าชายหนุ่มผอมสูงเป็นเท่าตัวอยู่แล้ว ทว่าก่อนที่จ้าวผิงจะลงมือ ก็ได้แสดงออกมาให้เห็นถึงความแน่วแน่ที่ไม่หวาดเกรงแม้แต่ความตาย จนกลายเป็นพลังกดดันอีกฝ่ายเอาไว้
นั่นถือได้ว่าเป็นความอาจหาญที่ลึกล้ำ ซึ่งเกิดจากความแน่วแน่ และได้จากประสบการณ์ที่ผ่านพ้นความตายมาอย่างแท้จริง จึงสามารถขัดกิเลสออกมาเปลี่ยนเป็นพลังเงาดาบเช่นนี้ได้
ในชั่วขณะที่จ้าวผิงปลดปล่อยความแน่วแน่ของตนเองออกมา ชายหนุ่มผอมสูงก็รู้สึกราวกับว่ากำลังถูกสัตว์ร้ายกำลังจ้องมองตนเองอยู่ เป็นผลทำให้จิตใจหวั่นไหวขึ้นมา ในเวลาเดียวกันก็พบว่าพลังที่รุนแรงขุมหนึ่งก็ได้เข้ามาคุกคามจิตใจของเขาไปเสียแล้ว
และภายในพริบตานั้นเอง เขาเองก็ได้รู้สึกว่าตนเองมิใช่กำลังประลองยุทธ์อยู่กับมนุษย์ แต่เป็นความรู้สึกเหมือนกับสัตว์ร้ายที่โหดเหี้ยมไร้จิตใจที่กำลังไล่ล่าพุ่งตรงเข้ามา
ด้วยสภาวะนั้น ชายหนุ่มผอมสูงก็ถูกจ้าวผิงกดดันเอาไว้ได้แล้ว ภายในจิตใจของเขาบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา ดังนั้นถึงแม้พลังการต่อสู้จะเหนือกว่าอีกฝ่าย แต่เหตุใดจะต้องมาแลกชีวิตกับฝ่ายนั้นด้วย
“ตายซะ”
จ้าวผิงนั้น หลังจากที่ได้ลงดาบไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เกิดความฮึกเหิม ตะโกนดังก้อง ดาบยาวในมือฟาดฟันเป็นเส้นโค้งออกมาเป็นสาย พุ่งตัวเข้าห้ำหั่นกับชายหนุ่มผอมสูงอย่างไม่ปราณี ร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังสภาวะรุนแรงรุกเข้าไปด้านหน้าไม่หยุดไม่หย่อน
ถังหว่านเอ๋อและพวกพ้อง ที่มองดูอยู่ต่างก็งงงันขึ้นมาวูบหนึ่ง รู้สึกว่าคุ้นเคยกับแรงกดดันเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง ภายหลังจึงได้เข้าใจว่า ที่จ้าวผิงใช้นั้นคือดาบ และทั้งรูปแบบ และความรุนแรงของการใช้ดาบนั้น ก็คล้ายกับหลงเฉิน
ถึงแม้พลังทำลายจะแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ทว่าเพราะ สภาวะจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสภาวะของความรู้สึกยอมพลีชีวิต รวมไปจนถึงท่วงท่าของกระบวนท่าที่ได้ร่ำเรียนมา ทำให้ธาตุแท้ของเขานั้นกลับรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง
“ตัวบัดซบ เจ้าบ้าไปแล้ว นี้พวกเราเพียงแต่ประลองกันอยู่เท่านั้นนะ”
ชายหนุ่มผอมสูงนั้นรู้สึกได้ถึงรังสีฆ่าฟันที่กดดันเขาเอาไว้ได้นับตั้งแต่เริ่มต้นการต่อสู้ เขารู้สึกได้ว่าจ้าวผิงผู้นี้นั้นกำลังคิดที่จะสังหารเขาอย่างจริงจังอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะร่ำร้องขึ้นมาด้วยความแตกตื่น
ฝ่ายจ้าวผิงนั้น แทบจะไม่ได้สนใจเขาเลยด้วยซ้ำ ดาบยาวในมือที่ฟาดฟันออกไปไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย มุ่งหน้าปล่อยกระบวนท่าเข้าใส่อีกฝ่ายไม่ลดละ
“ตู้ม!”
เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มผอมสูงที่กำลังตกอยู่ในอาการตื่นตระหนก ได้ฝืนพยายามต้านทานการโจมตีที่รุนแรงและรวดเร็วของจ้าวผิง จนเกิดการระเบิดของพลังขึ้น และครั้งนี้เป็นตัวเขาเพียงฝ่ายเดียวที่ลอยกระเด็นออกไป
“เจ้าบ้า อย่าเสียสมาธิสิ สงบใจเอาไว้”
โล่วปิงอดไม่ได้ ด่าทออกมาด้วยโทสะ เมื่อพบว่าชายหนุ่มผอมสูงนั้นแม้จะยังมีพลังต่อสู้ที่เปี่ยมล้นอยู่ แต่เป็นเพราะถูกทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ จึงไม่อาจแสดงพลังความสามารถออกมาได้
น่าเสียดายที่ความเป็นจริงต่อให้ด่าทอออกไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว ชายหนุ่มผอมสูงนั้น ที่พบเจอการโจมตีที่ดุดันของจ้าวผิง ก็ถึงกับต้องถอยร่นออกไปเรื่อยๆ
ดาบแล้วดาบเล่าที่รุนแรง และการออกกระบวนท่าที่รวดเร็วยิ่งของจ้าวผิงนั้น ก็เพื่อที่จะปิดกั้น ไม่ให้ชายหนุ่มผอมสูงมีเวลาออกกระบวนท่าที่รุนแรงได้ ดังนั้นถ้าหากจ้าวผิงผ่อนปรนไปแม้แต่น้อย คงต้องทิ้งชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งนี้แล้ว
เมื่อได้มองดูจ้าวผิงที่ยิ่งสู้ก็ยิ่งห้าวหาญ ถู่ฟางและเหล่าผู้อาวุโสของหมู่ตึกที่ร้อยแปดทั้งหลาย ก็อดที่จะเบาใจมากขึ้นไม่ได้ ภายใต้การนำทัพของหลงเฉิน ทั่วทั้งหมู่ตึกย่อมไม่มีคนใดที่เป็นผู้อ่อนแอเลยก็ว่าได้
ประสบการณ์จากศึกครั้งใหญ่ระหว่างธรรมะและอธรรมที่ผ่านมา ภายใต้ความเป็นความตายที่กดดันเข้ามาอย่างลึกล้ำ ความแน่วแน่หากลดทอนลงไปแม้เพียงนิดเดียวก็หมายถึงความตายได้เลย และคนที่รอดชีวิตมาได้นั้น ทั้งหมดต่างก็นับเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ หาได้มีสิ่งที่เรียกว่าความโชคดีอะไรเหล่านั้นไม่
หมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกในขณะนี้ ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีเลยทีเดียว พวกเขานั้นย่อมมีความแข็งแกร่งที่แน่นอนกันอยู่แล้ว แต่ว่าในด้านของความกล้าหาญของพวกเขา กลับไม่มีความแน่วแน่ที่ไม่หวั่นเกรงหรือหวาดกลัวต่อความตายเหมือนศิษย์ของหมู่ตึกที่ร้อยแปด
เรื่องนี้ก็คล้ายกับศิษย์หมู่ตึกในสมัยก่อน ที่ได้ต่อสู้กับศิษย์ของฝ่ายอธรรม ในตอนนั้นเห็นกันชัดเจนอยู่แล้วว่าฝ่ายหมู่ตึกมีความได้เปรียบในด้านของกำลังพล แต่ท้ายที่สุดการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็สูสีกันอยู่ดี ศิษย์ของหมู่ตึกส่วนมากตกเป็นรองอีกฝ่ายด้วยซ้ำ และยังเป็นเบี้ยล่างให้เข้าใช้อีก ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากการพ่ายแพ้เลยสักนิด
แต่เวลานี้ภายใต้การนำทัพของหลงเฉิน บทบาททั้งหมดได้ถูกสลับสับเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้ฝ่ายธรรมะได้กลายเป็นดั่งหมาป่า และฝ่ายอธรรมกลับต้องกลายเป็นแพะที่ถูกไล่ล่าเองเสียแทน
“ตู้ม”
ชายหนุ่มผอมสูงนั้น ยิ่งเวลาผ่านไปเขายิ่งกลัวจนหัวหด เขามั่นใจแน่นอนแล้วว่าดาบของจ้าวผิงนั้นหมายจะเอาชีวิต ทำให้ยิ่งต่อสู้จิตใจของเขาก็ยิ่งเกิดความหวาดหวั่นมากขึ้น จนในที่สุดเขาก็รับดาบของจ้าวผิงไม่ได้ ลอยกระเด็นออกไปในทันที
ชายหนุ่มผอมสูง ศิษย์สายนอกของหมู่ตึกที่สามสิบหก ถูกคมดาบของจ้าวผิงโลหิตสาดกระจาย เขาลอยกระเด็นออกไปจากเวทีประลองในทันที และหลังจากที่ได้ลงจากเวทีแล้ว บนใบหน้าก็ปรากฎความยินดีพร้อมกับความผ่อนคลายขึ้นมา
“เพียะ!”
ชายหนุ่มผอมสูงผู้นั้นพึ่งจะลุกขึ้นมา ยังไม่ทันจะได้กล่าววาจาใดๆ โล่วปิงก็ตรงเข้าไปฟาดฝ่ามือเข้าใส่ใบหน้าของเขาอย่างแรง
“เจ้าหน้าโง่ เจ้าคนน่าตาย เจ้าทำให้พวกเราขายหน้ากันไปหมดแล้ว” โล่วปิงมีโทสะอย่างหนัก ทอสีหน้าชาด้านแล้วด่าทอศิษย์ผู้นั้น การพ่ายแพ้ในการต่อสู้รอบนี้ช่างน่าอับอายยิ่งนัก
ชายหนุ่มผอมสูงนั้นถูกโล่วปิงตบอย่างรุนแรงเพียงฝ่ามือเดียว ก็ลอยกระเด็นออกไปไกล และสลบไสลไม่ได้ ศิษย์คนอื่นๆเมื่อเห็นเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวกันขึ้นมา
ศิษย์คนอื่นๆนั้น รู้สึกว่าชายหนุ่มผอมสูงผู้นี้ไม่มีใจคิดจะสู้อีกแล้ว เพราะเขานั้นแตกตื่นจนขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว จนต่อให้มีความสามารถก็ไม่สามารถที่จะใช้ความสามารถนั้นออกมาได้อีกแล้ว บนใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวแทน
“เหว่ย ไม่แต่เพียงทุบตีเหล่าทารกไม่รู้ความ แต่แพ้แล้วยังไม่รีบเข้ามาคิดบัญชีอีก” หลงเฉินกล่าวแดกดันออกมา เพื่อย้ำเตือนว่าให้คิดบัญชีครั้งหนึ่งต่อรอบหนึ่ง
โล่วปิงปั้นหน้าเย็นชา ในมือปรากฏเป็นแผ่นป้ายสีฟ้าชิ้นหนึ่ง นางโยนแผ่นป้ายนั้นไปทางด้านของถู่ฟาง
“ก็มิใช่เพียงแค่แต้มคุณประโยชน์แปดหมื่นแต้มหรือยังไง ข้าโล่วปิงย่อมไม่ใส่ใจอยู่แล้ว จัดการเองเถอะ”
ถู่ฟางเมื่อได้รับแผ่นป้ายของโล่วปิงแล้ว ก็ล้วงเอาแผ่นป้ายของตนเองออกมา ทาบไว้บนแผ่นป้ายของนาง แล้วบรรจุตัวเลขลงไป เพื่อโอนถ่ายแต้มคุณประโยชน์แปดหมื่นแต้มจากแผ่นป้ายของโล่วปิง
เดิมทีแผ่นป้ายของถู่ฟางมีแต้มคุณประโยชน์เพียงแค่เจ็ดหมื่นแต้ม แต่เพียงแค่ครู่เดียวก็ได้กลายเป็นสิบห้าหมื่นแต้มไปในพริบตา
เห็นแต้มคุรประโยชน์มากมายถูกถ่ายโอนเช่นนี้ แม้แต่ถู่ฟางเองก็ยังก็อดไม่ได้ที่จะใจหาย ทว่าในตัวของหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกทุกคนต่างก็ถือได้ว่าร่ำรวยกันเป็นอย่างมาก กับแค่แต้มคุณประโยชน์แปดหมื่นแต้มย่อมไม่ถือเป็นอย่างไรได้
ทว่าไม่ถือเป็นอย่างไรจริงหรือไม่นั้น เรื่องนี้คงต้องถามตัวโล่วปิงเองแล้ว เมื่อได้รับแผ่นป้ายกลับคืนมา แต้มคุณประโยชน์ที่อยู่ภายในก็ได้ลดน้อยลงไปแปดหมื่นแต้มแล้ว ในตอนนี้นางรู้สึกเหมือนกับกำลังมีหยาดเลือดหยดออกมาจากภายในจิตใจของนางเลยทีเดียว
ทว่านางไม่อาจที่จะแสดงความเจ็บปวดเหล่านั้นออกมาให้ผู้ใดเห็นได้ ยังคงแสร้งปั้นหน้าไม่แยแสสนใจ แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยชา
“รอบต่อไป ต่อเลย”
.
.